ศาสตราจารย์กีรติ บุญเจือ
ปรัชญาของเปาโล
เมื่อได้ทำการศึกษาชีวิตของเปาโลแบบจับต้นชนปลายจบลงแล้ว ก็น่าจะเจาะลึกกันต่อไปว่าเปาโลมีปรัชญาอะไรอยู่ในใจ หรือใช้สัญชาตญาณปัญญาอะไรขนาดไหนมาทุ่มเทจนยอมสิ้นเนื้อประดาตัวขนาดนี้พระเยซูเป็นผู้เปิดเผยรหัสธรรมที่เป็นเนื้อหาข้อเชื่อของศาสนาคริสต์ เปาโลเป็นนักปรัชญาคริสต์คนแรกที่เอาเนื้อหาข้อเชื่อที่พระเยซูประทานมาขยายผลเป็นปรัชญาซึ่งนักปรัชญาคริสต์ทั้งหลายต้องถือเป็นกรอบและบรรทัดฐานขยายผลต่อไป จึงจะเป็นที่ยอมรับในวงการชาวคริสต์มาจนทุกวันนี้
ปรัชญาที่รับจากศาสนายูดาห์
เปาโลเป็นปราชญ์คนหนึ่งของศาสนายูดาห์และรับนับถือศาสนายูดาห์อย่างที่นักปรัชญาคนหนึ่งพึงเชื่อและปฏิบัติ คือ
1.เชื่อว่ามีโลกและสรรพสิ่งในโลกที่ตนพึงเชื่อได้ว่ามีอยู่จริง เป็นความเป็นจริงที่มีประสบการณ์ได้ แต่ทว่าสิ่งเหล่านี้มีอายุ มีจุดเริ่มต้น จึงมีผู้สร้างที่เป็นจิตทรงฤทธิ์ที่สร้างและเป็นเจ้าของ
2.เชื่อว่าพระยาห์เวห์ทรงเป็นเจ้านายที่หวังดีต่อมนุษย์แต่ก็ทรงความเที่ยงธรรมอย่างชอบธรรม ตอบแทนความดีและลงโทษคนไม่ซื่ออย่างชอบธรรม ทั้งจากฝ่ายพระองค์เองและจากฝ่ายผู้รับ ซึ่งถ้าไม่ชอบธรรมก็จะไม่พอใจ
3. เชื่อว่าพระยาห์เวห์ทรงรักชนชาวยิวเป็นชาติพิเศษ แต่ชาวยิวก็พึงตอบสนอง มิฉะนั้นก็จะลงโทษทั้งชาติตามระดับความไม่รับผิดชอบ
4.เชื่อว่าพระยาห์เวห์ทรงสัญญาจะประทานพระเมสสิยาห์มากอบกู้สถานภาพของประชากรอิสราเอลซึ่งจะมีผลดีต่อส่วนรวมของประชากรทั้งโลก
5.เชื่อว่าเมื่อถึงวาระสิ้นโลก คนดีทุกคนจะได้ฟื้นคืนชีพเพื่อเป็นสังคมใหม่ของพระยาห์เวห์ตลอดกาล
ปรัชญาใหม่หลังรู้จักพระเยซู
1.เหมือนเดิม
2.เหมือนเดิม
3.เหมือนเดิม
4.พระยาห์เวห์ทรงประทานพระเมสสิยาห์มาให้แล้ว คือ พระเยซูซึ่งเป็นพระบุตรนิรันดรเสมอพระยาห์เวห์ ทรงถ่อมองค์ลงมาเกิดเป็นมนุษย์ ทรงเสียสละยอมสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนเพื่อไถ่บาปมวลมนุษย์ตามครรลองรหัสธรรมลึกลับนิรันดรที่ทรงเปิดเผยให้มนุษย์ได้มีโอกาสล่วงรู้โดยผ่านทางผู้ที่ทรงเลือกสรร
5.เหมือนเดิม
ข้อสังเกต
1.รหัสธรรม(mystery ภาษากรีกmusteron ภาษาละตินmysterium) ศาสนากรีกโบราณใช้คำนี้ในความหมายว่า ข้อเชื่อและข้อปฏิบัติที่สงวนไว้ให้รู้และปฏิบัติเป็นความลับสุดยอด รู้และปฏิบัติได้เฉพาะสมาชิกที่มีคุณสมบัติตามกำหนดเท่านั้น เปาโลนำคำนี้มาใช้ในระบบคำสอนของตนเพื่อหมายถึงข้อความเชื่อที่เดิมมีแต่พระเจ้าเท่านั้นที่รู้ เมื่อถึงเวลากำหนดพระเยซูจึงนำมาเปิดเผยแก่อัครสาวกซึ่งเปาโลก็เป็นคนหนึ่ง เพื่อให้ช่วยกันเผยแผ่ต่อๆกันไป เนื้อหาของรหัสธรรมไม่ใช่เรื่องที่มนุษย์คนใดจะสามารถรู้ได้ด้วยปัญญามนุษย์ระดับธรรมชาติ ผู้ที่รู้จนเชื่อตามได้จึงถือว่าได้รับพระพรพิเศษจากพระจิตวิญญาณบริสุทธิ์เพื่อจะเผยแผ่แก่ผู้อื่นต่อไป พระพรพิเศษดังกล่าวนี้เรียกว่าพระหรรษทาน(Divine Grace)หากถามเปาโลว่าผู้ไม่ได้รับพระหรรษทานให้เชื่อจึงไม่เชื่อ จะไม่ได้รอดคือต้องตกนรกทั้งหมดใช่ไหม บางคนคิดเช่นนั้น แต่เชื่อได้ว่าไม่ใช่ปรัชญาของเปาโล เพราะเปาโลคิดว่าคนดีไม่มีสิทธ์จะตกนรก เพราะเขาเป็นคนดี เขาเป็นพลเมืองแห่งอาณาจักรของพระเจ้าผู้ทรงเป็นองค์แห่งความดี แต่เขาไม่เชื่อว่ามีพระเจ้า เขาเป็นอเทวะที่ประพฤติตัวดี ดีกว่าคนเชื่อพระเจ้าหลายๆคนเสียอีก เปาโลก็จะยืนกรานตอบว่า ไม่ต้องเป็นห่วงพระยาห์เวห์เจ้าทรงมีวิธีการของพระองค์ตามครรลองแห่งรหัสธรรมของพระองค์ โดยไม่มีใครจะตำหนิได้ว่าไม่เป็นธรรม(unfair)หรือไม่ชอบธรรม(unjustified)
2.การไถ่บาป(redemption)คือการเปิดประตูสวรรค์ของพระยาห์เวห์แก่มนุษย์ทุกคน พระบุตรเยซูเป็นผู้มาเปิดเผยและเปาโลเป็นผู้ได้รับเกียรติให้รู้มาก่อนจึงนำมาบอกในฐานะข่าวดี หากถามว่าจะเชื่อได้อย่างไร เปาโลวางชีวิตเป็นเดิมพัน คือทำงานเหนื่อยยากโดยไม่มีค่าจ้าง เพราะไม่รู้ไปเบิกจากใครได้ และพร้อมที่จะสละชีวิตเป็นเดิมพันทุกเมื่อ อย่างนี้ถ้าไม่ใช่เรื่องจริง ผู้ยอมทำได้อย่างนี้ไม่โง่ก็บ้า หรือทั้งโง่และบ้า แต่เปาโลทั้งเก่งทั้งฉลาด
3.พระเยซูถูกจับ ถูกสอบสวน ถูกตัดสินลงโทษประหารชีวิตตามกระบวนการของกฎหมายโรมัน เปาโลทำอย่างไรถึงได้โยงใยกับการไถ่บาปมนุษย์ทั้งโลกไปได้ เปาโลอ้างง่ายๆว่าเป็นรหัสธรรมล้ำลึกอีกข้อหนึ่งที่พระเยซูเป็นทั้งผู้เปิดเผยและทำให้เป็นจริงด้วยพระองค์เอง ส่วนเปาโลเป็นผู้รับสนองพระโองการนำออกประกาศแก่คนทั่วโลก เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ใครทำหน้าที่ศาสดากันแน่
4. พระบิดาเป็นพระเจ้าสูงสุด พระบุตรเป็นพระเจ้าสูงสุด พระจิตวิญญาณบริสุทธิ์เป็นพระเจ้าสูงสุด รวมกันแล้วเป็นพระเจ้าสูงสุดองค์เดียว จึงเป็นศาสนาเอกเทวนิยม(Monotheism) ไม่ใช่พหุเทวนิยม(Politheism) เปาโลก็ยืนยันหน้าตาเฉยอีกนั่นแหละว่าเป็นรหัสธรรมล้ำลึกอีกข้อหนึ่งสำคัญที่สุด ลึกลับพอๆกับที่ว่าไม่รู้จบ+ไม่รู้จบ+ไม่รู้จบ=1ไม่รู้จบ ไม่ใช่3ไม่รู้จบ แต่ต่างกันมากในส่วนที่ว่า ไม่รู้จบไม่นำไปสู่สวรรค์นิรันดร ผิดกับรหัสธรรมที่ช่วยให้ได้มีส่วนในมรดกนิรันดร ผิดกันหนอ ผิดกันหนอ ผู้ฟังเปาโลส่วนมากเลือกเชื่อตามเปาโลโดยถือคติว่าปลอดภัยไว้ก่อน
5.เปาโลใจร้อน ไม่คอยให้รู้หมดแล้วค่อยสอน แต่รู้แค่ไหนก็สอนไปก่อนแค่นั้นแล้วค่อยๆพัฒนาไปเรื่อยๆจนตาย การสอนของเปาโลจึงไม่เป็นระบบแต่สอนไปตามปัญหาที่บังเอิญเจอะเจอเข้าโดยบังเอิญ ประเภทปั่นวิกฤติให้เป็นโอกาส เห็นปัญหาค่อยหาคำตอบ แก้ไปเป็นเปราะๆ คำสอนของศาสนาคริสต์เป็นอย่างนี้มาโดยตลอด ถ้าไม่มีใครป้อนคำถาม ก็แนะนำไม่ถูก ถ้าไม่มีวิกฤติผลักให้ต้องตัดสินใจ ก็ไม่รู้จะก้าวไปทางไหน วิกฤติจึงเป็นพระเอกตัวจริงของศาสนาคริสต์ ประวัติศาสตร์ศาสนาคริสต์จึงเต็มไปด้วยเหตุบังเอิญเหมือนเสแสร้ง แต่บังเอิญแต่ละครั้งแก้กันจนกระอักเลือด ไม่เชื่อก็ลองติดตามดู
คำสอนเม็ดเด็ดของเปาโล
“พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าขอเตือนท่านให้คำนึงถึงข่าวดีที่ข้าพเจ้าประกาศแก่ท่าน ท่านได้รับไว้แล้วและยังคงเชื่อมั่นอยู่ ข้าพเจ้าขอปลุกจิตสำนึกดังกล่าวนี้ให้ตื่นตัวอยู่เป็นนิตย์ในหมู่พวกเราที่มีความเชื่อเดียวกัน คือ พระคริสตเจ้าได้สิ้นพระชนม์เพราะบาปของเรา ทรงถูกฝังไว้และวันที่3ทรงกลับคืนพระชนมชีพ ทรงแสดงองค์แก่เปโตรและอัครสาวกทั้ง12 หลังจากนั้นทรงแสดงองค์แก่พี่น้องมากกว่า500ในคราวเสด็จสู่สวรรค์ ซึ่งส่วนมากยังมีชีวิตอยู่ แต่บางคนก็หลับพักผ่อนไปแล้ว และที่สุดได้ทรงแสดงองค์แก่ข้าพเจ้าด้วยเป็นกรณีพิเศษ ข้าพเจ้านับว่าเป็นผู้น้อยที่สุดในบรรดาอัครสาวก และไม่สมควรได้ชื่อว่าอัครสาวก ที่เป็นอยู่นี้ก็ด้วยเดชะพระหรรษทานของพระเจ้า และพระหรรษทานที่ประทานแก่ข้าพเจ้ามิได้เสียเปล่า เพราะข้าพเจ้าทำงานหนักกว่าผู้อื่น ข้าพเจ้ามิได้ทำด้วยความสามารถของข้าพเจ้าเอง แต่เป็นพระหรรษทานของพระเจ้าที่อยู่ในตัวข้าพเจ้าที่ทำการ เพระฉะนั้นทั้งที่ข้าพเจ้าและเขาเหล่านั้นเทศน์สอนอย่างไรเพื่อเสริมความเชื่อนี้ก็จงรับฟังไว้เถิด ถ้าผู้ตายไม่ได้กลับคืนชีพ ก็หมายความว่าพระเมสสิยาห์มิได้ฟื้นคืนชีพจริง และถ้าพระคริสต์มิได้ฟื้นคืนชีพจริง ความเชื่อของเราท่านก็เสียเปล่า เมื่อเป็นเช่นนี้ผู้ที่หลับในพระคริสต์ก็ไม่ได้ดิบได้ดีที่ตรงไหน และถ้าเรามีความหวังในพระคริสต์เพียงเพื่อหวังผลในโลกนี้เท่านั้น เราก็เป็นมนุษย์ที่น่าสงสารที่สุด พระคริสต์จะเสด็จมาในวาระสุดท้าย พระองค์จะทรงมอบพระอาณาจักรให้แก่พระบิดา หลังจากทรงทำลายการปกครอง อำนาจ และอานุภาพทั้งหลาย เพราะพระคริสตเจ้าจะต้องได้ครองราชย์ จนกว่าพระเจ้าจะทรงปราบศัตรูทั้งมวลให้อยู่ใต้พระบาทของพระองค์ เมื่อทุกสิ่งถูกปราบอยู่ใต้อำนาจของพระคริสตเจ้าแล้ว พระบุตรก็จะทรงอยู่ใต้อำนาจของพระบิดา ผู้ทรงปราบทุกสิ่งให้อยู่ใต้อำนาจ เพื่อพระเจ้าจะได้ทรงเป็นทุกสิ่งในทุกคน” (1โครินธ์15:1-28)
แน่นอนว่าคำสอนเช่นนี้เป็นดาบ2 คม คมที่1ก็คือ สาวกอ่านแล้วสบายใจ มีความหวัง มีความภูมิใจ มีกำลังใจในการสู้อุปสรรคทั้งหลายในชีวิต คมที่2ก็คือ สาวกอาจจะฮึกเหิมจนออกนอกหน้าและนอกกรอบความเกรงใจผู้อื่นกลายเป็นปมเขื่องยกตนข่มท่าน กลายเป็นการสร้างความหมั่นไส้แก่ผู้ได้พบเห็น ในที่สุดถึงขั้นอาจเป็นกลุ่มชนที่น่ารังเกียจของสังคมโดยทั่วไปก็ยังได้ และจริงๆแล้วเปาโลก็อาจจะได้สังเกตผลลัพธ์จริงๆขึ้นบ้างแล้วก็เป็นได้ จึงคงได้รู้สึกว่าให้ดาบคมกริบแล้วต้องให้ฝักที่รัดกุมกำกับไว้ด้วย นอกจากนั้นยังมีคมที่3ที่เปาโลคงได้นึกได้ในภายหลังว่าเป็นอันตรายจริงๆทั้งอาจจะถึงกับทำลายงานเหนื่อยยากทั้งหมดของเปาโลลงในชั่วข้ามคืนก็ได้ จึงต้องรีบทำฝักออกกำกับให้แพร่หลายโดยเร็วที่สุด จึงได้เขียนไว้ในจดหมายถึงชาวโรมเพื่อให้คัดลอกไปอ่านกันในคริสตจักรต่างๆโดยด่วน ซึ่งก็ได้เป็นไปตามปณิธาน
“เดชะพระหรรษทานที่ข้าพเจ้าได้รับ ข้าพเจ้าขอกล่าวกับท่านแต่ละคนว่า อย่าคิดว่าตนเองเหนือกว่าผู้อื่น แต่จงคิดให้ถูกต้องว่า พระเจ้าประทานความเชื่อให้แต่ละบุคคลมากน้อยต่างกัน เรามีพระพรพิเศษแตกต่างกันตามพระหรรษทานที่พระองค์ประทานให้ จงแสดงความเมตตากรุณาด้วยใจยินดี จงรักด้วยใจจริง จงหลีกหนีความชั่ว จงยึดมั่นในสิ่งที่ดี จงรักกันฉันพี่น้อง จงคิดว่าผู้อื่นดีกว่าตน จงอวยพรผู้ที่เบียดเบียนท่าน จงอวยพรเขา อย่าสาปแช่งผู้ใด อย่ามักใหญ่ใฝ่สูง แต่จงยอมทำสิ่งที่ต่ำต้อยเถิด อย่าทะนงว่าตนฉลาด อย่าตอบแทนความชั่วร้ายด้วยความชั่ว จงพยายามทำดีต่อมนุษย์ทุกคน จงอยู่อย่างสันติกับมนุษย์ทุกคนเท่าที่เป็นไปได้ พี่น้องที่รักยิ่งอย่าแก้แค้นเป็นอันขาด แต่จงปล่อยให้พระเจ้าทรงตัดสินลงโทษตามเกณฑ์ของพระองค์เองเถิด อย่าให้ความชั่วเอาชนะท่าน แต่จงชนะความชั่วด้วยความดีเถิด ทุกคนจงนอบน้อมต่อผู้มีอำนาจปกครอง เพราะไม่มีอำนาจใดที่ไม่มาจากพระเจ้า และอำนาจทั้งหลายที่มีอยู่ก็ได้รับมาจากพระเจ้าทั้งสิ้น ดังนั้นผู้ที่ต่อต้านอำนาจก็ต่อต้านพระบัญชาของพระเจ้า ผู้ที่ต่อต้านจะถูกตัดสินลงโทษ ดังนั้นท่านจำเป็นต้องนอบน้อม ไม่เพียงเพราะกลัวการลงโทษ แต่นอบน้อมเพราะมโนธรรมด้วย ดังนั้นท่านจงเสียภาษี จงให้แก่ทุกคนตามสิทธิของเขา จงเสียภาษีแก่ผู้มีสิทธิรับภาษี จงเสียค่าธรรมเนียมแก่ผู้มีสิทธิ์เก็บค่าธรรมเนียม จงเกรงกลัวผู้ที่ควรเกรงกลัว จงให้เกียรติแก่ผู้สมควรได้รับเกียรติ จงยอมรับผู้ที่ความเชื่อยังไม่มั่นคง อย่าตัดสินเขาเพราะความลังเลใจของเขา ท่านเป็นใครกันที่จะตัดสิน แต่ละคนจงปฏิบัติตามความเชื่อมั่นของตนเถิด” (โรม 12:3-13)
แม้เปาโลจะพยายามป้องกันไว้อย่างดีแล้วที่จะไม่ให้รัฐบาลโรมันกล่าวหาว่าชาวคริสต์จะตั้งมหาอาณาจักรคริสต์ขึ้นมาแทนมหาอาณาจักรโรมัน ก็ไม่วายที่มหาจักรพรรดิเนโรจะมีเหตุอื่นมาล้มโครงการของเปาโลจนได้ และเราจะเห็นกันต่อไปว่า การมุ่งล้มอาณาจักรคริสต์ของเนโรนั้นเองกลับเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยการเผยแผ่ศาสนาคริสต์ได้รวดเร็วกว่าที่เปาโลได้ทำสถิติไว้เสียอีก ทั้งยังช่วยแก้ปัญหาความแตกแยกของชาวคริสต์ได้เป็นอย่างดีอีกด้วย เป็นวิกฤติที่เป็นโอกาสหรือความบังเอิญมาช่วยแก้ความคับขัน หรืออะไรกันแน่ เราจะช่วยกันศึกษาและติดตามต่อไปอย่างสนุกสนาน
