อารยธรรมลับแลของเกาะครีท
Will DurantในThe Life ofGreeceหน้า2 ได้พยายามดึงประวัติศาสตร์กรีซจากปรัมปรากรีกพอได้ความว่า
ก.ค.ศ.9000 มีหลักฐานว่าดินแดนกรีซเจริญขึ้นสู่ระดับอารยธรรมหินใหม่ ซึ่งถือว่าล้ำหน้ารายเฉลี่ยประมาณ1,000ปี เพราะWlliam Langer ในหนังสือ An Encyclopedia of World Historyขีดเส้นอารยธรรมหินใหม่ไว้ที่ประมาณ ก.ค.ศ.8000
ดินแดนกรีซของดูเรินท์ประกอบด้วย3ส่วน คือ Helladic, Cycladic,และ Minoanเฮลเลอดิคหมายถึงชาวพื้นเมืองเดิมก่อนที่ชาวกรีกเผ่าอารยันจะแทรกซึมเข้ามาและจะเรียกชาวพื้นเมืองเดิมเหล่านี้ว่าเผอแลสเจียน(Pelasgian)ซายเขลอดิคหมายถึงชาวหมู่เกาะทั้งหลายทางภาคเหนือของทะเลอีเจียนมีนนวลหมายถึงชาวหมู่เกาะทางภาคใต้ของทะเลอีเจียนมีเกาะครีทเป็นสำคัญทั้ง3อารยธรรมนี้รวมกันยังเรียกได้ว่าอารยธรรมอีเจียนซึ่งเจาะจงว่าหมายถึงก่อนมีชาวเผ่าอารยันเข้ามาแจม
ก.ค.ศ.3400 มีการใช้สัมฤทธิ์บนเกาะครีท
ก.ค.ศ.3000 มีการทำเหมืองทองแดงบนเกาะไซปรัส มีการก่อสร้างถาวรวัตถุบนเกาะครีท
ก.ค.ศ.2870 มีการก่อสร้างระดับแรกที่ทรอย
ก.ค.ศ.2100 เริ่มสร้างวังชุดแรกบนเกาะครีท เริ่มอารธรรมอันเป็นผลงานของอารยธรรมพื้นเมืองจริงๆ เพราะชาวเผ่าอารยันยังเอื้อมมาไม่ถึง จากการขุดค้นพบซากปรักพัง ณที่ตั้งของนครนัสสัส(Knossos)แสดงถึงความเจริญโดดเด่นจริงๆของผู้ทิ้งฝีไม้ลายมือไว้ให้ชื่นชม พวกเขารู้จักเขียนบันทึกและอธิบายชี้แจงความคิดที่อยู่เบื้องหลังผลงานเหล่านี้ด้วย แต่น่าเสียดายที่จนป่านนี้ก็ยังไม่มีผู้ใดแคะความหมายออกมาจากตัวหนังสือเหล่านั้น จึงยังคงเป็นลับแลเชิงประวัติศาสตร์อยู่ อย่างมากได้แต่เพียงสันนิษฐานจากข้อมูลดิบเหล่านั้น รอคอยไปว่าสักวันหนึ่งจะมีผู้ตีบทแตกคืออ่านจากภาษาเกาะครีทออก ความลี้ลับจะเปิดเผยมากมาย และเมื่อนั้นแหละเราจะประจักษ์แจ้งว่าอารยธรรมกรีกที่เรายกย่องว่าล้ำยุคกว่าอารยธรรมใดๆร่วมสมัยและเป็นแม่บทของอารยธรรมโลกมาจนทุกวันนี้นั้น ความจริงแล้วมีสักเท่าใดที่เป็นหนี้ชาวเกาะครีทซึ่งไม่ใช่เผ่าอารยัน โฮว์เมอร์ชาวอารยันเผ่าอโอว์เนียนมีชีวิตอยู่ในราวก.ค..ศ.900 ต้องได้รู้เรื่องของทั้งชาวครีทและของชาวอารยันพวกตัวเองในเชิงประวัติศาสตร์ดีกว่าเราสมัยนี้ โฮว์เมอร์ได้แต่งร้อยกรองชื่นชมความยิ่งใหญ่ของเกาะครีทด้วยความเคารพไว้อย่างน่าจับใจว่า “คือเพชรวับเปล่งประกายบนท้องทะเลสีคราม โน่นแน่ะเกาะครีทแดนอุดมน่าชมชื่น คลื่นซัดสาดทำความสะอาดรอบเกาะทุกกระเบียดนิ้ว” (Odyssey,19) เกาะครีทตั้งตระหง่านมั่นคงกลางท้องทะเลอีเจียน เด่นในสายตาของจินตกวีมาแต่โบราณกาลว่าเป็นเพชรเม็ดมหึมาตั้งโดดเด่นสลับสีไปตามฤดูกาลแห่งลมฟ้าอากาศเมดิเตอร์เรเนียน(mediterranian climate) ดูเหมือนมรกตปนทองคำในฤดูใบไม้ผลิ ฤดูร้อนกลายเป็นพลอยม่วงปนคราม ห้อมล้อมด้วยฟองขาวของคลื่นกระทบฝั่งที่แตกซ่าซัดสาดตลอดกาล หน้าผาสูงชันเรียงรายสลับชายหาด ถ้ำทั้งตื้นและลึกกระจายกันอยู่ทั่วเกาะ บางถ้ำยาวลดเลี้ยวเคี้ยวคดสลับซับซ้อนสร้างจินตนาการลี้ลับสลับปาฏิหาริย์อย่างเรื่องมีนเนอร์ทอร์(Minotaur)หรือวัวจ้าวเศียรมนุษย์ที่กินหนุ่มสาวเป็นภักษา ที่เล่าขานกันมามิรู้เบื่อ ทุกถ้ำคราคร่ำด้วยหินงอกหินย้อยรูปร่างพิศดารชวนจินตนาการให้สร้างปรัมปราและตำนานที่ส่วนมากยังเป็นลายแทงในจารึกภาษาครีท แต่เชื่อว่ามีแทรกอยู่มากในวรรณกรรมกรีกโบราณในสภาพปนเปอยู่ในวาทกรรมทั้งหลายของชาวกรีกอย่างยากที่จะแยกออกมาอย่างกระจ่างได้ สำหรับโฮเมอร์อารยธรรมครีทรุ่งโรจน์ในสมัยเดียวกันกับอารยธรรมทรอยและถูกทำลายลงในเวลาไล่เลี่ยกัน นับเป็นยุคทองในอดีตที่ผ่านไปเพียง2-3 ร้อยปีอย่าน่าอาลัยอาวรณ์ คือในขณะที่ชาวอารยันเผ่าอเคียนไปเผากรุงทรอย ชาวอารยันเผ่าดอร์เรียนก็มาเผากรุงนาสสัส โฮเมอร์ได้แต่เสียดายทั้ง2อารยธรรมที่ถูกทำลายไปอย่างเอาคืนไม่ได้ โฮเมอร์ได้แต่เก็บความทรงจำไว้อย่างรวบหัวรวบหางในปรัมปรากรีก ส่วนรายละเอียดที่เจ้าของอารยธรรมทั้ง2แห่งเก็บไว้ในภาษาดั้งเดิมของตนเองนั้น ยังเป็นเรื่องลับสุดยอด เพราะยังไม่มีใครอ่านภาษาเหล่านั้นได้ นี่คือประเด็นปัญหาทั้งของอารยธรรมทรอยและครีท

ปรัมปราเกี่ยวกับเกาะครืท
ปรัมปราที่ชาวครีทเขียนเกี่ยวกับตัวเองในภาษาของตัวเองน่าจะมีเยอะ แต่ยังอ่านกันไม่ออก นี่คืออุปสรรคร้ายแรงขัดขวางการเรียนรู้ของเรา เราพอจะศึกษาได้บ้างจากหลักฐานภาษากรีกที่บันทึกโดยชาวกรีกเป็นภาษากรีกเพื่อบันทึกเรื่องกรีกแต่มีเรื่องครีทเกี่ยวข้องอยู่ด้วย ชาวกรีกสมัยนั้นจะต้องอ่านภาษาครีทได้อย่างไม่ต้องสงสัย เราสังเกตได้ว่าเรื่องที่ชาวกรีกบันทึกไว้เป็นปรัมปรากรีกนั้นมีส่วนที่ไม่อยู่ในบรรยากาศของวัฒนธรรมอารยัน ชื่อก็ดูแปลกๆไม่เข้าเค้าภาษาอารยันด้วยประการทั้งปวง

ก.ค.ศ.1900 วังรุ่นแรกถูกทำลายราบโดยไม่ทราบสาเหตุ น่าจะสันนิษฐานเชิงประวัติศาสตร์ได้ว่าเป็นผลจากการชิงความเป็นใหญ่กันเองภายในเกาะ เพราะยังไม่มีการรุกรานจากภายนอกเกาะ
ก.ค.ศ.1600 สร้างวังบนเกาะครีทรุ่นที่2 ก็หมายความว่าฝ่ายชนะค่อยๆซ่อมแซมบูรณะกรุงนัสสัสขึ้นมาใหม่เป็นความเจริญรุ่นที่2ของอารยธรรมเกาะครีทและแผ่อิทธิพลไปยังเกาะแก่งอื่นๆรวมทั้งขึ้นสู่แผ่นดินใหญ่ปรากฏหลักฐานเป็นการเริ่มสร้างอารยธรรมเมอซีนิ(Mycene)บนกรีซแผ่นดินใหญ่ซึ่งตามหลักฐานประวัติศาสตร์นั้นไม่อาจรู้ได้เลยว่ามีความเป็นมาอย่างไร จากการขุดค้นของ Schliemanปรากฏว่ามีเมืองโบราณที่สุดเป็นเมืองแฝดแม่ลูกกัน เมืองลูกทีร์เรินส์อยู่ริมทะเล ส่วนเมืองแม่เมอซีนิอยู่ลึกเข้าไปประมาณ10 กม. ก็ย่อมจะสันนิษฐานได้ว่า มหาอาณาจักรเกาะครีทขยายอิทธิพลมายึดหัวหาดที่ทีร์เรินส์ก่อนแล้วจึงค่อยขยับขยายขึ้นไปตั้งศูนย์บัญชาการใหญ่ที่เมอซีนิ
ส่วนผู้แต่งปรัมปราเก็บข้อมูลมาปรับเป็นสำนวนปรัมปราว่า เมืองทีร์เรินส์เกิดขึ้นก่อน เป็นเมืองของชาวพื้นเมืองเดิมมาก่อนการเข้าครอบครองโดยชาวอารยันในฐานะเมืองขึ้นของครีท เมืองทีร์เรินส์ตกเป็นของชาวอารยันก็โดยมีเจ้าชายไร้บัลลังก์จากนครอาร์กัสยกพลมาหาบัลลังก์เจ้าเมืองชาวพื้นเมืองจึงรีบถวายบัลลังก์ให้เป็นกษัตริย์อิสสระจากอำนาจของครีททรงพระนามว่าเผรอเอทเถิส(Proetus) เนื่องจากเป็นเมืองเล็กจึงมักจะต้องขึ้นกับเมอซีนิบ้าง กับอาร์กัส(Argos)บ้างตามกระแสการเมือง แต่บางคนให้ข้อสังเกตว่าปรัมปราส่วนมากถือว่าเมอซีนิกับอาร์กัสคือเมืองเดียวกัน หรือมิฉะนั้นก็กล่าวถึงอาร์กัสโดยตั้งใจหมายถึงแคว้นอาร์เกอเลิส(Argolis)

ปรัมปราการรุกรานแคว้นอาร์เกอเลิส
ปรัมปราสืบสาวผู้รุกรานแคว้นอาร์เกอลิสถึงต้นตอว่า แต่แรกเริ่มเดิมทียังไม่มีมนุษย์อาศัยอยู่ในบริเวณนี้ แต่มีแม่น้ำสายหนึ่งมีเทพารักษ์นามว่าอายเนอเขิส(Inachus)มาสถิตอยู่ เป็นโอรสของอสูรมหาสมุทร(Oceanus)กับอสุราเทธเธิส(Tethis) อายเนอเขิสได้ชักชวนให้เทพารักษ์ประจำแม่น้ำใกล้เคียงให้พร้อมใจกันอัญเชิญเทวีเฮียร์เรอ(Hera)เป็นผู้อุปถัมภ์ อายเนอเขิสมีโอรสนามว่าโฟว์เรอเนิส(Phoroneus)สร้างเมืองโฟว์เรอเนีย(Phoronea)ขึ้นมามีผู้มาสมัครเป็นพลเมืองมากขึ้นตามลำดับ ได้ชื่อว่าปฐมกษัตริย์โดยปริยาย อภิเษกสมรสกับเทพธิดาเทลเลอดายสิ (Teledice) มีโอรสนามว่าแอพเผิส(Apis)และธิดานามว่านายเออบิ(Niobe)ซึ่งเป็นมนุษย์คนแรกที่ตกเป็นชายาของเทวราชซูสและเกิดโอรสนามว่าแอร์เกิส(Argus)ซึ่งต่อมาจะขึ้นครองบัลลังก์เพราะพระเจ้าลุงแอพเผิสใม่มีโอรส แอร์เกิสจะเปลี่ยนนามนครรัฐเป็นแอร์กัส(Argos) และเมื่อเป็นมหาราชก็ทำให้มหาอาณาจักรของพระองค์ได้ชื่อว่าแอร์เกอเลิส(Argolis) พระอนุชาของแอร์กัสนามว่าเผอแลสเกิส(Pelasgus)สร้างนครรัฐใหม่ให้ชื่อว่าเออร์แคดเดีย(Arcadia)เป็นถิ่นทำกินของชาวพื้นเมืองเดิมซึ่งภาษากรีกเรียกว่าเผอแลสเจียน ทรงอบรมสั่งสอนพวกเขาให้มีอารยธรรม มีแม่ทัพ2คนมีความรู้ความสามารถพอ เผอแลสเกิสจึงส่งออกไปสร้างนครรัฐใหม่เพื่ออบรมสั่งสอนให้มีความรู้ความเจริญ คือ ทีร์เรินส์(Tyrans)สร้างนครรัฐทีร์เรินส์ และเอพเผอดอร์เริส(Epidauraus)สร้างนครรัฐเอพเผอดอร์เริส นครรัฐเหล่านี้อยู่กันอย่างร่มเย็นจนมีชาวอารยันเข้ามาร่วมกันสร้างอารยธรรมกรีก
ก.ค.ศ.1400-1200 อารยธรรมเมอซีนิของชาวพื้นเมืองรุ่งโรจน์ควบคู่กับอารยธรรมมีนนวน(Minoan)
ก.ค.ศ.1200-1100 เผ่าอารยันปรากฏตัวในดินแดนกรีซ
ก.ค.ศ.1100-800 อารยัน 4 เผ่าแบ่งเขตอิทธิพลกันลงตัว คือ เผ่าอีเออเลียน(Aeolian) คุมภาคเหนือสุด เผ่าดอร์เรียน(Dorian) ภาคเหนือส่วนล่าง เผ่าอโอว์เนียน(Ionian) ภาคกลาง และเผ่าอเคียน(Achean)ภาคใต้ เผ่าอเคียนยกพลแบบทุ่มเทไปปล้นทำลายกรุงทรอย ขณะเดียวกันเผ่าดอร์เรียนก็บุกแหลกปล้นเผาทั่วกรีซและเกาะแก่งในทะเลอีเจียน ชาวเผ่าอโอว์เนียนส่วนหนึ่งอพยพไปตั้งหลักแหล่งที่เอเชียไมเนอร์อเคียนส่วนหนึ่งอพยพไปตั้งหลักที่อิตาลีใต้ เผ่าอีเออเลียนส่วนหนึ่งอพยพไปตั้งหลักแหล่งในทะเลอเดรียติก นับเป็นยุคมืดของอารยธรรมกรีก300 ปี
ก.ค.ศ.800 เริ่มอารยธรรมกรีกผสมผสานอารยันกับพื้นเมือง

บรรณานุกรม
Eliade, Mircea, ed. The Encyclopedia of Religion. New York: Macmillan, 1987.
Hastings, James, ed. Encyclopedia of Religion and Ethics. New York: Scribner, 1959.
Borchert, Donald. Encyclopedia of Philosophy. New York: Macmillan, 2006
Craig, Edward. Routledge Encyclopedia of Philosophy. London: Routledge, 1998.


Leave a comment