ศาสตราจารย์กีรติ บุญเจือ
คริสตศาสนาหลังความตายของเปาโล
เปาโลเป็น1ในบรรดาแพะรับบาปของจักรพรรดิเนโรที่ถูกกล่าวหาว่าสั่งเผากรุงโรมเพื่อขยายวังเมื่อคืนวันที่19กรกฎาคม ค.ศ.64 พระชนมายุได้ 27 ชันษาเนโรจึงโยนความสงสัยให้ชาวคริสต์ซึ่งเป็นชุมชนเล็กที่สุดในกรุงโรมขณะนั้น เพื่อให้สมจริงเนโรจึงสั่งให้เจ้าหน้าที่ควาญหาชาวคริสต์มาประหารชีวิตอย่างจริงจังเพื่อคลายความแค้นของเจ้าทุกข์ทั้งหลายที่เสียหายไปกับพระเพลิงมากมายเหลือคณา หากจับได้ในกรุงโรมก็ให้จักรพรรดิตัดสินพระทัยว่าจะให้ประหารชีวิตแบบใด ซึ่งภาพยนตร์หลายเรื่องนำออกแสดงโดยการแต้มสีตามครรลองของศิลปะการแสดง จึงไม่ใช่จริงทั้งหมดตามที่แสดง และแสดงไม่หมดตามที่เกิดขึ้นจริง ส่วนในหัวเมืองให้ผู้ว่าราชการแต่ละแห่งตัดสินใจเอาเองว่าจะประหารชีวิตแบบใดหรือจะส่งมาที่กรุงโรมให้จักรพรรดิจัดการให้ก็ไม่เกี่ยง ในการลงโทษกรณีนี้ไม่ต้องถามว่าเป็นพลเมืองโรมันหรือไม่ เพราะมีโทษเท่ากัน สิทธิพลเมืองโรมันไม่ให้ความคุ้มครองในคดีนี้ ขอให้มีหลักฐานหรือมีผู้รายงานก็จับตัวมาลงโทษได้ทันทีเนโรคิดว่าเรื่องนี้ไม่ยืดเยื้อ ชาวคริสต์คงมีไม่มาก ประหารชีวิตเดี๋ยวเดียวก็คงจะหมด ปัญหาสำคัญสำหรับเนโรก็คือ เมื่อหมดชาวคริสต์ให้ประหารเล่นสนุกมือแล้ว ต่อไปจะหาเกมอะไรมาแทนได้ทัน แต่เนโรหาได้ทรงเฉลียวใจไม่ว่า ข้อกล่าวหาแรกที่ว่าเนโรเผาเมืองเพื่อขยายพระราชวังนั้นยังอยู่ในจิตใต้สำนึกของชาวโรมผู้เสียหายอยู่ แผนการหาแพะรับบาปของเนโรดับกระแสไปได้เพียงชั่วคราวเท่านั้น เพราะต่อมาไม่นานเนโรก็ขยายวังจริงๆและห้ามบุกรุกเขตขยายจริงๆ ปมซาดิสต์ก็แสดงออกอย่างต่อเนื่องซึ่งอาจจะสร้างความรู้สึกพอใจแก่ผู้ร่วมปมด้วยกันไม่กี่คน ผู้รู้สึกขยะแขยงสะอิดสะเอียนมีมากกว่า ผู้อยากชิงบัลลังก์ก็มิได้สูญพันธุ์ไปจากวงการเมืองโรมัน ทั้งหมดเหล่านี้เนโรไม่นึกและไม่อยากจะนึก แม้ผู้หวังดีสักปานใดก็ไม่กล้าเปิดปาก เนโรคงฮึกเหิมในความสำเร็จตามนโยบายของตนด้วยความสำคัญผิดต่อไปเรื่อยๆ ภูมิใจในอำนาจและบารมีของตนต่อไปเรื่อยๆ และผู้ที่ทั้งกลัวทั้งเกลียดเนโรก็ค่อยๆเพิ่มจำนวนมากขึ้นตามลำดับ ดังตัวอย่างต่อไปนี้
ค.ศ.65 คงจะหลังเปาโลถูกประหารไปไม่เท่าไร ส่วนเปโตรนั้นถูกประหารไปก่อนหน้าเปาโลแล้ว กงสุลบดีปีโส(CalpurniusPiso)ส้องสุมผู้คนชิงบัลลังก์ แต่กองกำลังอารักขาพระนครไม่มีเอี่ยวด้วย จึงถูกจับได้ถูกประหารชีวิตกันเป็นพันรวมผู้มีชื่อในขณะนั้นจำนวนหนึ่ง เช่น นักปรัชญาสโทอิกเซเนกา, Faenius Rufus, Lucan, Ostorius Scapula, Cornelius Petronius, ThraseaPaetus, BareaSoranusและยังสืบหาผู้สงสัยเพื่อขจัดเสี้ยนหนามไปอย่างไม่หยุดยั้ง และเที่ยวหาเรื่องสงสัยไปเรื่อย ๆ สงสัยใครก็ใช้หลักปลอดภัยไว้ก่อนเพื่อขจัดไปเรื่อยๆ ปลายปีนั้นเองชาวยิวลุกฮือกันแข็งข้อทั่วดินแดนปาเลสไตน์ จึงส่งแม่ทัพใจถึงที่แน่ใจว่ายังภักดีอยู่คือเวสแพเชียน(Vespasian)ให้ยกไปปราบอย่างเด็ดขาด มีบุตรชายทีถัส(Titus) ใจถึงยิ่งกว่าบิดาเป็นผู้ช่วยมือขวา กำชับ2แม่ทัพพ่อลูกให้ปราบให้ได้ไม่ว่าจะเสียเลือดเนื้อสักเท่าใดเท่ากัน สั่งเสร็จเรียบร้อยก็ยกราชสำนักไปทัวร์ประเทศกรีซ กำชับหัวเมืองใหญ่ทั้งหลายให้เตรียมการแสดงและการกีฬาที่ถูกใจไว้ต้อนรับจะมีรางวัล โดยต้องมีที่ให้พระองค์ได้ร่วมด้วยอย่างมีนัยยะ แห่งแรกคือเอเธนส์ กวาดเหรียญชนะเลิศทุกชนิดทั้งจากการแสดงบนเวทีและการกีฬา มีความสุขมากจึงประกาศให้ประเทศกรีซทั้งหมดเป็นราชอาณาจักรของพระองค์โดยฉพาะ รับสั่งให้เรือบรรทุกข้าวปลาอาหารจากอเล็กซานเดรียที่นำไปเลี้ยงชาวโรม ให้เปลี่ยนเป้าหมายเอาไปเลี้ยงชาวเอเธนส์แทน แล้วก็วางแผนทัวร์ไปยังเมืองอื่นๆต่อไปตามลำดับ รู้สึกว่าสบพระอารมย์อย่างยิ่ง ระหว่างที่ทัวร์ดินแดนกรีซอยู่นั้นหากมีกองสอดแนมส่งข่าวมาว่าแม่ทัพคนใดไม่น่าไว้วางใจก็จะเรียกมาเฝ้าปรึกษาราชการ พอมาจริงก็สั่งให้ฆ่าตัวตายเองเสียมิฉะนั้นจะถูกประหาร เช่น Corbulo, Scribonioแต่มีบางคนไม่ยอมมาตามสั่ง เช่น แม่ทัพแกลเบอ(Galba)แห่งสเปน และแม่ทัพ ClodiusMacerแห่งแอฟริกา แม่ทัพแกลเบอสามารถเกลี้ยกล่อมแม่ทัพกองกำลังอารักขาพระนครมาเข้าพวกได้สำเร็จ ฮีเลียส(Helius)ผู้สำเร็จราชการรีบมาตามเนโรให้กลับไปแก้ปัญหาที่กรุงโรมด่วน แต่ต้องหลบไปคุมเชิงณ วังพักร้อนนอกเมืองแทน และกองกำลังอารักขาพระนครก็ตามไปบุกปลงพระชนม์อย่างง่ายดายชาวคริสต์ที่ยังไม่ถูกจับและที่รอถูกประหารชีวิตก็เลยได้หายใจเต็มปอดไปได้พักใหญ่

ศาสนาผิดกฎหมายในมหาอาณาจักรโรมัน
กฎหมายโรมันไม่เคยห้ามนับถือศาสนาใดเลยที่มีผู้นำเข้ามานับถือและเผยแผ่ในอาณาเขตของตน มีบางครั้งที่ขับไล่ชาวยิวออกจากกรุงโรมและจากบางเขต แต่ไม่เคยห้ามนับถือศาสนายูดาห์ ตรงกันข้ามมีแต่ต้อนรับและอุปถัมภ์ไม่เลือกหน้า ถึงกับมีการสร้างวิหารรวมสำหรับทุกศาสนาเสียด้วย เรียกว่าPantheon วิหารสรรพเทพ ศาสนาคริสต์เป็นศาสนาแรกและศาสนาเดียวที่ประสบชะตากรรมเช่นนี้และประสบโดยบังเอิญประเภทแจคพอตก็คงได้ เพราะไม่มีเหตุผลใดเลยให้รับฟังได้ นอกจากเหตุบังเอิญที่จักรพรรดิเนโรต้องการหาแพะรับบาป และบังเอิญจักรพรรดิเกิดรู้จักเสียดายของ ด้วยเหตุผลที่ว่าเราต้องฆ่าแพะทิ้งด้วยจำใจ เราก็ควรเลือกแพะตัวเล็กที่สุด และบังเอิญขณะนั้นกลุ่มชาวคริสต์เป็นกลุ่มชนที่เล็กที่สุดในกรุงโรมเท่าที่จักรพรรดิสืบรู้ได้ แต่ไฉนในที่สุดศาสนาคริสต์กลายเป็นองค์การที่โตวันโตคืนอย่างทฤษฎีเลี้ยงเด็กของบางคนว่ายิ่งตียิ่งโตที่เลี้ยงดีทะนุถนอมกลับเอาแต่ผอมแห้งก้นตอบพุงโร ในขณะที่ถูกไล่ล่าจับตัวเอาไปสนองกิเลสซาดิสต์ของจักรพรรดิก็ดี หรือตอบสนองความอยากได้ความดีความชอบด้วยการเอาใจจักรพรรดิโดยไม่คำนึงถึงความถูกผิดก็ดี ชาวคริสต์มีแต่หนีถ้าหนีไม่พ้นก็ยอมให้จับไปประหารชีวิต มีกรณีที่ไม่ยอมตายจึงปฏิเสธเป็นพัลวันว่าไม่ได้เป็นคริสต์ จะให้สาบานหรือให้ทำอะไรจนยอมเชื่อก็ยอมทำหมด ขอให้ปล่อยตัวไปไม่ประหารก็แล้วกัน ซึ่งชาวคริสต์อื่นๆจะถือว่าเป็นคนทรยศคบไม่ได้ ไม่เคยเห็นบันทึกประวัติศาสตร์ณที่ใดเลยว่ามีการรวมตัวกันต่อต้าน ทั้งนี้คงจะเป็นความบังเอิญว่าเปาโลได้เขียนกำชับไว้ก่อนตายว่า ห้ามเด็ดขาดมิให้ต่อต้านอำนาจปกครอง เพราะทุกอำนาจมาจากพระเจ้า หากปฏิบัติตามไม่ได้ก็ให้พยายามหลีกเลี่ยงและหลบหนี หากหนีไม่พ้นก็ให้ยอมรับโทษแต่โดยดีแต่จะทำบาปเพื่อให้พ้นการลงโทษไม่ได้ นับเป็นบทสอนเรื่องมโนธรรมที่หนักหน่วงสำหรับชาวคริสต์ในห้วงดังกล่าวของมหาอาณาจักรโรมัน ซึ่งก็บังเอิญเมื่อสิ้นรัชกาลของจักรพรรดิเนโรแล้ว ก็ไม่มีใครถอนคำสั่งนี้ออกจากระบบกฎหมาย กลายเป็นกฎหมายค้างฟ้าอยู่ต่อมาอย่างต่อเนื่องเป็นเวลาถึง249ปี จนถึงพระราชกฤษฎีกาแห่งมิลานโดยจักรพรรดิคอนสแตนตินในปีค.ศ.313โดยประกาศเจาะจงว่าให้ศาสนาคริสต์มีอิสรภาพในการนับถือและเผยแผ่เสมอกับศาสนาอื่นๆ ในระหว่างเวลา249ปีดังกล่าวจึงหมายความว่าชาวคริสต์สามารถอยู่ในมหาอาณาจักรโรมันได้อย่างสบายอารมณ์เหมือนคนทั่วไปถ้าไม่มีใครยกเอากฎหมายนี้ขึ้นมาใช้ แต่ถ้าจักรพรรดิองค์ใดนึกจะใช้กฎหมายทั่วมหาอาณาจักรโรมันขึ้นมา ก็เพียงแต่ตักเตือนให้ทำตามกฎหมายก็พอแล้ว มีผลให้ชาวคริสต์ทุกหัวระแหงต้องรีบทิ้งเข้าของสมบัติพัสถานหนีเอาชีวิตรอดเสียก่อน หากหนีไม่ทันก็ต้องยอมตายแต่โดยดี หรือยู่ในรัชกาลที่จักรพรรดิไม่เอาเรื่อง แต่เจ้าหน้าที่อยากจะใช้กฎหมายนี้ลงโทษชาวคริสต์คนใดในความรับผิดชอบของตน ก็มีสิทธิทำได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย ในกรณีที่จักรพรรดิไม่มีคำสั่งให้เอาเรื่องผู้ใช้อำนาจเองก็ไม่คิดจะเอาเรื่อง แต่ถ้าชาวบ้านด้วยกันต้องการขจัดคู่แข่ง หากบังเอิญฝ่ายหนึ่งนับถือศาสนาคริสต์อยู่ดีๆ อีกฝ่ายนับถือ.ศาสนาอื่นที่ไม่ใช่คริสต์ เพียงแต่ฝ่ายไม่ใช่คริสต์ตั้งข้อกล่าวหาว่าอีกฝ่ายนับถือศาสนาคริสต์ ขอให้เจ้าหน้าที่เดินตามกฎหมาย มิฉะนั้นจะร้องเรียนว่าละเลยต่อหน้าที่ ความกระอักกระอ่วนใจจะตกอยู่กับเจ้าหน้าที่ที่รับเรื่อง ไม่อยากจะทำก็ต้องฝืนใจทำ มิฉะนั้นอาจเสี่ยงต่อการเสียตำแหน่ง นักประวัติศาสตร์ได้บันทึกไว้ว่าในห้วงเวลาดังกล่าวนี้มีจักรพรรดิที่ถือโอกาสลงโทษชาวคริสต์สถานหนักแบบเหวี่ยงแหโดยไม่ต้องประกาศกฎหมายใหม่เพราะมีอยู่แล้วคือกฎหมายของเนโรมีแต่เหตุผลส่วนตัวและผลที่หวังแตกต่างออกไป เช่น ต้องการให้ทุกคนถวายเครื่องเซ่นแก่ตนในฐานะเทพองค์หนึ่ง ซึ่งชาวคริสต์ตีความว่าต้องนับถือจักรพรรดิเสมอกับพระเยซูซึ่งยอมไม่ได้ บางองค์ก็ไม่อ้างเช่นนั้นตรงๆ แต่เฉไฉไปว่า ชาวโรรันหันไปนับถือศาสนาคริสต์กันมากจนเทพเจ้าโรมันพิโรธ ทำให้กองทัพโรมันอ่อนแอ เพื่อให้เทพโรมันหันกลับมาเอาพระทัยใส่กองทัพโรมันตามเดิม จำเป็นต้องบังคับเอาจริงให้เลิกนับถือศาสนาคริสต์และหันมาถวายเครื่องเซ่นแก่เทพเจ้าของบรรพบุรุษกันอย่างเข้มข้นดังแต่ก่อน จักรพรรดิที่จงใจรื้อฟื้นคำสั่งของเนโรขึ้นมาใช้บังคับชาวคริสต์อย่างจริงจังโดยให้ไล่ล่าจับชาวคริสต์มาประหารชีวิตมิให้เป็นเยี่ยงอย่างแก่พลเมืองทั้งหลาย ทำให้ชาวคริสต์ต้องสูญเสียชีวิตเพราะกล้าตายและทรยศเพราะกลัวตายเพิ่มขึ้นอีกมากมาย จักรพรรดิที่ใช้นโยบายดังกล่าวนอกจากเนโรระหว่างค.ศ.64-68 ได้แก่เดอมีเชี่ยน(Domitian 81-95), แทรจจัน(Trajan 98-117), แอนเถอนายเนิส พายเอิส(Antoninus Pius 138-161), มาร์เขิส ออรีเลียส(Marcus Aurilius161-180), เสิปทีเมียสเสอเวรเรียส(193-211), ดีเฉิส(Decius 249-251), เวอเลร์เรียน(Valerian 253-260), ดายเออคลีเฉิน(Diocletian 284-305), และเกอเลร์เรียส(Galeris 305-311) รวมเวลาที่ต้องหัวซุกหัวซุนหนีตายเอาชีวิตรอดไปวันต่อวันเป็นเวลารวมทั้งสิ้น 249 ปี ดังนั้นที่ชาวคริสต์ชอบอ้างว่าศาสนาคริสต์ในระยะเริ่มต้น3 ศตวรรษแรกหรือ300ปีแรกถูกเบียดเบียนบีฑาตลอดเวลานั้นไม่เป็นความจริง ความจริงก็คือ ถูกห้ามจริงๆตลอดเวลา 249 ระหว่าง ค.ศ.64-313 แต่ก็ห้ามแบบตึงๆหย่อนๆ ไม่ใช่จัดหนักตลอดเวลาหามิได้ เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนจะขอลำดับความตึงๆหย่อนๆให้พอเห็นสภาพดังต่อไปนี้
1.Neroจัดหนักระหว่างค.ศ.64-68=4ปี
2.Neroผ่อนคลายระหว่างค.ศ.69-80=11ปี
3.Domitianจัดหนักระหว่างค.ศ.81-95=14ปี
4.Domitianผ่อนคลายระหว่างค.ศ.96-97=2ปี
5.Trajanจัดหนักระหว่างค.ศ.98-117=19ปี
6.Trajanผ่อนคลายระหว่างค.ศ.118-137=19ปี
7.Antoninusจัดหนักระหว่างค.ศ.138-161=23ปี
8.M.Aureliusจัดหนักระหว่างค.ศ.162-180=18ปี
9.M.Aureliusผ่อนคลายระหว่างค.ศ.181-192=11ปี
10.Sep.Severusจัดหนักระหว่างค.ศ.193-211=18ปี
11.Sep.Severusผ่อนคลายระหว่างค.ศ.212-248=36ปี
12.Deciusจัดหนักระหว่างค.ศ.249-251=2ปี
13.Deciusผ่อนคลายระหว่างค.ศ.252=1ปี
14.Valerianจัดหนักระหว่างค.ศ.253-260=7ปี
15.Valerianผ่อนคลายระหว่างค.ศ.261-283=22ปี
16.Diocletianจัดหนักระหว่างค.ศ.284-305=21ปี
17.Galerianจัดหนักระหว่างค.ศ.306-313=7ปี

สภาพของชาวคริสต์ระหว่าง 249 ปี
เหมือนเล่นเอาเถิดเจ้าล่อ แต่ไม่สนุกเลย เวลาจัดหนักต้องหนีหัวซุกหัวซุน หนีไปทางไหนรึ ก็หนีไปอยู่ในแดนที่เดาว่าพ่อเมืองมีมโนธรรมดี ไม่เห็นด้วยกับจักรพรรดิที่ว่าจะแก้ปัญหาของบ้านเมืองได้ด้วยการจับชาวคริสต์ไปฆ่าเล่นเป็นผักเป็นปลา ทรัพย์สินเงินทองที่ได้ทำสะสมไว้อาจจะต้องทิ้งไว้ข้างหลังไปหาเอาใหม่ดาบหน้า ครั้นไปอยู่ในที่ปลอดภัยก็ต้องคอยระวังอยู่2เรื่องคือ 1.จะมีการเปลี่ยนตัวพ่อเมืองหรือไม่และคนใหม่เป็นคนเช่นไร และ2.ต้องระวังตัวตลอดเวลาที่จะไม่ผิดใจเพื่อนบ้านและเพื่อนร่วมงาน หากมีเรื่องกันก็รีบยอมๆเขาเสีย อย่าปล่อยให้เขาไปฟ้องร้องเป็นอันขาด เพราะจะตายลูกเดียว ต้องตั้งสติดีๆก็จะรอดตายได้ ส่วนในห้วงผ่อนคลายเล่า ก็ต้องปฏิบัติข้อ2ให้เคร่งครัดไว้แล้วจะทำอาชีพใด เป็นข้าราชการตำแหน่งใด และจะรวยเท่าใดก็ไม่มีใครว่า แต่ถ้าพลาดท่ายอมให้ใครสักคนเอาตัวไปขึ้นศาลไม่ว่าด้วยข้อหาใด อาจจะสูญเสียอะไรก็ได้ทั้งสิ้น เพราะมีเกณฑ์แนะนำเจ้าเมืองใหม่ไว้ว่า “หากไม่มีใครฟ้องร้องเรื่องนับถือพระเยซู ก็ปล่อยให้เขาอยู่ไปตามสบาย หากมีใครฟ้องก็ให้เรียกตัวมาเกลี้ยกล่อมให้เลิกนับถือพระเยซูเสีย หากเชื่อฟังก็ให้ปล่อยตัวไป หากไม่เชื่อฟังก็ให้ลงโทษตามแต่จะเห็นควร” ที่ว่าตามแต่จะเห็นควรนั้นมีพิสัยตั้งแต่เฆี่ยน1ทีจนถึงประหารชีวิต เลือกใช้ขั้นไหนก็ถือว่าถูกต้องตามกฎหมายทั้งสิ้น


Leave a comment