ศาสตราจารย์กีรติ บุญเจือ
เปาโลบุกตุรกี
ค.ศ.47 เปาโลอายุ 37ปี
ตุรกีในสมัยโรมันยังไม่มีชาวเตอร์ก ยังไม่มีศาสนาอิสลาม แต่เป็นที่อยู่ของชาวพื้นเมืองเดิมที่พัฒนาจากมนุษย์ยุคหิน มีชาวโกลเร่ร่อนมาปล้นแล้วผ่านบ้าง ปล้นแล้วหาที่ตั้งชุมชนติดอาวุธบ้าง มีชาวกรีกมาตั้งสำนักสอนวิชาการบ้าง มีทหารผ่านศึกโรมันมาตั้งอาณานิคมมีบำเหน็จบำนาญกินบ้าง มีทหารโรมันประจำการมาตั้งค่ายฝึกซ้อมการรบและรบจริงบ้าง มีชาวยิวมาค้าขายและทำอุตสาหกรรมจำหน่ายและส่งออกบ้าง เฉพาะชาวยิวมีธรรมสถานเป็นที่นัดพบเป็นย่านๆภายใต้การดูแลของพรรคฟาริสีซึ่งมีศูนย์กลางใหญ่ที่กรุงเยรูซาเลมซึ่งทำหน้าที่อบรมคัมภีราจารย์มาประจำเพื่อแนะนำการปฏิบัติตนอย่างยิว ส่วนศาสนาอื่นๆก็มีแต่แท่นสำหรับถวายเครื่องเซ่นแก่เทวรูปที่ประดิษฐานเป็นเจ้าที่อยู่ทั่วไป
พอขึ้นบกที่ท่าเรือเพอร์เกอ(Perga)และส่งมาระโกลงเรือไปเยรูซาเลมแล้ว บารนาบัสก็รู้สึกทันทีว่าตนไม่ใช่เจ้าถิ่นเหมือนบนเกาะไซปรัส แต่เปาโลรู้สึกคืนสู่เหย้าเข้าถิ่นดั้งเดิมของตน บารนาบัสจึงปล่อยให้เปาโลทำหน้าที่นำทางเละวางแผนวันต่อวันโดยไม่มีอะไรจะคัดค้าน สองเกลอจึงมุ่งหน้าบุกถิ่นของเปาโลเพื่อผลสำเร็จแห่งอุดมการณ์ร่วมกัน คือเผยแผ่ข่าวดีแก่ชุมชนเอเชียภายใต้การชี้นำของพระจิตวิญญาณบริสุทธิ์ เปาโลตัดสินใจทันทีว่าไปประเดิมปฐมฤกษ์ที่อันทิโอกแห่งปิสิเดีย(Antioch of Pisidia) ซึ่งอยู่เหนือเมืองท่าเพอร์เกอขึ้นไปประมาณ 100 กม. บารนาบัสคงได้แต่คิดอยู่ในใจว่า ที่ท่าเรือเพอร์เกอนี้เองก็มีชุมชนยิวอยู่มากพอ คนรู้จักก็พอมี น่าจะลองชิมลางที่นี่ดูก่อนก็ได้ พลาดท่าเสียเหลี่ยมอย่างไรก็หลบฉากลงเรือไปเอาเชิงที่ไหนก็น่าจะสะดวก แต่บารนาบัสรู้นิสัยของเปาโลดีว่า เป็นคนประเภทชาติกษัตริย์ตรัสแล้วไม่คืนคำ ลงคิดว่าอะไรดีแล้วต้องลงมือทำดูให้เห็นดำเห็นแดง บารนาบัสเป็นคนประเภทไม่อยากขัดใจเพื่อนให้เสียงาน ให้เพื่อนลองให้เห็นผลแล้วค่อยประเมินกันด้วยหลักฐานย่อมดีกว่า บารนาบัสเดินตามขึ้นรถเทียมม้ามุ่งหน้าสู่เมืองอันทิโอก2 โดยดุษณี
อันทิโอก1 เป็นเมืองหลวงของซีเรียสมัยนั้น ก่อตั้งในปีก.ค.ศ. 300เป็นเมืองหลวงของมหาอาณาจักรซีเรียโดยเสอลูเขิสที่ 1(Seleucus I) แม่ทัพภาคตะวันออกของแอลเลิกแซนเดอร์ ตกเป็นของมหาอาณาจักรโรมันเมื่อก.ค.ศ.64 มีบทบาทเป็นเมืองสำคัญรองจากกรุงโรม ส่วนอันทิโอก2ก่อตั้งโดยเสอลูเขิสที่1เช่นกันหลังจากอันทิโอก1 เล็กน้อย ตัวเมืองตั้งอยู่บนที่ราบสูง ตรงตะเข็บรอยต่อระหว่างปิซีเดีย(Pisidia)กับฟรีเจีย(Phrygia) เป็นเมืองหน้าด่านป้องกันมิให้ชาวฟรีเจียรุกล้ำเข้ามา ตกเป็นของมหาอาณาจักรโรมันตั้งแต่ก.ค.ศ.188 และตั้งแต่ก.ค.ศ.25รวบการปกครองไปขึ้นกับแคว้นกาลาเทีย(Galatia)จนถึงสมัยของเปาโล มีชาวยิวมาตั้งหลักแหล่งมากตั้งแต่เริ่มตั้งเมือง ลูกหลานยิวส่วนมากพูดภาษากรีก มีการรณรงค์ให้พูดภาษาละตินและนับถือเทพจักรพรรดิโรมันอเกิสเถิสและเถอเบร์เรียสแต่ไม่ได้ผล
ครั้นเดินทางถึงเป้าหมาย เปาโลทำตัวเป็นเจ้าถิ่น จัดการตั้งเต็นท์อันเป็นธุรกิจของครอบครัวเพื่อพักแรมจนกว่าจะมีคนรู้จัก พยายามให้ใกล้ธรรมสถานไว้ เพราะตั้งเป้าหมายไว้ว่าณวันเสาร์ที่ชาวยิวในชุมชนมาร่วมชุมนุมเป็นประจำ จะมีโอกาสประกาศข่าวดีของพระเมสสิยาห์ในกลุ่มใหญ่ ระหว่างที่รอคอยอยู่ก็ถือโอกาสพูดคุยเลียบๆเคียงๆเรื่อยไปกับใครก็ได้ที่บังเอิญศรกินเส้นกัน ก็ถือโอกาสเลียบเคียงให้อยากรู้เรื่องพระเมสสิยาห์และจะได้ถือโอกาสแจ้งเกิดพระเมสสิยาห์ สักพักเดียวก็จับเค้าได้ว่าคนเมืองนี้สนใจอยากรู้เรื่องพระเมสสิยาห์กันมากและอึดอัดใจที่จนป่านนี้หาผู้รู้พูดให้หมดเปลือกไม่ได้สักที สองธรรมทูตเห็นโชคกำลังเข้าข้างตนแน่แล้ว รีบชักใบให้เข้าทางลมทันที อยากจะพูดม้วนเดียวจบ เปิดโอกาสให้ซักถามได้ชนิดถึงไหนถึงกัน บ่ยั่นดอกนาย ขอให้มีเวลาวันเสาร์นี้เลย ด้วยความตื่นเต้นอยากรู้เรื่องพระเมสสิยาห์ขนานแท้ให้สิ้นสงสัย มีคนไปรบเร้าเจ้าของธรรมสถาน ให้เปิดโอกาสให้อาคันตุกะที่ดูท่าจะรู้ลึกรู้จริงเรื่องพระเมสสิยาห์แถลงไขสักหน่อย ไม่น่าเชื่อก็ไม่ต้องเชื่อไม่เห็นเป็นไร อาจจะได้ของแท้ก็เป็นบุญของพวกเราไป “ก็ตามใจ” เจ้าของธรรมสถานยอมอย่างเสียไม่ได้ “อย่าให้ยืดยาวนักก็แล้วกัน ไม่อยากเสียโปรแกรม” ผู้เสนอหน้ารีบเอาข้อตกลงมาบอก “เสาร์นี้พูดให้หมดเปลือกเลยนะ ได้โปรแกรมแล้ว” เปาโลคอยด้วยใจจดใจจ่อ อยากให้ถึงวันเสาร์เร็วๆ จะได้รู้เสียทีว่าคุ้มค่าเหนื่อยไหม ที่อุตส่าห์เสียค่าเรือค่ารถ นั่งรถม้าโขยกเขยกฝุ่นคลุ้งมาเป็นวันๆอย่างนี้ มันคุ้มค่าเหนื่อยไหม เผยแผ่อยู่ที่อันทิโอก1 ก็ดีอยู่แล้ว ไม่ต้องเหนื่อยขนาดนี้ ไม่หนำใจ อยากจะลองของใหม่ ทั้งเหนื่อยทั้งเสี่ยง “เหตุใดหนอ ข้าจึงสุขใจที่มีโอกาสเหนื่อยเพื่อพระเยซู ข้าเองก็ไม่เข้าใจ รู้แต่ว่าข้าพอใจก็แล้วกันแหละ” เปาโลคงได้นอนก่ายหน้าผากตัดพ้อตัวเองก่อนจะผล็อยม่อยหลับไปอย่างมีความสุขในเต็นท์ที่ตนเองทำเองใช้เองและยังมีที่เผื่อให้บารนาบัสหัวหน้าทีมของตนได้มีที่หลับนอนพักผ่อนด้วยกัน
ปฐมเทศนาชิมลางที่อันทิโอก2
วันเสาร์ต่อมา เปาโลตื่นแต่เช้าตรู่ ออกสูดอากาศบริสุทธ์แห่งที่ราบสูงพร้อมจิตอธิฐานถึงพระบิดาที่ทรงประทานชีวิตและสิ่งดีๆทั้งหลาย แต่งตัวเรียบร้อยแบบอาคันตุกะ ชวนบารนาบัสรีบเดินไปยังที่ตั้งของธรรมสถานก่อนใครเพื่อสร้างบรรยากาศมิตรภาพ ข่าวกระจายไปอย่างรวดเร็วแจ้งว่ามีอาคันตุกะผู้รู้ระแคะระคายเรื่องพระเมสสิยาห์จะมาแฉแหลก ใครสนใจให้รีบมารับรู้ ก็มากันจริงๆด้วยความอยากรู้ว่า มีอะไรชัดเจนกว่าที่เคยฟังมาหลายครั้งหลายคราแล้วบ้าง เปาโลสังเกตได้ว่า ผู้มาฟังส่วนหนึ่งเป็นยิวเต็มตัว อีกส่วนหนึ่งเป็นลูกครึ่งยิว และยังมีอีกส่วนหนึ่งเห็นได้ชัดเจนว่าไม่มีความเป็นยิวเลยก็ว่าได้ แต่สนใจปัญหาเรื่องพระเมสสิยาห์ที่ชาวยิวเล่าขานกัน ครั้นได้เวลาอันควร เจ้าของธรรมสถานก็มาเชิญอาคันตุกะทั้ง2เข้าธรรมสถานและแนะนำให้บรรดาสมาชิกต้อนรับด้วยคำ”ชาโลม=สันติ” ต่อมามีการสวดมนต์เป็นภาษาอาราเมกบ้าง ภาษากรีกบ้าง อ่านพระคัมภีร์ภาษากรีกแล้วเชิญอาคันตุกะรับเกียรติปราศรัยและตีความพระคัมภีร์ ตกลงกันว่าจะพูดทั้ง2คนโดยบารนาบัสเกี่ยงให้เปาโลพูดก่อนนำร่อง ตนเองถนัดทางสรุปมากกว่าเปิดประเด็น เปาโลจึงลุกขึ้นยืน พยายามรวบรวมกำลังทั้งหมดแสดงความเข้มแข็งองอาจว่า “เพื่อนพี่น้องร่วมชาติศาสนา และท่านที่นับถือพระยาห์เวห์เป็นการส่วนตัว ข้าพเจ้าขอคารวะและขอยื่นมิตรภาพให้อย่างเต็มประตู ขอขอบคุณทุกท่านที่ยอมเสียเวลาอันมีค่าของท่านมานั่งฟังข้าพเจ้าอยู่ณขณะนี้ ขอสัญญาว่าท่านจะไม่ผิดหวัง เพราะท่านจะได้รับทราบข่าวประเสริฐที่คุ้มค่า เนื่องจากพระยาห์เวห์ทรงเมตตาต่อเราท่านทุกคน ได้ทรงเลือกบรรพบุรุษของเราให้ทำหน้าที่พิเศษ ตั้งแต่สมัยที่ยังเป็นทาสในแผ่นดินอียิปต์ ยังจำได้ไหม พระองค์ทรงรักพวกเราทุกคนที่ชุมนุมกันณที่นี้ตั้งแต่ขณะที่บรรพบุรุษของเรายังเป็นทาสอยู่เสียด้วยซ้ำ พระองค์ทรงยกย่องทาสพาออกมาจากความเป็นทาสเพื่อให้เป็นไทในประเทศของเราเอง พระองค์ทรงทำได้ตลอด 450ปีโดยไม่ต้องมีกษัตริย์ เมื่อบรรพบุรุษของเราอยากมีกษัตริย์ พระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์ที่น่ารักที่สุดก็ประทานกษัตริย์ดาวิดผู้ยิ่งใหญ่ พระยาห์เวห์ทรงพอพระทัยความซื่อสัตย์ของดาวิด จึงได้ทรงประกาศเป็นระยะๆเรื่อยมาในประวัติศาสตร์ว่าสักวันหนึ่ง เชื้อสายของดาวิดจะเป็นผู้ประกาศตั้งอาณาจักรแห่งสวรรค์เพื่อเชิญคนทุกชาติทุกภาษามาร่วมใจกันทำดีอย่างไม่มีความรังเกียรติเดียดฉันท์ และพวกเราก็จะทำหน้าที่เป็นกระบอกเสียงประกาศข่าวดีนั้น บัดนี้ข้าพเจ้าขอถือวิสาสะนำข่าวมาแจ้งให้พวกท่านได้รับรู้ว่า พระเมสสิยาห์ที่บรรดาประกาศกช่วยกันประโคมพยากรณ์ไว้นั้น มาถึงแล้ว แต่พวกของเราเองที่กรุงเยรูซาเลมกลับมองไม่ออก ดันนำตัวไปกดดันให้ข้าหลวงโรมันตัดสินประหารชีวิต แต่ทั้งนี้กลับเป็นผลดี เพราะเป็นโอกาสให้พระองค์ได้แสดงบทบาทอันแท้จริงได้ง่ายขึ้น เพราะพระเยซูได้ทรงฟื้นคืนชีพณวันที่ 3 ให้ทุกคนที่อยากจะเห็นได้เห็นและเป็นพยานรับรู้พระสัญญาอันทรงเกียรติว่า ใครร่วมงานกับพระองค์จะได้ฟื้นคืนชีพเหมือนพระองค์ ข้าพเจ้าเองโตไม่ทันวันนั้น แต่พระเยซูได้แสดงองค์ในลักษณะฟื้นคืนชีพให้ข้าพเจ้าได้เห็นกับตา ข้าพเจ้าขอยืนยันโดยเอาชีวิตเป็นเดิมพัน ข้าพเจ้าจึงเดินทางมาหาท่านถึงที่นี่เพราะพระจิตวิญญาณบริสุทธ์สั่งให้ข้าพเจ้ามาและข้าพเจ้ามิอาจทัดทาน ท่านผู้ใดไม่ต่อต้านพระจิตวิญญาณบริสุทธิ์ก็จะได้รับและรู้สึกพลังของพระองค์ในตัวเหมือนกับที่ข้าพเจ้ารู้สึก
เปาโลพูดได้แค่นี้ก็มีผู้ร้องไชโยสนับสนุนจนพูดต่อไปไม่ได้เพราะคนจำนวนมากกรูกันเข้ามาขอความกระจ่างว่าต้องทำอย่างไรต่อไป เปาโลบอกให้รับบัปติสมาล้างบาปด้วยน้ำตามคำสั่งของพระเยซูและช่วยกันเผยแผ่ข่าวดีและชวนกันมาธรรมสถานให้มากขึ้นในวันเสาร์หน้า เจ้าของธรรมสถานพอใจและทุกคนก็พอใจ นัดกันมั่นเหมาะว่าจะชวนผู้สนใจมารับรู้ให้มากยิ่งๆขึ้น หลายคนตามเปาโลและบารนาบัสไปที่กระโจมที่พักอยู่ เพื่อช่วยกันรื้อถอนและช่วยกันหอบเข้าของในกระโจมย้ายมาอยู่ในบ้านที่เจ้าบ้านอาสารับให้เข้าไปพักและดูแลให้อยู่ดีกินดีเพื่อเป็นมงคลแก่ครอบครัวและชุมชน เปาโลมีความสุขมากกับพวกเขา เป็นเหมือนเทวดามาโปรดพวกเขา พูดอะไรพวกเขาก็เชื่อและทำตามอย่างจริงจังไปหมด ทำให้รู้สึกชีวิตเหมือนนิยาย แต่เปาโลก็ไม่ลืมพันธกิจที่ตั้งใจ คือพยายามสอนเขาให้รู้จักพระเยซูอย่างที่ตัวเองรู้จัก พยายามหาผู้รักงานและรับผิดชอบเพื่อแต่งตั้งให้อยู่ในตำแหน่งต่างๆเหมือนอย่างคริสตจักรแห่งเยรูซาเลม แต่กำชับให้รักและเคารพกันไม่แบ่งชั้นวรรณะ ไม่แบ่งเป็นยิวและไม่ใช่ยิว ทั้งนี้จะได้อยู่ได้ด้วยตนเองและช่วยกันและกันแก้ปัญหาได้จนถึงที่สุด หากจำเป็นเปาโลจะได้จากไปเมื่อใดก็ได้ เปาโลมีความสุขมากๆและตั้งใจจะสร้างmodelรูปแบบคริสตจักรให้ที่ใหม่ที่หวังว่าจะเกิดตามต่อมาอีกมาก
เราไม่อาจทราบได้ว่าเปาโลอยู่กับพวกเขานานเท่าไร แต่บอกได้ว่านานพอที่พวกเขารู้จักรวมตัวกันเป็นคริสตจักรที่มั่นคง ชนิดพร้อมที่จะก่อตั้งคริสตจักรใหม่ตามแบบของเปาโลได้อย่างสบายมาก พวกเขามีเสรีภาพว่าใครอยากไปร่วมสวดมนต์และอ่านพระคัมภีร์กับชาวยิวในวันเสาร์ก็ย่อมทำได้ หากไม่ไปก็ไม่ว่ากัน ส่วนผู้ที่นับถือพระเยซูเป็นเมสสิยาห์ก็นัดรวมตัวกันเป็นครั้งคราวเพื่อรับประทานอาหารร่วมกันโดยมีพิธีบิขนมปังเพื่อระลึกถึงพระเยซูและรื้อฟื้นสัตยาบันว่าจะช่วยกันเผยแผ่ข่าวดีของพระเยซู เปาโลดูแลให้พวกเขาทำงานกันอย่างชื่นอกชื่นใจ หายใจเต็มทรวงอกอยู่ได้สักปีเศษๆ เหล่ามารเริ่มรู้ตัวว่าปล่อยปละละเลยเกินไปแล้ว
ค.ศ.48 เปาโลอายุได้ 38 ปี
คัมภีราจารย์จำนวนหนึ่งในกรุงเยรูซาเลมเล่นการเมือง พวกเขาต้องการพบพระเมสสิยาห์เหมือนกัน แต่ต้องการพระเมสสิยาห์ประเภทกู้เอกราชปลดแอกจากอำนาจของชาวโรมัน พวกเขาเคยคิดจะยกพระเยซูขึ้นเป็นหัวหน้าคณะกู้ชาติ เพราะเชื่อว่าบุคลิกภาพของพระองค์น่าจะทำได้สำเร็จ แต่พระองค์ทรงรู้ทันและไม่ยอมตกหลุมพรางของพวกเขา ครั้งล่าสุดพวกเขาคิดจะใช้วิธีหักดิบซึ่งเชื่อได้ว่าพระองค์ไม่มีทางเลี่ยงก็จะต้องยอมตามแบบตกกะไดพลอยโจน เหตุเกิดเมื่อปีค.ศ.30 ในเทศกาลปาสการะลึกถึงวันประกาศเอกราชจากแอกของชาวอียิปต์โดยการนำของโมเสส พวกเขาสืบรู้ว่าพระองค์พร้อมผู้ติดตามจะเข้ากรุงเยรูซาเลมจึงชวนพรรคพวกจัดฉากให้มีหน้าม้าตะโกนต้อนรับพระเยซูในฐานะผู้นำปลดแอก ชาวบ้านและชาวต่างถิ่นที่มาร่วมงานสมโภชเทศกาลได้ยินเสียงโหวกเหวกในท้องถนนก็ออกมาสมทบด้วยความมักรู้แล้วก็พลอยผสมโรงกลายเป็นการเดินขบวนเรียกร้องเอกราชขนาดใหญ่โดยปริยาย พระเยซูในวันนั้นก็ดูเหมือนจะสมยอมโดยขี่ลานำขบวนเข้ากรุงเยรูซาเลมอย่างสง่างาม บรรดาผู้จัดฉากดีใจที่แผนการสำเร็จทะลุเป้า เหตุการณ์อย่างนี้มีหรือจะรอดพ้นสายตาหาข่าวของทหารโรมัน พวกเขาจะต้องยกกำลังเข้าปราบ ถ้าพระองค์ไม่ใช่พระเมสสิยาห์ตัวจริง ก็จะถูกปราบเหมือนทุกที หากใช่แล้วพระองค์ก็จะแสดงธาตุแท้ของพระองค์ให้ปรากฏเป็นแน่ ครั้นกระบวนแห่เข้าถึงประตูกรุงเยรูซาเลมจริงๆแทนที่จะประกาศอิสรภาพต่อหน้าปวงชนผู้สนับสนุน กลับละทิ้งประชาชนเสียเฉยๆอย่างไร้ความรับผิดชอบ หากกองทหารโรมันยกมาขณะนั้นประชาชนคงล้มตายกันเป็นเบืออย่างไร้ที่พึ่ง ได้รับคำแก้เก้อเพียงแต่ว่า เราต้องดูแลบ้านของพระบิดาของเรา แล้วก็ไล่ตะเพิดผู้ให้บริการแก่ผู้มาทำบุญในพระวิหารอย่างคนบ้าคลั่ง พวกเขาเฝ้าดูพฤติกรรมแล้วเสียความรู้สึก จึงไปยุแหย่มหาปุโรหิตให้จัดการกำจัดเสีย “ให้ตายไปเสียคนเดียวดีกว่าปล่อยให้ทหารโรมันมาจัดการแบบเหวี่ยงแห จะต้องสังเวยชีวิตผู้ไม่รู้อีโหน่อีเหน่ไปอีกไม่รู้กี่ศพ” มหาปุโรหิตเห็นดีด้วย มหาปุโรหิตเองส่งทหารของตนไปจับพระเยซูโดยละม่อมกลางดึกเพื่อนำตัวไปให้ข้าหลวงโรมันแต่เช้ามืดให้ตัดสินประหารชีวิตด้วยข้อหาว่าตั้งตัวเป็นกษัตริย์แข็งข้อต่อพระมหาจักรพรรดิโรมัน “ตายไปเสียได้นึกว่าจะหมดเวรหมดกรรม หนอยแน่ที่ไหนได้ พวกสาวกพากันโพนทะนาว่าฟื้นคืนชีพและเหาะขึ้นสวรรค์กลางวันแสกๆมีผู้รู้เห็นตั้ง500 มีคนเชื่อตามมากขึ้นทุกวัน ไม่ห้ามไม่ปรามไม่ได้แล้ว แค่นี้ก็แตกแยกกันจะแย่อยู่แล้ว เปาโลทีแรกก็ช่วยเราปราบ ไหงถึงงี่เง่าไปเข้าข้างพวกแตกแยกไปได้ก็ไม่รู้ ทางเยรูซาเลมกำลังต้องการตัวอยู่เชียวนา หนอย! เผลอแว่บเดียวแอบมาก่อความแตกแยกถึงที่นี่ อย่าไปเชื่อพวกอุปโลกน์พระเมสสิยาห์ปลอม เดี๋ยวจะกู้ชาติไม่สำเร็จ ที่พอจะอยู่กันได้ขณะนี้จะพลอยฝันสลายไปหมดถ้าไม่ช่วยกันประคับประคองเอาไว้ ขอร้องเถอะ พวกเจ้าของธรรมสถานทั้งหลาย โปรดอย่าปล่อยให้เปาโลและพลพรรคเข้ามาใช้สถานที่ยุแหย่สร้างความแตกแยกอีกต่อไปเลย ขอร้องเถอะพวก เดี๋ยวเรื่องจะบานปลายไปมากกว่านี้จนตะล่อมกลับไม่ไหวเชียวนา!”
ผลก็คือเปาโลถูกห้ามเข้าธรรมสถานแห่งอันทิโอก2 ทั้งยังถูกอันธพาลหมายหัว ผู้ภักดีต้องขอร้องแกมบังคับให้ลี้ภัยไปให้พ้นหน้าพ้นตา เรื่องจะเป็นอย่างไรโปรดติดตามตอนต่อไป
