อารยธรรมครีทฐานของอารยธรรมกรีก
กาลานุกรมของเกาะครีท
ก.ค.ศ.10000 พบร่องรอยอารยธรรมมนุษย์ยุคหินใหม่
ก.ค.ศ.3400 เริ่มอารยธรรมแบบมีนนวล(Minoan) รู้จักใช้สัมฤทธิ์ มีศูนย์กลางที่นาสสัส(Knossos) ส่งอิทธิพลถึงชายฝั่งกรีซและเกาะแก่งในทะเลอีเจียน
ก.ค.ศ.3000 ทำเหมืองทองแดงบนเกาะไซปรัสภายใต้อำนาจของนาสสัส
ก.ค.ศ.2870 เริ่มนครรัฐทรอย
ก.ค.ศ.2100 รุ่งโรจน์ของอารยธรรมครีทของชาวพื้นเมือง สร้างวังนาสสัสและอื่นๆ
ก.ค.ศ.1900 เผาทำลายอารยธรรมพื้นเมืองโดยชาวพื้นเมือง
ก.ค.ศ.1600 สร้างวังชุดที่ 2 บนเกาะครีท เริ่มอารยธรรมอเคียน(Achaean)ผสมพื้นเมืองกรีก เผ่าอารยันแทรกซึมบนผืนแผ่นดินใหญ่ทั่วไป
ก.ค.ศ.1582 นครรัฐเอเธนส์เป็นอิสระจากอำนาจครีทโดยปฐมกษัตริย์ซีครัพส์ (Cyclops)
ก.ค.ศ.1500 เมอซีนิ(Mercene)ของเผ่าอเคียนเป็นนครรัฐอิสสระจากครีท
ก.ค.ศ. 1450 เผ่าอเคียนรุกรานเกาะครีทอารยธรรมครีทรุ่น2ถูกทำลาย
ก.ค.ศ.1400 สร้างวังทีร์เรินส์(Tiryns) และเมอซีนิเป็นศูน์กลางอำนาจของเผ่าอเคียน
ก.ค.ศ.1313 เริ่มนครรัฐทีบส์(Thebes)โดยแคดเมิส(Cadmus)
ก.ค.ศ.1283 ก่อตั้งนครรัฐเอลเลิส(Elis)โดยเพลลัพส์(Pelops)เผ่าอเคียน
ก.ค.ศ.1261-1209 บทบาทของเฮร์เรอขลิส(Heracles)
ก.ค.ศ.1250 บทบาทของTheseus, Minos, Oedipus, ทรอยรุ่งโรจน์
ก.ค.ศ.1225 การผจญภัยของวีรบุรุษอาร์เกอนอท(Argonaut)
ก.ค.ศ. 1213 สงครามเจ็ดทัพทำลายธีบส์
ก.ค.ศ.1192 เริ่มสงครามทรอย
ก.ค.ศ.1104 เผ่าดอร์เรียน(Dorian)เริ่มรุกรานและทำลายอารยธรรมครีทราบคาบ
ความลออของเกาะครีท
เกาะครีทเป็นส่วนหนึ่งของทะเลเมดิเตอร์เรเนียน มีกวีและนักบรรยายมากมายแสดงความชื่นชมความสวยสดงดงามและความพิเศษต่างๆของทะเลนี้ด้วยสารพัดสื่อที่อาจจะหามาใช้ได้ ทั้งหมดนี้เกาะครีทย่อมมีส่วนด้วยในองค์รวม ที่สำคัญคือนอกจากอากาศดี ภูมิทัศน์งาม จูงใจให้อยู่อาศัยแล้ว ยังสรรค์สร้างผู้มีคุณภาพในทุกด้าน รวมถึงด้านการสร้างอาณาจักรยิ่งใหญ่อย่างมหาอาณาจักรมีนนวน มหาอาณาจักรกรีกของแอลเลิกแซนเดอร์ อาณาจักรโรมันของซีเสอร์
จะพิจารณาเฉพาะคำชมเกาะครีทและบริเวณโดยรอบคือทะเลอีเจียนเท่านั้น
วีล ดูเรินท์(Will Durant) ใน The Life of Greece, p.1 อ้างคำพูดของเพลโทว์ นักปรัชญาชาวกรีกโบราณ ที่กล่าวถึงทะเลอีเจียนที่มีเกาะครีทเป็นเพชรเม็ดงามกลางทะเลว่า “เราชาวกรีกตั้งหลักแหล่งกันเต็มชายฝั่งของทะเลแห่งนี้เหมือนฝูงกบปักหลักอยู่รอบๆบึง” (Phaedo, 109) นับว่าเพลโทว์เปรียบเทียบได้น่าฟังมาก เพราะขณะที่เพลโทว์เขียนนั้นเผ่าอารยันสายกรีกตั้งนครรัฐเป็นอิสสระกันนัวเนียตามชายฝั่งทั้งบนผืนแผ่นดินกรีซ และมากกว่านั้นอีกก็คือตามชายฝั่งของแผ่นดินรอบๆทะเลเมดิเตอร์เรเนียนรวมทั้งชายฝั่งรอบเกาะแก่งทั้งหลาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเกาะครีท มีชาวเผ่าอารยันสายกรีกตั้งนครรัฐกันระเกะระกะ เช่น ตามชายฝั่งสเปนมี Hemeroscopiumและ Ampuriasตามชายฝั่งฝรั่งเศสมี Marseilles และNice ตามชายฝั่งแอฟริกาเหนือมี Cyrene ที่ปากแม่น้ำไนล์มี Naucratis ตามชายฝั่งอิตาลีใต้ทั่วไป ตามชายฝั่งเอเชียไมเนอร์ทั่วไป ส่วนตามชายฝั่งทะเลดำก็คงจะเป็นชาวอารยันที่ยังปักหลักอยู่ที่เดิมไม่คิดจะอพยพออกนอกถิ่นเดิมนั่นเอง
พวกที่บังเอิญย้ายถิ่นมาพบลมฟ้าอากาศแบบเมดิเตอร์เรเนียนเข้า คงถูกโฉลกมากๆ กระจายตัวกันเข้ายึดและไม่ยอมไปไหนต่อแล้ว เพราะอุณหภูมิปานกลาง ไม่ร้อนหรือหนาวเกินไป มี4ฤดูพอเหมาะพอเจาะ ในฤดูหนาวฝนตกเป็นหิมะปกคลุมดิน ให้ความชุ่มชื้นแก่ดินและรักษาดิน หมอกลงนิดหน่อยพอให้มีบรรยากาศ สมองทำงานได้ดี จินตนาการก็ได้รับการกระตุ้นรอบด้านโดยธรรมชาติที่มีสภาพหลากหลายสลับกันอย่างโรแมนติกให้ขยายผลได้ไม่รู้จบ ครั้นย่างเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิ หิมะละลายเป็นน้ำเก็บขังไว้ในแหล่งอุ้มน้ำมากมายทั้งใต้ดินและเหนือดินที่เป็นทะเลสาบงดงามด้วยทิวทัศน์ป่าและทุ่งหญ้าดารดาษด้วยดอกหญ้าราวปูพรม เข้าฤดูร้อนหมายถึงผลเก็บเกี่ยวที่สร้างงบดุลมั่นคง ฤดูใบไม้ร่วงสร้างสีสันจากใบไม้ที่เตรียมผลัดใบแต่ยังห่วงใยให้บริการอันสุนทรีจนถึงขณะหล่นล่วงจากต้นที่พร้อมยืนหยัดสู้ความหนาวเหน็บอย่างไม่เคยย่อท้อ ชาวเกาะครีทเป็นมนุษย์ยุคหินกลุ่มแรกที่หลงเสน่ห์ของลมฟ้าอากาศแบบเมดิเตอร์เรเนียน โดยเฉพะอย่างยิ่งของเกาะครีทซึ่งเห็นได้ลิบๆจากชายฝั่งชวนให้หลงใหล ลงทุนเสี่ยงตายทำแพโล้โต้คลื่นโต้ลมรอดตายขึ้นเกาะได้สำเร็จตั้งแต่ยังเป็นมนุษย์หินใหม่ ขึ้นเกาะได้ก็รู้สึกคุ้มเหนื่อย เพราะมองเกาะจากภายในแล้วยิ่งงามพริ้งกว่าที่เห็นจากระยะไกลลิบลับ ทั้งยังอุดมด้วยผลหมากรากไม้ ลมน้ำอากาศชื่นใจหนักหนา ในไม่ช้าจะพบต่อไปว่ามีสินแร่ให้พัฒนาเครื่องมือเครื่องใช้และทำเครื่องดินเผาได้อย่างเหลือเฟือ พวกเขามีโอกาสพัฒนาชีวิตความเป็นอยู่และเกิดลูกหลานสืบสกุลที่มีคุณภาพ สามารถสร้างเมืองขึ้นมากมายและที่สุดเมืองนาสเสิสก็ได้รับการยอมรับเป็นมหานครศูนย์รวมใจแห่งความสามัคคีให้ไพร่ฟ้าหน้าใสได้ทำกินและอยู่เย็นเป็นสุขช้านานหลายร้อยปี จนถึงวาระไม่สามารถต่อต้านการแทรกซึมจากนอกได้ แม้จะออมชอมก็ไม่เป็นผล
ในขณะที่อารยธรรมมีนนวนกำลังรุ่งโรจน์อยู่นั้น ชาวเกาะครีทเป็นผู้นำในการต่อเรือและเดินเรือค้าขายทั่วทะเลอีเจียนโดยใช้คนโล้แจวมากกว่าใช้ใบเรือ เพราะลมมักจะหยุดพัดเป็นเวลาค่อนข้างนานเป็นเวลาหลายๆวัน พวกเขาไม่ต้องการเข็มทิศเดินเรือ เพราะไม่มีจุดใดในท้องทะเลอีเจียนที่อยู่ห่างจากเกาะหรือชายฝั่งเกิน40ไมล์ ซึ่งก็หมายความว่าไม่มีจุดใดในท้องทะเลที่มองไม่เห็นฝั่ง ยุคทองแห่งอารยธรรมที่เป็นจริงได้ครั้งหนึ่งก็มีอันต้องล้มละลายไปอย่างน่าเสียดายยิ่ง
ผู้ขุดคุ้ยอารยธรรมเกาะครีท
ค.ศ.1878 พ่อค้าชาวเกาะครีทพบวัตถุโบราณชิ้นแรกใต้พื้นดินข้างเนินทางทิศใต้ของเมืองหลวงปัจจุบัน
ค.ศ.1886 ชลีมานน์(Schliemann) นักขุดวัตถุโบราณมาแล้วที่ทรอยและเมอซีนิ ประเมินว่าที่เชิงเนินนั้นจะต้องเป็นที่ตั้งของเมืองนาสสัสโบราณ จึงติดต่อเจ้าของที่ดินขอซึ้อเพื่อทำการขุด เจ้าของที่ถือโอกาสโก่งราคา ชลีมานจากไปอย่างเสียอารมณ์ ต่อมาไม่นานก็ถึงแก่กรรม
ค.ศ.1893 นักโบราณคดีชาวอังกฤษนามว่าดร. อารเธอร์อแวนส์(Dr.Arthur Evans ) ได้ไปทัศนาจรกรุงเอเธนส์ เห็นเครื่องรางของขลังที่เป็นหินวัตถุโบราณวางขายอยู่เกลื่อนกลาดจึงเลือกซื้อมาจำนวนหนึ่ง สังเกตได้ว่ามีลายเส้นอะไรขยุกขยิกอยู่ ซึ่งอแวนส์เชื่อว่าน่าจะเป็นภาษาโบราณก่อนใช้ภาษากรีก แต่ก็หาผู้อ่านไม่ได้ เดาว่าน่าจะมาจากเกาะครีท จึงรีบเดินทางไปยังเกาะครีท พยายามสืบเสาะหาหลักฐานทุกอย่างเกี่ยวกับภาษาดังกล่าว เขาจับตาเป็นพิเศษ ณ บริเวณที่นายชลีมานน์(Schliemann) และสำนักฝรั่งเศส ณ เอเธนส์กำหนดว่าเป็นที่ตั้งของเมืองนาสสัส(Knossos)โบราณ เขากลับบ้านหาทุนและในปีค.ศ.1895 ก็หอบเงินมาซื้อที่ดังกล่าวได้ส่วนหนึ่งและในปีค.ศ.1900ก็ซื้อได้ทั้งหมด เขาเปิดงานขุดบริเวณดังกล่าวทันทีโดยจ้างคนงานถึง 150 คน ก็พบวังของราชวงศ์มีนนัส(Minos) ตรวจพบว่าตัววังมีความสลับซับซ้อนสมกับที่โฮว์เมอร์ได้อ้างไว้ในมหากาพย์ว่าดีเดอเลิส(Daedalus) ช่างก่อสร้างที่ถูกเนรเทศจากเอเธนส์มาสร้างวังลับแลแลบเบอรินธ์(Labirynth)ให้เป็นที่อยู่ของมีนเนอทอร์กระทิงเศียรมนุษย์(Minotaur)ที่กษัตริย์มีนนัสเชื่อว่าเป็นพระโอรส มหากาพย์เล่าว่าเอเธนส์มีพันธะต้องส่งหนุ่มสาวโสดบริสุทธิ์เป็นส่วยมาเลี้ยงมีนเนอทอร์ แสดงว่าเอเธนส์และนครรัฐอื่นๆบนผืนแผ่นดินใหญ่เคยเป็นเมืองขึ้นของครีท และเล่าต่อไปว่าเจ้าชายธีเสียส(Theseus)ได้ปลอมตัวเป็นส่วยส่งมาเป็นอาหารของมีนเนอทอร์และฆ่ามีนเนอทอร์ตายหลบหนีออกไปประกาศเอกราช ต่อมาครีทก็สูญเสียความเป็นผู้นำจนกลายเป็นอาณานิคมของชาวกรีกในที่สุด
อแวนส์ ได้พบว่าวังนาสเสิสเป็นเหยื่อไฟไหม้สูญเสียหนัก คงเหลือแต่ก้อนและแท่งศิลาน้อยใหญ่ให้พอศึกษาได้ ตัวหนังสือที่ติดอยู่กับหินเหล่านี้เป็นห้องสมุดใหญ่ที่ท้าทายให้ใครมาไขปริศนาอ่านออกมาให้ได้ อแวนส์เองทำตัวอย่างสันนิฐานโดยไม่อาศัยห้องสมุดดังกล่าวพิมพ์เป็นหนังสือ 4 เล่มเผยแพร่ในปีค.ศ.1936 แบ่งออกได้เป็น 3 ประเด็นสำคัญ คือ ชีวิตสังคม ชีวิตศาสนา ชีวิตวัฒนธรรม
