ศาสตราจารย์กีรติ บุญเจือ
ปรัชญาแห่งการพัฒนา
ผม: วันนี้อยากจะคุยกันเรื่องการพัฒนา คือพัฒนาจริงๆ ทุกแง่ทุกมุม ทุกด้านทุกทิศ เรียกว่าพัฒนามั่ว แต่ไม่นิ่มและไม่เละ พัฒนากันอย่างเอาเป็นเอาตาย เป็นเรื่องเป็นราว แม้แต่การพัฒนาเองก็ต้องพัฒนา ตั้งแต่อะตอมจนถึงปรัชญา ว่างั้นเถอะ
แฟนคลับ: สนใจส่วนที่เป็นปรัชญาก่อนค่ะ ปรัชญาอะไรคะส่งเสริมการพัฒนา สนใจค่ะ
ผม: ก็ปรัชญากระบวนทรรศน์ 5 หลังนวยุคของเรานี่และครับ แต่ต้องเป็นหลังนวยุคแบบสายกลางนะครับ ถ้าสุดขั้วก็เอาแต่วิจารณ์ วิจารณ์ และก็วิจารณ์ ไม่สร้างสรรค์ครับ มีแต่ทำลาย
แฟนคลับ: เอาละค่ะ ปรัชญาหลังนวยุคส่งเสริมการพัฒนาขนาดไหนคะ
ผม: ขอท้าวความหน่อยครับ คือ เมื่อวิธีการวิทยาศาสตร์ได้ประสบผลสำเร็จอย่างมากและรวดเร็วในการสร้างกระบวนทรรศน์ใหม่ที่เรียกว่ากระบวนทรรศน์ที่ 4 นวยุคหรือกระบวนทรรศน์วิทยาศาสตร์ที่ตั้งป้อมเชื่อเฉพาะความจริงที่ผ่านการทดสอบด้วยวิธีการวิทยาศาสตร์อย่างถูกต้องแล้วเท่านั้น
ทุกคนก็รู้อยู่แล้วว่าวิชาคณิตศาสตร์เป็นเพื่อนซี้ของวิทยาศาสตร์ ใครไม่เก่งคณิตศาสตร์ก็อย่าหวังเลยว่าจะเข้าเรียนคณะวิทยาศาสตร์ได้ เพราะเมื่อหาข้อมูลมาได้แล้ว ก็จะต้องเอาไปคิดต่อด้วยคณิตศาสตร์ นักคณิตศาสตร์ก็ย่อมจะเป็นนักตรรกะด้วย คือเอาความคิดที่เข้าข่ายมาจัดระบบระเบียบให้เป็นเครือข่ายเพื่อสะดวกแก่การเข้าใจและการจำต่อไปๆ
ผลก็คือเกิดความยึดมั่นถือมั่นขึ้นมาว่าทุกอย่างมีความตายตัวตามระบบเครือข่ายของวิทยาศาสตร์ ที่สำคัญคือมนุษย์ถูกมองเป็นเครื่องจักรหรือหุ่นยนต์ที่ใช้ประโยชน์ได้เหมือนเครื่องจักรเครื่องหนึ่งที่ซ่อมไม่คุ้ม ตายหรือพิการเมื่อใดก็ให้หาวิธีขจัดออกไปอย่างละม่อมแล้วหาคนใหม่มาทำแทนจะคุ้มกว่า
ตั้งแต่นั้นมาก็มีโครงการเกิดขึ้นมากมายที่หวังใช้มนุษย์เป็นทรัพยากรดังกล่าว เช่น การกดค่าจ้างแรงงานลงต่ำสุดๆ การจ้างแรงงานเด็ก การใช้สตรีเพศอย่างไม่สมศักดิ์ศรี การเกณฑ์ทหารไปรบเพื่อความยิ่งใหญ่ของผู้นำทางการเมืองจนเกิดสงครามเพื่อความยิ่งใหญ่ของพรรคนาซีและพรรคคอมมิวนิสต์
แฟนคลับ: ในเมื่อมีวิธีการวิทยาศาสตร์กำกับอยู่อย่างนั้น จะดิ้นไปทางไหนหลุดคะ
ผม: ก็เป็นทั้งโชคร้ายและโชคดีของมนุษยชาติครับที่เกิดสงครามโลกขึ้น 2 ครั้ง ที่รบกันด้วยเทคโนโลยีอันเป็นผลจากวิธีการวิทยาศาสตร์และใช้คนเป็นเรือนล้านดาหน้าเข้าประหัตประหารกันอย่างเครื่องจักร ตายไปเท่าไรก็เกณฑ์เข้ามาให้ครบประจำการ
สงครามโลกครั้งแรกกินชีวิตมนุษย์ไป 10 ล้าน ครั้งที่ 2 อีก100 ล้านเพียงแต่เพื่อตัดสินว่าชาติใดควรเป็นมหาอำนาจ หลังสงครามโลก 2 ครั้งนี้แล้ว นักคิดรู้สึกตรงกันว่าจะยอมให้เกิดสงครามโดยใช้คนเป็นเครื่องจักรอีกต่อไปไม่ได้แล้ว แต่จะทำอย่างไรเล่าจึงจะให้ผู้บังเอิญกุมอำนาจรัฐเลิกคิดและเลิกใช้คนแบบเครื่องจักรทำประโยชน์ให้เจ้าของจนกว่าจะหมดสภาพแล้วก็หาซื้อเครื่องใหม่มาใช้งานแทน แค่นั้นก็หมดเรื่อง มันน่าทุเรศเกินไปสำหรับชีวิตมนุษย์
พอสงครามโลกครั้งที่ 2 สงบลง นักปรัชญาฝรั่งเศสเป็นผู้นำในการระดมความคิดนี้ กลุ่มนี้คิดใช้วิธีเกลือจิ้มเกลือ คือ ใช้วิธีการวิทยาศาสตร์ค้นคว้าให้เข้าใจธรรมชาติของมนุษย์ให้ได้ว่าไม่ใช่เครื่องจักรเครื่องยนต์
เน้นในขั้นแรกตามแอร์เริสทาทเถิล (Aristole) ว่า มนุษย์เป็นสัตว์ปัญญาและใช้ภาษา การมีปัญญากับการใช้ภาษาเป็นของคู่กันอยู่ในที มีปัญญาก็จะพยายามใช้ภาษา ไม่มีปัญญาก็ใช้ภาษาไม่ได้ คนอยู่กับลิงและสุนัขมานานเท่าไรก็ไม่มีทีท่าว่าจะสื่อภาษากันได้ คนอยู่กับเอสกิโมไม่นานก็พูดภาษาของกันและกันได้ จึงคิดจะศึกษาการใช้ภาษาเพื่อชี้ความแตกต่างระหว่างคนกับหุ่นยนต์
พบคำยืนยันจากการค้นคว้าของโซสซืร์ (Ferdinand de Saussure 1857-1913) ว่าภาษาของมนุษย์ทั้งโลกมีฐานจากโครงสร้างภาษาโครงเดียวกัน เรียกว่า la langue (ภาษา) หรือไวยากรณ์ระดับลึก (deep grammar) ไวยากรณ์ระดับลึกคือโครงสร้างของภาษาที่แสดงโครงสร้างของปัญญาเดียวกันของมนุษยชาติ อันได้แก่องค์ประกอบของประโยคที่เดินตามโครงสร้างของปัญญา อันได้แก่ “ประธาน+กริยา+กรรม” ทั้ง 3 องค์ประกอบอาจจะขยายไปเท่าไรก็ได้ตามต้องการ เป็นหน้าที่ของประสบการณ์กลุ่มที่ใช้ภาษาร่วมกันที่จะกำหนดวิธีขยายส่วนต่างๆ ด้วยเทคนิคและศิลปะของแต่ละกลุ่ม
ส่วนที่เป็นเทคนิคและศิลปะเฉพาะกลุ่มนี้แหละที่โซสซืร์เรียกว่า la parole (ภาษาพูด) ในชั้นแรกกลุ่มนี้มุ่งค้นคว้าเอาจริงเอาจังกับส่วนที่เป็นโครงสร้างร่วม (ส่วนเหมือน) ของมนุษยชาติ เรียกลัทธิของตนว่าลัทธิโครงสร้างนิยม (structuralism) แต่ทำไปทำมากลับค่อยๆสนใจส่วนต่างมากขึ้นตามลำดับ
จนในที่สุดส่วนหนึ่งของกลุ่มรู้สึกว่า ส่วนต่างจะมีความสำคัญมากกว่า ส่วนเหมือนกลายเป็นองค์ประกอบไป จึงเปลี่ยนชื่อเป็นลัทธิหลังโครงสร้างนิยม (post-structuralism) เพื่อแสดงเจตนาว่าไม่ให้ความสำคัญแก่โครงสร้างอีกต่อไปแล้ว
แฟนคลับ: แล้วมีอะไรดีขึ้นกว่าเดิมหรือคะ อย่างไรคะ
ผม: มากเลยครับ ในเมื่อไม่สนใจเพ่งพินิจที่ส่วนเหมือนซึ่งชวนให้เหมาเอาว่าเป็นหุ่นยนต์ผลิตเป็นโหลๆ จากบล็อกเดียวกัน ก็จะเน้นที่คุณภาพที่แต่ละคนสร้างสรรค์ ด้วยเจตนาที่จะพัฒนาตน ต่อมาเมื่อลัทธินี้ข้ามไปฮิตในสหรัฐอเมริกาและได้ชื่อว่าลัทธิหลังนวยุค จึงกำหนดเป็นเอกลักษณ์ของมนุษย์ว่า พึงสร้างสรรค์ ปรับตัว ร่วมมือ และแสวงหา จึงจะได้ความสุขแท้ตามความเป็นจริง (Happiness According to Reality) ก็เข้าล็อคเราในที่สุด
แฟนคลับ: แล้วเป็นปรัชญาพัฒนาอย่างไรเจ้าคะ
ผม: ก็ถ้ามนุษย์เรารู้เคล็ดลับและปฏิบัติกันอย่างทั่วถึงว่า ความสุขแท้ของมนุษย์อยู่ที่ทำการสร้างสรรค์ ปรับตัว ร่วมมือ และแสวงหา ตัวผู้ปฏิบัติเองก็จะได้พัฒนาคุณภาพชีวิตเรื่อยไปโดยอัตโนมัติ และสังคมที่เขาสังกัดอยู่ก็จะพัฒนาเรื่อยไปโดยอัตโนมัติ
คุณภาพชีวิตและคุณภาพทุกๆ อย่างก็จะดีขึ้นเรื่อยๆ แม้ระเบียบสังคมก็จะพัฒนาคุณภาพขึ้นไปโดยอัตโนมัติด้วย สิ่งที่สมัยหนึ่งคิดกันว่าดีอยู่แล้ว ก็อาจจะรู้สึกกันว่ายังไม่ดีพอ เป็นต้น
แฟนคลับ: ทำไมถึงต้องมีตั้ง 4 ข้อเชียวคะ ข้อเดียวไม่พัฒนาหรือคะ
ผม: ข้อเดียวก็พัฒนาได้ชั่วระดับหนึ่ง ไปไม่ได้ไกล ต้องได้ทั้ง 4 ข้อจึงจะไปโลด คือให้เริ่มจากการสร้างสรรค์ โดยมีความตระหนักอยู่ในตนว่า ได้เกิดมาเป็นคนทั้งทีหากไม่ได้ทำดีอะไรฝากไว้กับแผ่นดินแม่เลยสักนิดก็เสียชาติเกิดอย่างยิ่ง อะไรสักนิดที่ว่านั้นหากได้ทำสักครั้งหนึ่งจะรู้สึกภูมิใจมีความสุข นั่นคือสร้างสรรค์ ขอให้ทำสักครั้งจะอยากทำอีกและทำอีกเรื่อยๆไป ไม่จำเป็นต้องหาโอกาสทำเรื่องใหญ่ หากจะมาให้มันมาเอง เมื่อมันไม่มาก็ทำเรื่องเล็กๆ ใกล้ตัวแหละดีแล้ว ทำแล้วภูมิใจมีความสุข และมีความสุขเรื่อยไป ทุกอย่างจะพัฒนาก้าวหน้าไปโดยอัตโนมัติ
แต่ทว่าบางครั้งการสร้างสรรค์ของเราด้วยความหวังดีนั้นเองอาจจะกระทบกระทั่งผลประโยชน์ของผู้อื่นโดยไม่รู้ตัว เราจึงต้องมีสามัญสำนึกพอที่จะเกรงใจผู้อื่นอย่างมีเหตุผล โดยปรับการสร้างสรรค์ให้ผู้อื่นได้ผลดีด้วย หรืออย่างน้อยก็ไม่เสียหายโดยไม่จำเป็น แค่ไหนจึงจะเหมาะสมต้องใช้วิจารณญาณวิเคราะห์ วิจักษ์ และวิธาน
หากชวนมาทำร่วมกันได้เข้าทำนองร่วมมือให้เกิดภาวะวิน-วิน กันทั้งคู่แหละดีที่สุด ขั้นสุดท้ายหากการสร้างสรรค์ ปรับตัวและร่วมมือเข้าที่เข้าทางอิ่มตัวแล้ว ก็พึงเอื้อมไปสู่ความสุขสุดท้าย คือ แสวงหาความสุขที่มีผลถึงโลกหน้าด้วย ก็จะสมบูรณ์แบบที่สุด สุดยอดแล้ว เต็มที่ เต็มร้อย ไม่เสียชาติเกิด
แฟนคลับ: ขอบคุณค่ะ! แต่ขออนุญาตทวนต้นสักหน่อยได้ไหมคะ ที่ท่านอาจารย์ระบุขณะเริ่มต้นสนทนาว่า กระบวนทรรศน์ใหม่นี้จะต้องพัฒนาทุกอย่าง แม้แต่การพัฒนาตัวเอง “การพัฒนาจะต้องพัฒนาตัวเองด้วยการพัฒนาที่พัฒนาอย่างไม่หยุดยั้ง” มันยังไงกันคะ
ผม: คืออย่างนี้ครับ ตามกระบวนทรรศน์เก่าๆ เราตั้งเป้าหมายไว้ว่า เราจะพัฒนาอะไร แล้วก็วางวิธีการไว้ชัดเจนตายตัวเพื่อเป้าหมายที่ตายตัว แล้วก็ทำไปตามนั้นเรื่อยๆไป เช่น
กระบวนทรรศน์ที่ 1 ตั้งแต่เกณฑ์การพัฒนาว่า ต้องรู้น้ำพระทัยของเบื้องบนและปฏิบัติตาม ทุกวันๆ ตั้งแต่ตื่นนอนจนถึงเข้านอนเป็นเกณฑ์เดียวนั้นทุกวันๆ จนตาย
กระบวนทรรรศน์ที่ 2 ก็มุ่งแสวงหากฎเพิ่มและนำไปปฏิบัติให้ได้ผลประโยชน์มากขึ้นเรื่อยไปจนตาย
กระบวนทรรศน์ที่ 3 ก็มุ่งสะสมบุญกุศลจนถึงวันตาย
กระบวนทรรศน์ที่ 4 ก็มุ่งขยายเครือข่ายความรู้ด้วยวิธีการวิทยาศาสตร์
กระบวนทรรศน์ที่ 5 มุ่งสร้างสรรค์ ปรับตัว ร่วมมือ และแสวงหา แต่การสร้างสรรค์นั้นเองบอกว่าเราต้องสร้างสรรค์แม้การสร้างสรรค์ ให้เป็นการสร้างสรรค์ที่สร้างสรรค์ดีขึ้นกว่าเดิมเสมอ ย่ำอยู่กับที่ไม่ได้ มันไม่สนุก ต้องปรับให้สนุกและมีความสุขกับการปรับตัวนั้นด้วย โอเคหรือยังครับ
แฟนคลับ: โอเคแล้วค่า
No comments on ปรัชญาภิรมย์ (22)
