
สัญชาตญาณ 4
instincts, the four
ผู้แต่ง : เอนก สุวรรณบัณฑิต
ผู้ปรับแก้: กีรติ บุญเจือ
กีรติ บุญเจือ (2556) เสนอแนวคิดความสุขตามสัญชาตญาณ โดยตีความจากแนวคิดของแอร์เริสทาทเถิล (Aristotle, 384-322 ก.ค.ศ.) จากกระบวนทรรศน์ยุคโบราณมาเป็นกระบวนทรรศน์หลังนวยุค โดยชี้ว่าแอร์เริสทาทเถิลมองว่าความสุขเป็นเงื่อนไขแรกของทุกสิ่งที่มีอยู่ เงื่อนไขนี้ที่ทำให้เกิดความมุ่งมั่น (commitment) ที่จะประพฤติดี (good conduct) ตามแนวคิดปัญญานิยม ความสุขสำหรับแอร์เริสทาทเถิลคือ การกระทำทั้งหลายที่ผู้กระทำลงมือทำย่อมมีเป้าหมายตามแต่สัญชาตญาณจะกระตุ้น ถ้ามีแต่สัญชาตญาณต่ำกว่าปัญญาก็จะตัดสินใจและทำตามสัญชาตญาณที่แรงกว่าโดยไม่มีการเลือกเสรี เราเรียกการกระทำนั้นว่าพฤติกรรม (behavior) แต่ถ้ามีสัญชาตญาณปัญญาทำการอยู่ด้วยซึ่งแน่นอนว่าเป็นกรณีของมนุษย์ที่มีสติสัมปชัญญะ ปัญญาย่อมรู้ว่ามีสัญชาตญาณระดับต่าง ๆ ให้เลือกและตัดสินใจเลือกได้ การกระทำที่ผ่านกระบวนการดังกล่าวจึงเรียกว่าความประพฤติ (conduct) และกระบวนการดังกล่าวเรียกว่า มโนธรรม (conscience) ความประพฤติอันเกิดจากการเลือกความสุขที่มีคุณภาพสูงที่สุดเรียกว่า ความประพฤติดีที่สุดหรือทำดีที่สุด (the best conduct or doing best) ความประพฤติที่เกิดจากการเลือกความสุขที่ดี แต่ไม่ถึงกับดีที่สุดเรียกว่า ความประพฤติดีหรือทำดี (the good conduct or doing good) ทั้ง 2 ชนิดเป็นความสุขแท้ (authentic happiness) และความประพฤติที่เกิดจากการเลือกความสุขที่ไม่ดีจริงสำหรับความเป็นมนุษย์เป็นความสุขที่ไม่แท้ (inauthentic happiness) เพราะทำให้คุณภาพชีวิตเสื่อมและ/หรือสร้างความเดือดร้อนแก่ผู้อื่น เรียกว่าความประพฤติเลวหรือทำเลวและถ้าเลวสุด ๆ ก็เรียกว่าความประพฤติเลวสุดหรือชั่วร้าย
ปัจจัยสำคัญที่ค้ำประกันความสุขของปัญญาได้แก่ “ตระกูลดี มีเพื่อนดีมาก ๆ มีทรัพย์สมบัติ มีสุขภาพดี มีลูกดีมาก ๆ อายุยืนอย่างแข็งแรง ความหล่อ/งาม ร่างกายสมส่วน แข็งแรง มีชื่อเสียง เกียรติยศ โชคดี และคุณธรรม” (1360 b 20) หากแต่ กีรติ บุญเจือ (2556) ชี้ว่าปัจจัยเหล่านี้จะเป็นความสุขระดับรองลงมา หากมนุษย์ไม่เรียนให้รู้ธรรมชาติของมนุษย์อย่างถ่องแท้ว่ามนุษย์มี 4 สัญชาตญาณซึ่งต้องเลือกตอบสนองอย่างถูกต้องตามธรรมชาติแท้ของมนุษย์ ที่สำคัญที่สุดคือ นิยามความสุขระดับต่าง ๆ ให้ชัดเจน
แอร์เริสทาทเถิลได้วิเคราะห์สิ่งมีอยู่ (being) ไว้ว่า สิ่งมีอยู่ใด ๆ ย่อมประกอบด้วยสสาร (hyle = matter) และแบบ (morphe = form) ตัวอย่าง เช่น
คนประกอบด้วยร่างกายที่เป็นสสาร + แบบคนคือ ปัญญา (nous)
สัตว์ประกอบด้วยร่างกายที่เป็นสสาร + แบบสัตว์คือจิต (psyche)
พืชประกอบด้วยร่างกายที่เป็นสสาร + แบบพืชคือชีวิต (phytozoon)
เทห์ (สสารก้อนหนึ่งๆ) ประกอบด้วยการแผ่กว้างขนาดหนึ่งที่เป็นสสาร + แบบเทห์คือไร้ชีวิต (uphytozoon, inanimate)
แต่ละปัจเจก (individual) ย่อมประกอบด้วยสสาร (matter) ส่วนหนึ่งที่มีความแผ่กว้าง (extension) เฉพาะตัวที่อาจจะยืดหรือหดได้ในวงจำกัด + แบบ (form) เดียวที่อาจจะทำหน้าที่ (function) ได้ทุกอย่างที่แบบต่ำกว่าทำได้ เช่น ปัญญาของคนคนหนึ่งสามารถทำหน้าที่ของแบบสัตว์ แบบพืช และแบบเทห์ โดยที่ว่าหน้าที่สูงกว่าสามารถควบคุมหน้าที่ที่ต่ำกว่าให้บริการตน แต่เมื่อหน้าที่สูงกว่ายอมให้หน้าที่ต่ำกว่าทำการ ตัวเองก็จะไม่แทรกแซงจนกว่าจะอยากทำหน้าที่ของตนขึ้นมา ทั้งนี้เพื่ออธิบายได้ว่าทำไมจึงมีการขัดแย้งกันในการตัดสินใจทำตามสัญชาตญาณระดับต่าง ๆ ของมนุษย์
