ศาสตราจารย์กีรติ บุญเจือ
ทำไมต้องมีกระบวนทรรศน์ที่ 5
แฟนคลับ: ฟังท่านอาจารย์สาธยายมาทั้ง 4 กระบวนทรรศน์แล้ว ทุกกระบวนทรรศน์ก็มีปัญหากันต่างๆนานา หมดทางออก สิ้นทางแก้ ใช่ไหมคะ เป็นความสิ้นหวังของมนุษยชาติแล้วใช่ไหมคะ
ผม: อยากให้ใช่ก็ใช่ครับ ถ้าเราไม่คิดจะหาทางออก ยอมจำนนกับครรลองของสังคม ไม่คิดจะแก้ แม้มีทางแก้ ก็ไม่อยากจะรู้ ไม่สนใจจะรู้ ไม่สนใจจะแก้ ก็จนใจ แต่ถ้าไม่ยอมจำนนต่อปัญหา ทุกปัญหามีทางแก้ครับ อย่างเรื่องนี้ นักปรัชญาด้วยความห่วงใยได้ช่วยกันทุ่มเทความรู้ความสามารถวิจัยออกมาแล้วตามวิถีทางแห่งวิจารณญาณ คือวิเคราะห์ วิจักษ์และวิธาน
แฟนคลับ: วิเคราะห์หาสาเหตุและแก้ที่สาเหตุ ใช่ไหมคะ
ผม: ถูกต้องครับ! สาเหตุที่สำคัญที่สุดคือ การยึดมั่นถือมั่นดังจะประเมินค่าได้ดังต่อไปนี้:
การยึดมั่นถือมั่น ทำให้เกิด การแบ่งพวก
การแบ่งพวก ทำให้เกิด การแข่งขัน
การแข่งขัน ทำให้เกิด ความไม่ไว้ใจกัน
ความไม่ไว้ใจกัน ทำให้เกิด การขจัดกัน
การขจัดกัน ทำให้เกิด วิวาทะและสงคราม
แฟนคลับ: รู้สาเหตุแล้วก็ต้องแก้ที่สาเหตุ ทำยังไงคะ
ผม: ต้องอบรมจนสำนึกและยอมเชื่อว่า การไม่ยึดมั่นถือมั่นดีกว่าการยึดมั่นถือมั่น ด้วยการวิเคราะห์ให้เห็นผลต่างดังต่อไปนี้:
การไม่ยึดมั่นถือมั่น ทำให้เกิด การแบ่งกลุ่ม
การแบ่งกลุ่ม ทำให้เกิด การร่วมมือ
การร่วมมือ ทำให้เกิด ความไว้ใจกัน
ความไว้ใจกัน ทำให้เกิด การส่งเสริมกัน
การส่งเสริมกัน ทำให้เกิด สันติภาพ
หลักการนี้จะสำเร็จได้ก็ต้องทำทั้งพิมพ์เขียวและพิมพ์น้ำเงิน พิมพ์เขียวหมายถึง การจัดเป็นวิชาสอนอย่างมีเหตุผลตามหลักวิชาการ ส่วนพิมพ์น้ำเงินหมายถึง การจัดโครงการอบรมอย่างสม่ำเสมอต่อเนื่องโดยคณะวิทยากรผู้เชี่ยวชาญการอบรมคุณธรรมโดยเฉพาะ
แฟนคลับ: ทำไมต้องมีทั้งทีมสอนและทีมอบรม งานจะไม่ซ้ำซ้อนกันหรือคะ
ผม:บทบาทต่างกันมากครับ จึงต้องใช้ทั้ง 2 ทีมเสริมกันจึงจะได้ผล มิฉะนั้นจะคว้าน้ำเหลว เสียเวลาและงบประมาณเปล่า คืออย่างงี้ครับ ทีมสอน (teaching) กับทีมอบรม (educating) ซาคเขรอถิส (Socrates), เพลโทว์ (Plato), และแอร์เริสทาทเถิล (Aristotle) สามใบเถานักปรัชญากรีก นิยามเหมือนกันว่า
“คุณธรรมได้แก่ความประพฤติดีจนเคยชินจนเป็นนิสัย” (Virtue is the habit of doing good)
ทั้ง 3 ท่านจึงปักใจเชื่อเหมือนกันว่า เรื่องคุณธรรมนั้นสอนให้เข้าใจเท่านั้นหาพอไม่ แต่จะต้องทั้งอบ ทั้งรม ทั้งบ่ม คือสอนให้รู้และดูแลให้มีการฝึกฝนจนเป็นนิสัยเข้ากระดูกดำเป็นสันดานประจำตัว มีโอกาสทำดีได้จะรีบทำทันที โดยไม่ต้องชั่งดูกำไรขาดทุน ไม่ต้องมีใครไหว้วานหรือบังคับ แต่จะทำเพราะมีความสุขที่จะทำ จึงจะเรียกได้ว่าเป็นคุณธรรมประจำใจ
ทั้ง3 ท่านจึงกล่าวเป็นเสียงเดียวกันจนเป็นคำคมไว้ว่า “Virtue cannot be taught” (Areteme mathematizate estin.) คุณธรรมสอนกันไม่ได้ ความหมายก็คือ ต้องมีหลักสูตรสอนชี้แจงกันให้เข้าใจและยอมเชื่อด้วยเหตุผลเชิงปรัชญา ให้คะแนนให้ปริญญากันไปได้เลยตามการประเมินผลความรู้
แต่ทั้งหมดนั้นรับรองไม่ได้เลยว่าเขาจะดีกว่าคนอื่นที่เรียนได้คะแนนน้อยกว่าเขาหรือสอบตกในวิชาศีลธรรม เขาเพียงแต่รู้ อธิบายได้และพิสูจน์ได้เป็นคุ้งเป็นแคว แต่ในชีวิตจริงของเขา อาจจะไม่มีอ่าวให้เอาได้เลยก็เป็นได้ เข้าตำรามีความรู้ท่วมหัวเอาตัวไม่รอดดีๆนั่นแหละพี่น้องเอ๊ย เพราะเขาได้แต่รู้ตามหลักสูตร
จะไปไล่บี้หรือไล่เบี้ยเอากับหลักสูตรก็ไม่ได้ เพราะหลักสูตรเขามีหน้าที่สอนให้มีความรู้ตามเกณฑ์มาตรฐาน ขืนไปยุ่งกับอย่างอื่นมากนักก็จะเสียศูนย์ สับสนวุ่นวาย ต้องโทษนโยบายที่หลงใหลแต่พิมพ์เขียวเพียงข้างเดียว ไม่ยอมสำนึกว่าเรื่องของนิสัยและความเคยชิน การฝึกฝนอบรมบ่มนิสัยขาดไม่ได้ แม่นบ่ สอนเท่านั้นไม่พอ ใช้พิมพ์เขียวอย่างเดียวหาพอไม่ เพราะคุณธรรมสอนกันไม่ได้ ต้องใช้พิมพ์น้ำเงินเสริม คือ การอบรมบ่มนิสัยอย่างสม่ำเสมอเอาจริงเอาจัง
แฟนคลับ: เอาละค่ะ พอจะเห็นประโยชน์เชิงลบของกระบวนทรรศน์ 5 หลังนวยุค แล้วค่ะ คือพอจะเห็นได้แล้วว่ามีผลดีในทางแก้ไขในสิ่งผิด หันมาดูด้านบวกกันบ้างได้ไหมคะ ว่า คิดและปฏิบัติแบบหลังนวยุคนี่จะให้ผลอะไรดีกว่านวยุคอย่างไรบ้างคะ ทั้งสำหรับตัวผู้ปฏิบัติเองและสังคมด้วยค่ะ
ผม: จุดดี จุดเด่น และน่าจะเป็นจุดสุดยอดของกระบวนทรรศน์มนุษย์แล้วก็เป็นได้ ก็เพราะกระบวนทรรศน์นี้ตั้งเป้าหมายไว้ที่การพัฒนาคุณภาพทุกชนิดรวมทั้งการพัฒนาคุณภาพชีวิตมนุษย์ กระบวนทรรศน์นี้เริ่มพิจารณาข้อสรุปสุดท้ายจากวิชาการสาขาต่างๆที่สรุปไปในทิศทางเดียวกันว่า ทุกแง่ทุกมุมของความเป็นจริงและความรู้ชี้ไปในทิศทางเดียวกันว่า”พัฒนาเรื่อยไปอย่างไม่หยุดยั้ง”
เริ่มจากนักคณิตศาสตร์ที่เล่นกับจำนวนไม่รู้จบอย่างคุ้นเคยกลายเป็นเรื่องปรกติธรรมดาไม่ว่าจะไม่รู้จบในมิติใหญ่ (the infinity) หรือไม่รู้จบในมิติเล็ก (the infinitesimal) ยังขาดอยู่นิดเดียวที่ยังไม่อาจเข้าใจได้ว่าใหญ่ไม่รู้จบกับเล็กไม่รู้จบจะพบกันได้อย่างไร อย่างไรก็ตามความเข้าใจเรื่องไม่รู้จบก็ยังคงพัฒนาอยู่
ทางด้านวิทยาศาสตร์กายภาพก็พบว่าสสารมิได้มีภาวะเสื่อมลงอย่างที่เคยเชื่อในยุคโบราณและยุคกลาง แต่จากการประเมินทุกด้านรายงานตรงกันว่าสสารของเอกภพโดยรวมมีคุณภาพดีขึ้นอย่างที่เฮเกล (Georg Hegel1770-1831) เชื่อ แต่ไม่ใช่ตามกฎ dialectic ของเฮเกล
ส่วนนักชีววิทยาแม้จะพบว่ามนุษย์และสภาพแวดล้อมธรรมชาติทำให้ชีวิตสูญพันธุ์ไปมาก แต่ชีวิตที่เหลืออยู่ก็มีคุณภาพที่มีแนวโน้มและศักยภาพที่จะพัฒนาดีขึ้นไปเรื่อยๆ
สติปัญญาของมนุษย์ไม่ต้องพูดถึงก็ได้ เพราะสามารถเข้าใจและค้นคว้าละเอียดและลึกซึ้งขึ้นไปเรื่อยๆ แถมยังมีอัจฉริยบุคคลเกิดขึ้นเป็นระยะๆ ทั้งอัจฉริยะขั้นตรัสรู้แม้จะยากเท่าใดก็ยังมีขึ้นได้ในชั่วกัลป์หนึ่งๆ
นักประวัติศาสตร์ย่อมรู้ดีกว่าใครว่าประวัติศาสตร์บันทึกความเจริญก้าวหน้า ไม่ใช่ความเสื่อม ทั้งหมดเท่าที่อ้างมาข้างต้นย่อมชี้บ่งได้พอเพียงว่าเราอยู่ในกระแสของการพัฒนาในทุกแง่ทุกมุม มนุษย์คนใดไม่มุ่งพัฒนาจึงเป็นผู้ฝืนกระแสธรรมชาติของเอกภพและของตัวเอง
แฟนคลับ: การพัฒนาของมนุษย์คือ ปล่อยไปตามยถากรรมเหมือนสิ่งต่างๆ ทั้งหลายของเอกภพ งั้นหรือคะ หรือว่าอย่างไรคะ ยังเข้าใจไม่ชัดค่ะ
ผม: ก็ต้องอย่างนี้ครับ คุณแฟนคลับครับ คือบังเอิญมนุษย์เรานี่ธรรมชาติท่านใจดีเหลือหลาย ให้องค์ประกอบมาหลายอย่างเพื่อจะช่วยกัน ไม่ใช่เพื่อขัดกันหรือปัดแข้งปัดขากัน ก็เท่านั้นแหละครับ
แฟนคลับ: ยังไงถึงเรียกว่าช่วยกัน และยังไงถึงเรียกว่าปัดแข้งปัดขากันคะ
ผม: คือคนเราแต่ละคนหรือแต่ละหน่วยไม่เหมือนหน่วยอื่นๆ ที่ไม่ใช่มนุษย์ คนเราแต่ละหน่วยๆ จึงได้ชื่อว่าบุคคล (person) เพราะมนุษย์แต่ละคนมีปัญญาที่ตระหนักได้ว่าเป็นหน่วยเอกเทศที่ต้องรับผิดชอบเฉพาะตัวและทั้งตัว คนอื่นไม่เกี่ยว
หรือถ้าจะเกี่ยวก็ให้เกี่ยวในลักษณะผู้อื่นอีกบุคคลหนึ่งที่ต้องรับผิดชอบตัวเองก่อนชนิด อัตตาหิ อัตตโน นาโถ ตนของตนเป็นที่พึ่งแห่งตนอย่างถึงก้นบึ้ง คนอื่นแม้พระพุทธเจ้าหรือพระเจ้าองค์ใดก็ช่วยได้อย่างผู้อื่นอยู่วงนอก
เฉพาะวงในที่ต้องรับผิดชอบร่วมกันนั้นก็แบ่งเป็นหลายชั้นได้แก่ ร่างกายที่เป็นสสาร ลมหายใจซึ่งเป็นชีวิต ยีนซึ่งเป็นเดรัจฉาน และปัญญาที่สำนึกและรับผิดชอบการใช้ทุกระดับที่กล่าวมาข้างต้น โดยใช้ทุกอย่างในขอบข่ายของบุคคลคนหนึ่งให้มีความสุขแท้ตามความเป็นจริงให้ได้ แหละนี่คือความหมายแท้จริงของความเป็นจริงมนุษย์
แฟนคลับ: แล้วปัญญาจะต้องรับผิดชอบองค์รวมอย่างไรคะ จึงจะบรรลุความสุขแท้ตามความเป็นจริงอย่างว่า
ผม: ก็ตรงนี้แหละครับเรามาถึงจุดสรุปของเรา มนุษย์จะต้องพัฒนาตัวเองอย่างไรจึงจะเรียกได้ว่าพัฒนาคุณภาพชีวิตเพื่อได้ความสุขแท้ตามความเป็นจริง
แฟนคลับ: ต้องทำอะไรบ้างคะ
ผม: ต้องสร้างสรรค์ ปรับตัว ร่วมมือ และแสวงหา เรื่องนี้ต้องขยายครับ
