โฮว์เมอร์กับเกาะครีท
โฮว์เมอร์บันทึกในOdysseyของตนเกี่ยวกับเกาะครีทตามที่ได้รู้และเห็นมาว่า “มีแผ่นดินผืนหนึ่งนามว่าครีท เป็นเกาะยืนทมึนกลางทะเลโต้คลื่นและลม เป็นถิ่นงดงามคลาคล่ำด้วยทรัพยากร ท้องทะเลเคยหุ้มห่อมวลชนทรงคุณค่า กระจายประดับทั้งเก้าสิบหัวเมือง” แต่โฮว์เมอร์เองได้เห็นกับตาก็แค่ซากปรักพัง เห็นแล้วได้แต่ปลงอนิจจังเสียดายของที่ถูกเผาไปอย่างเอาคืนไม่ได้
โฮว์เมอร์มีชีวิตอยู่หลังกรุงทรอยถูกเผาโดยเผ่าอเคียน(Achaean)ประมาณ100ปีก่อนหน้า จึงยังเป็นข่าวเล่าขานกันอยู่ในชุมชนกรีกและโฮว์เมอร์ก็ถือโอกาสใช้ศิลปะขับลำนำที่ตนถนัด ขับร้องหากินโดยเล่าเรื่องตามที่ผู้ฟังอยากจะฟัง เกาะครีทก็มีส่วนอยู่ในเรื่องเล่าของเขาเขาจึงสนใจรู้เพื่อเล่าอย่างได้อารมณ์
ชาวทรอยตั้งหน้าตั้งตาสร้างสรรค์จนได้ความเจริญซ้อนความเจริญแผ่ขยายขึ้นบนผืนแผ่นดินใหญ่ วันดีคืนดีชาวกรีกเผ่าอเคียนก็ชวนกันไปเผาเสียราบเรียบ ชาวกรีกเผ่าอเคียนชนะแล้วแทนที่จะได้สร้างความเจริญขึ้นแทนความเจริญที่ตนได้ทำลายไป กลับถูกชาวกรีกเผ่าดอร์เรียน(Dorian)บุกทำลายเผาเมืองโดยไม่อาจป้องกันตัวได้ และชาวเผ่าดอร์เรียนนี้เองก็ได้ใจข้ามน้ำข้ามทะเลไปทำลายความเจริญและความงามของเกาะครีทและก็ไม่สามารถสร้างความเจริญขึ้นทดแทนอยู่นั่นเอง

ครีทในปรัมปรา
ชาวกรีกเองเรียกดินแดนของตนว่าHellas(เฮลลัส) และเรียกพวกตนว่าHellenes(เฮลเลอนิส) เพราะมีเรื่องปรัมปราของตนว่า ต้นตระกูลร่วมของชาวกรีกทั้งหมดมีนามว่าเฮลเลิน(Hellen)โอรสองค์หนี่งของเทพบิดรซูส เป็นต้นตระกูลของชาวกรีกเผ่าอารยันทั้งมวล เฮลเลินมีบุตรชาย3คนนามว่าอเคเอิส(Achaeus)ซึ่งเป็นต้นตระกูลของเผ่าอเคียน(Achaean),อีเออเลิส(Aeolus)ซึ่งเป็นต้นตระกูลเผ่าอีเออเลียน(Aeolian), และซูเธิส(Xuthus)ซึ่งมีโอรส 2 องค์นามว่าดอร์เริส(Dorus)ต้นตระกูลของเผ่าดอร์เรียน(Dorian) กับอายอัน(Ion)ต้นตระกูลของเผ่าอายเออเนียน(Ionian) บุตรชายคนหนึ่งของดอร์เริสนามว่าเถิคแทมเมิส(Tectamus)คุมลูกหลานของดอร์เริสและลูกหลานของอีเออเลิสพร้อมด้วยชาวพื้นเมืองจำนวนหนึ่งเป็นบริวาร ข้ามน้ำข้ามทะเลมาแทรกซึมชาวพื้นเมืองเดิมเผอแลสเจียน(Pelasgian)ผู้ตั้งหลักอยู่ดั้งเดิมของเกาะครีทร่วมแรงร่วมใจกันสร้างอารยธรรมเกาะครีทขึ้น โดยเถิคแทมเมิสได้รับการยกย่องขึ้นเป็นปฐมกษัตริย์ของราชอณาจักรเกาะครีท มีรัชทายาทนามว่าเอิสเทร์เรียส(Asterius) อยู่มาวันหนึ่งเทพบิดรซูสลักพาพระธิดาเยอโรว์เผอ(Europa)ของกษัตริย์ครีเธิส(Crethus)แห่งเฝอนีเฉอ(Phoenicia)มาซ่อนตัวไว้ที่เกาะนี้ พระนางให้กำเนิดแก่โอรสแฝด3 คือ มีนนัส(Minos), รามเดอแมนเธิส(Rhamdamanthus),และซาร์เผอดัน(Sarpedon) เทพบิดรซูสมอบพระนางเยอโรว์เผอเป็นพระมเหสีของกษัตริย์เอิสเทร์เรียสซึ่งยอมรับพระโอรสทั้ง3เป็นโอรสบุญธรรมและมีธิดาต่อมานามว่าเครทถิ(Crete) ต่อมาทรงมอบบัลลังก์ให้มีนเนิสเป็นมหาราชสืบบัลลังก์ ทรงอภิเษกสมรสกับพระธิดาเครทถิ สร้างความเจริญรุ่งโรจน์เรียกว่าอารยธรรมมีนนวน(Minnoan civilization)แก่มหาอาณาจักร พระโอรสซาร์เผอดันคุมพลไปเสี่ยงโชคที่เอเชียไมเนอร์จนได้เป็นกษัตริย์แห่งเสอลีสเสอร์(Cilicia) ส่วนรามเดอแมนเธิสได้ตรากฎหมายให้แก่ราชอาณาจักรครืทและได้เป็นกษัตริย์แห่งโอว์เขอลีอิ(Ocaleae)ในเบอโอเฉอ(Boeotia)ซึ่งเป็นผู้อบรมเฮร์เรอขลิส(Heracles) ลาโลกแล้วได้รับตำแหน่ง1ใน3ผู้พิพากษาในยมโลก

ราชวงศ์มีนนัสในปรัมปรา
ราชวงศ์มีนเนิสในประวัติศาสตร์สร้างความเจริญและความยิ่งใหญ่แก่อารยธรรมครีท มีอิทธิพลแผ่ไปทั่วเกาะแก่งต่างๆและอาณาบริเวณรอบทะเลอีเจียนจนบางคนพอใจเรียกเป็นอารยธรรมอีเจียนที่มีศูนย์กลางความเจริญแผ่จากเกาะครีท ผู้อยู่ใต้อำนาจของราชวงศ์มีนนัสรวมถึงชาวกรีกอารยันเผ่าต่างๆที่กำลังซึมแทรกเข้ายึดพื้นที่โดยยอมอยู่ใต้อำนาจของมหาอำนาจครีท ชาวกรีกอารยันนี้เองเมื่อแข็งแกร่งขึ้นแล้วก็ยกกำลังไปทำลายอารยธรรมทรอยและต่อมาก็ทำลายอารยธรรมครีทโดยตนเองได้ดูดซับอารยธรรมทั้ง2ไว้ก่อนทำลาย เพื่อเป็นฐานและเป็นทุนให้ตนเองได้ก่อร่างสร้างตัวเองขึ้นให้นักประวัติศาสตร์เรียกว่าอารยธรรมกรีกมาจนทุกวันนี้
ปรัมปราเล่าราชวงศ์มีนนัสรวมทั้งหมดไว้ในตัวของกษัตริย์มีนนัสต้นราชวงศ์เพียงพระองค์เดียว น่าเสียดายที่บันทึกของชาวครีทที่บันทึกเป็นอักษรครีทมีผู้พยายามอ่านได้เพียงเล็กน้อย ประวัติศาสตร์อารยธรรมครีทหรือมีนนวลจึงได้แค่สันนิษฐานจากวัตถุโบราณและบันทึกของภาษาอื่นที่พอจะอ่านรู้เรื่องโดยอาศัยทิศทางจากปรัมปราช่วย ได้แค่นี้ก็ต้องพอใจเพียงแค่นี้ไปก่อน หวังว่าจะโชคดีมีผู้กะเทาะเปลือกภาษาและอักษรครีทได้เต็มที่สักวันหนึ่ง
มหาราชามีนนัสในปรัมปรา
เมื่อกษัตริย์มีนนัสวางแผนขจัดพระอนุชาออกจากการแข่งบารมีด้วยการให้กองกำลังออกไปตั้งอาณาคมในต่างแดนได้เรียบร้อยแล้ว ก็ยังมีผู้แก่งแย่งอำนาจอีกสายหนึ่งที่ขจัดยากกว่า คือพระประยูรญาติฝ่ายพระราชบิดาบุญธรรมซึ่งอ้างว่ามีสิทธิบนบัลลังก์มากกว่าพระโอรสแฝดทั้ง3พระองค์ซึ่งเป็นแค่พระโอรสบุญธรรมไม่ใช่ราชโอรสแท้ซึ่งกษัตริย์เองก็แก้ไม่ตก จะขอเทวราชซูสซึ่งเป็นบิดาจริงช่วยก็ไม่ถนัด เพราะอยู่นอกเขตอิทธิพล สาเหตุจากเกาะครีทและทะเลอีเจียนทั้งหมดอยู่ในเขตรับผิดชอบของน้องชายคือสมุทรเทวราชเผอซายดัน(Poseidon)ซึ่งก็คืออาของมีนนัส จึงโบ้ยให้ไปหาอาจะได้ไม่ก้าวก่ายหน้าที่กันให้ขุ่นข้องหมองใจ เผอซายดันรับปากช่วยหลานชายอย่างเต็มพระทัย แต่ทำอย่างไรจึงจะปิดปากพวกอ้างสิทธิทั้งหลายได้ มีนเนิสจึงออกความคิดว่าขอโคถึกกำยำใหญ่โตสง่างามเป็นพิเศษให้ตนขี่ขึ้นจากทะเลอย่างสง่าให้คนทั้งหลายเห็นว่าเป็นคนโปรดของจ้าวทะเลเท่านั้นก็น่าจะหมดปัญหา สมุทรเทวราชเห็นชอบกับความคิด แต่มันเป็นโคพิเศษ ไม่เหมาะที่จะอยู่กับมนุษย์ อยู่นานไปจะมีปัญหา ดังนั้นเมื่อแก้ปัญหาเสร็จสิ้นเมื่อใด ให้ส่งคืนด้วยการฆ่าและเผาบูชายัญ เป็นอันตกลงกันตามนั้น กษัตริย์มีนนัสขึ้นขี่บนหลัง มันโผล่ขึ้นเหนือน้ำทะเลและเหาะเข้าฝั่งอย่างสง่างามเหมือนสินสมุทรขี่ม้ามังกรขึ้นฝั่งกระนั้นเชียว ต่อจากนั้นก็เดินก้าวเท้าเยื้องกรายเข้าวังอย่างสง่างามยิ่งนัก ผู้คนพากันร้องโหวกเหวกชักชวนกันมาเรียงรายชมเป็นขวัญตา บรรดาผู้ตั้งป้อมทวงสิทธิบนบัลลังก์คุกเข่าลงกับพื้นดินก้มกราบสยบขออภัยโทษ นับว่าแก้ปัญหาได้ชงัดจริงๆ แต่มีนนัสเกิดเสียดายไม่อยากฆ่าบูชายัญตามสัญญา คงผลัดวันประกันพรุ่งจนเกิดเรื่องจนได้
กษัตริย์มีนนัสอภิเษกสมรสกับพระธิดาเผอซีฟเฝออิ(Pasiphae)ของสุริยเทพเฮลเลียส(Helios) เกิดโอรส4องค์และธิดา4 องค์ วันหนึ่งพระนางเดินทางผ่านทุ่งหญ้าทอดพระเนตรเห็นโคสง่างามตัวนั้นเข้าเกิดปฏิพัทธ์จนอดใจไม่ไหวสมตามที่สมุทรเทพเผอซายดันได้ทักท้วงไว้ พระนางเรียกช่างหลวงดีเดอเลิส(Daedalus)มาช่วยวางแผนลับสุดยอดให้สร้างแม่วัวไม้เท่าตัวจริง ข้างในเป็นโพรงพอดีกับตัวพระนาง ภายนอกหุ้มด้วยหนังวัวดูภายนอกเหมือนวัวสาวพราวเสน่ห์ พระนางเข้าไปซ่อนตัวอยู่ในนั้น ให้คนงานลากไปทิ้งไว้ใต้ร่มไม้ในทุ่งหญ้าเลี้ยงวัวจ้าว ซึ่งพอเห็นเข้าก็ไม่รอช้า พระนางปฏิสนธิซึ่งกษัตริย์มีนนัสคิดว่าเป็นโอรสของพระองค์ ครั้นคลอดออกมาเป็นวัวถึกบึกบึนเศียรเป็นคนก็ตั้งชื่อให้ว่ามีนเนอทอร์(Minautaur) และรับสั่งให้ช่างหลวงดีเดอเลิสสร้างอุโมงค์ลึกลับแล(Labyrinth)ใต้พระราชวังให้เป็นที่พำนักมีเจ้าหน้าที่ดูแล
แอนเดรอเจิส(Androgeus) โอรสองค์สุดท้องชอบการกีฬา ขอไปฝึกฝนที่เอเธนส์จนเข้าแข่งได้ชัยชนะทุกเกมแต่ถูกสังหาร กษัตริย์มีนนัสขอซูสช่วยแก้แค้น ซูสจึงส่งโรคระบาดมารังควานคนตายมากกรรมการเมืองจึงส่งคนไปถามโหรเดลฟายซึ่งให้คำตอบว่าต้องทำตามความต้องการของกษัตริย์มีนนัสลูกเดียว มีนนัสตั้งเงื่อนไขให้ส่งส่วยเป็นหนุ่ม7คนสาว7คนเพื่อเป็นภักษาหารประจำปีของมีนเนอทอร์ ครั้งหนึ่งเธสเสิส(Theseus)โอรสของสมุทรเทวราชเผอซายดันขันอาสาเป็น1ใน7หนุ่มที่เป็นส่วยสังหารและหนีได้อย่างปลอดภัย ได้รับแต่งตั้งเป็นกษัตริย์ของเอเธนส์อิสระจากครีท
กษัตริย์มีนนัสแผ่แสนยานุภาพพระอำนาจและอารยธรรมมีนนวลไปทั่วท้องทะเลอีเจียนและตามชายฝั่งโดยรอบภาคใต้ของอิตาลี เมื่อสิ้นพระชนม์ลงซูสก็ยกย่องให้เป็น1ใน3ผู้พิพากษาในยมโลก โอรสองค์ที่2เดอแคลเลียน(Ducalion)ได้ครองราชย์ต่อมา สืบต่อด้วยอโดว์เมอเนิส(Idomeneus)ซึ่งคุมเรือ80ลำช่วยชาวกรีกทำลายกรุงทรอย ขากลับถูกพายุพัดไปตั้งอาณานิคมกรีกที่ภาคใต้ของอิตาลี ถือว่าเป็นสัญลักษณ์แห่งการที่อารยธรรมมีนนวลถูกกลืนเข้าเป็นส่วนเริ่มต้นของอารยธรรมกรีก

บรรณานุกรม
Eliade, Mircea, ed. The Encyclopedia of Religion. New York: Macmillan, 1987.
Hastings, James, ed. Encyclopedia of Religion and Ethics. New York: Scribner, 1959.
Borchert, Donald. Encyclopedia of Philosophy. New York: Macmillan, 2006
Craig, Edward. Routledge Encyclopedia of Philosophy. London: Routledge, 1998.


Leave a comment