หมวดประวัติปรัชญา

เรื่อง :  ตรรกวิทยาของอริสโตเติลกับความจริง

Topic: Aristotle’s logic and truth
ผู้แต่ง : ศุภชัย ศรีศิริรุ่ง

“ตรรกวิทยาของ Aristotle ซึ่งมีหลักการความขัดแย้งเป็นปฐมบท จึงมองเห็นความเป็นจริงด้วยทรรศนะจริงหรือเท็จเพียง 2 แง่ ไปเสียหมด จึงไม่ตรงกับความเป็นจริง ”

แนวคิดดังกล่าวของเฮเกล (Georg Hegel 1770-1831) สะท้อนถึงมูลบทของเขาที่ว่า ความเป็นจริงทั้งหลายประสานกลมกลืนเป็นหนึ่งเดียว มิได้มีความขัดแย้งกันชัด ๆ ดังที่คนส่วนใหญ่เข้าใจแต่อย่างใด แต่เนื่องจากไปหลงติดกับหลักความขัดแย้งของ Aristotle ที่มองความเป็นจริงเพียง 2 แง่ เท่านั้นคือ ไม่จริงก็เท็จ แยกออกจากกันอย่างเด็ดขาดและอยู่ตรงข้ามกัน จึงทำให้หลงผิดยึดมั่นถือมั่นในทรรศนะของตนอย่างสุดโต่ง จนขัดแย้งกันอย่างไม่สามารถที่จะประสานกลมกลืนกันได้

ในทัศนะของเฮเกลนั้น ความเป็นจริงไม่ขัดแย้งกันชัด ๆ เป็น 2 ฝ่าย แต่ทุกอย่างต่อเนื่องกันเป็นเนื้อเดียวจนหาเส้นแบ่งเขตกันไม่ได้ เช่นระหว่างสีเขียวกับไม่เขียวยังมีในระหว่างที่เป็นส่วนใหญ่อีกหลายสีที่มีสีเขียวปนไม่เขียวในระดับความเข้มต่าง ๆ กันจนแยกระดับไม่ออก เช่นเดียวกับ ความจริงและความไม่จริงจึงมีระดับระหว่างกลางซึ่งมีความจริงอยู่บ้างเจือปนมากน้อย ต่าง ๆ กันไป ความจริงและความไม่จริงจึงมิได้ขัดแย้งและลบล้างกันตามที่คนส่วนใหญ่เข้าใจเพราะมันมีทั้งส่วนเหมือนกันและส่วนต่างกันในเวลาเดียวกัน เป็นไปไม่ได้ที่จะพบความจริงและความเท็จเดี่ยว ๆ โดด ๆ เป็นเอกเทศคงที่ตายตัวดังที่ Aristotle เสนอ จะมีก็แต่ ความกำลังจะเกิด กำลังจะเป็นหรือสิ่งที่กำลังเปลี่ยนแปลง (becoming or changing) เท่านั้น ความเปลี่ยนแปลงจึงมีความเป็นอยู่และความไม่เป็นอยู่ในเวลาเดียวกัน คือคลุมหมดทั้งสอง ซึ่งถ้าพิจารณาแยกกันก็จะเห็นว่าขัดแย้งกัน แต่ในความเป็นจริงทั้งสองรวมกันอยู่โดยไม่มีเส้นจำกัดขอบเขตที่แน่นอนตายตัวแต่อย่างใด

ทัศนะของเฮเกล ดังกล่าวคล้ายกันกับแนวคิดของปรัชญาตะวันออกได้แก่ปรัชญาเต๋าที่แสดงว่าธรรมชาติประกอบด้วยหยินและหยาง ในหยางก็มีหยินและในหยินก็มีหยาง มิได้มีหยินและหยางที่แยกกันอยู่ได้อย่างเป็นเอกเทศ มีแต่หยิน หยางที่สอดประสานกลมกลืนเป็นหนึ่งเดียวกันอย่างสมดุลและแยกกันไม่ออก ในขณะที่พุทธศาสนาก็แสดงมัชเฌนธรรมเทศนา ได้แก่ธรรมที่เป็นกลาง ๆ ไม่เอียงสุดไปทางใดทางหนึ่ง ดังเช่น อุจเฉททิฏฐิ ความเห็นว่าขาดสูญหรือไม่มี กับ สัสตทิฏฐิ ความเห็นว่าเที่ยงหรือมีอยู่อย่างคงที่ นั่นคือสิ่งทั้งหลายมิได้มีอยู่หรือไม่มี มิได้ขาดสูญหรือเที่ยง แต่มีอยู่ระหว่างกลางในรูปของกระแสที่เกี่ยวข้องสัมพันธ์กัน อิงอาศัยกันและแปรเปลี่ยนกันไปตามกระบวนการของเหตุและปัจจัย ที่เข้ามาปรุงแต่ง ธรรมทั้งปวงจึงเป็นอนัตตาที่ไม่เป็นตัวของตัว ไม่มีตัวตนที่เป็นตัวตนของตนเอง มีแต่กระแสของปรากฏการณ์ที่ไม่หยุดนิ่ง กำลังจะเกิดและกำลังจะเป็นไปตามเหตุและปัจจัยอยู่ตลอดเวลา

คุณค่าของการรับรู้เรื่องความเป็นจริงที่ประสานกลมกลืนกันเป็นหนึ่งเดียว ที่อยู่ในระหว่างของกระบวนการกำลังจะเกิดและกำลังจะเป็น ที่ทำให้สรรพสิ่งมีทั้งส่วนเหมือนและส่วนต่างกันในเวลาเดียวกัน ไม่สามารถแยกต่างหากออกจากกันได้อย่างสมบูรณ์ ทำให้ไม่หลงยึดมั่นในความเห็นที่ดูเหมือนว่าจะแตกต่าง ขัดแย้ง ตรงข้ามกันสุดขั้วอันนำไปสู่การจ้องแต่จะลบล้างกัน กลับกลายเป็นความเข้าใจซึ่งกันและกันว่าโดยแท้จริงแล้วมีแต่ความเป็นจริงที่ประสานกลมกลืนรวมเป็นเนื้อเดียวกันจนไม่สามารถแยกออกจากกันได้ต่างหาก จึงไม่จำเป็นต้องขัดแย้ง ทำลายล้างกันแม้จะมีความคิดเห็นที่ดูเหมือนจะแตกต่างกันอย่างสุดขั้วก็ตาม


Leave a comment