ศาสตราจารย์กีรติ บุญเจือ
ชลีมานน์เพี้ยนอย่างมีคุณค่า
ฮายน์รีช ชลีมานน์(Heinrich Schliemann 1822-1893) เป็นชาวเยอรมัน บิดาเป็นคนสนใจและสนุกกับทุกๆเรื่องที่เกี่ยวกับชาวกรีกโบราณรู้อะไรมาก็ชอบที่จะเอามาเล่าให้ลูกชายของตนฟังซึ่งก็ฟังอย่างตั้งอกตั้งใจเป็นพิเศษตัวเองจำได้ดีว่าตอนยังเป็นเด็กเคยได้ยินคุณพ่อปรารภหลายต่อหลายครั้งจนจำได้แม่นยำทุกคำพูดว่า

“เสียดายจริงๆที่กรุงทรอยถูกทำลายราบไม่เหลือซากให้ยืนยันได้เลยว่าเคยมีกรุงทรอยอยู่จริงบนพื้นปฐพี”

ทีเแรกก็เชื่อว่าที่เป็นเช่นนั้นเพราะคิดว่าเรื่องกรุงทรอยเป็นเรื่องเล่าเพื่อความบันเทิงโดยแท้ตอนนั้นเพิ่งมีอายุรู้ความยังไม่สำนึกว่ามีเรื่องราวประวัติศาสตร์ต่างหากจากเรื่องเล่าสนุกๆต้องรอถึงอายุ 8 ขวบจึงเริ่มรู้สำนึกถึงความต่างดังกล่าวเรื่องแรกที่ประเดิมความสำนึกก็คือเรื่องกรุงทรอยที่คุณพ่อเชื่อว่าเป็นเพียงนิยายสนุกๆแต่งเสริมความรู้เรื่องประวัติศาสตร์ของชาวกรีกโบราณ ตกลงใจว่าจะไม่เชื่อคุณพ่อในเรื่องนี้จึงตั้งใจโดยพลการว่าโตขึ้นเป็นตัวของตัวเองเมื่อใดจะต้องไปหาความจริงให้ได้ว่ามีอะไรบ้างที่บ่งบอกว่าเป็นหลักฐานประวัติศาตร์ของกรุงทรอยจึงตั้งใจใฝ่รู้ทุกอย่างที่คิดว่าจะช่วยให้ทำได้สำเร็จคือ สนใจเรียนภาษากรีกและละตินเพื่ออ่านเรื่องของกรุงทรอยในภาษาดั้งเดิมของผู้บันทึกเรื่องที่ตนต้องการรู้อายุ 10 ขวบก็สามารถเขียนเรียงความเรื่องกรุงทรอยให้บิดาอ่านได้รู้เรื่อง

ค.ศ.1836 อายุ 14 ปีเรียนได้แค่จบชั้นประถมศืกษาก็ต้องออกจากโรงเรียนเพราะฐานะทางบ้านไม่สามารถส่งเสียให้เรียนต่อไปได้ต้องหางานทำหารายได้ช่วยฐานะของครอบครัวโดยสมัครทำงานเป็นลูกจ้างร้านโชห่วยแห่งหนึ่งทำอยู่ 5 ปีไม่มีอะไรดีขึ้นแต่หมดภาระช่วยครอบครัวแล้วจึงหางานใหม่ได้ตำแหน่งกลาสีเรือเดินสมุทรจากฮามบวร์ก (Hamburg)ไปแอฟริกาใต้เรือวิ่งลงใต้ในมหาสมุทรแอตแลนติกเลาะตามชายฝั่งจากฮามบวร์กได้ 12 วันเรือโดนพายุใหญ่คลื่นแรงเกินพิกัดอับปางลงสู่ท้องมหาสมุทรชลีมานน์อาศัยเรือกู้ชีพลอยเท้งเต้งอยู่ 9 ชั่วโมงเรือพามาเกยตื้นบนชายหาดประเทศเนเธอร์แลนด์ขาดการติดต่อกับทางบ้านต้องช่วยตัวเองพยายามเรียนภาษาท้องถิ่นและหางานทำเริ่มคล่องตัวเมื่อได้ตำแหน่งเลขานุการของบริษัทแห่งหนึ่งมีเงินเดือนประจำขั้นแรก 50 เหรียญเขาใช้เพียงวันละ1เหรียญเพื่อความอยู่รอดนอกนั้นใช้เพื่อการศึกษาทุกอย่างที่อยากรู้ ค.ศ.1847 อายุ 25 ปีก็เปิดบริษัทของตนเองทำธุรกิจอยู่ 10 ปีรู้สึกว่ามีเงินมากพอที่จะทำอะไรที่อยากจะทำและเชื่อว่าได้สะสมความรอบรู้พอสำหรับค้นคว้าเรื่องกรุงทรอยที่รอคอยให้ความฝันผันสู่ความจริง

เขาเลหลังกิจการค้าทั้งหมดเพื่อรวบรวมเงินไปใช้ดำเนินการถ้าเป็นสมัยนี้ก็คงจ้างผู้บริหารให้ดำเนินการแทนเพื่อเอากำไรมาใช้จ่ายในงานวิจัยแต่สมัยนั้นทำได้แค่รวบรวมเงินฝากธนาคารเพื่อเอาดอกเบี้ยไปใช้ในงานวิจัยได้อย่างไม่เหือดแห้งเราไม่ว่ากันในเรื่องนี้เพราะแต่ละยุคสมัยก็มีวิธีการที่เหมาะสมของตนในระหว่างที่ทำธุรกิจเขาบริหารงานเองควบตำแหน่งเจ้าของและผู้จัดการเขาเดินทางไปติดต่อธุรกิจในประเทศต่างๆ ด้วยตนเองไปที่ไหนก็เรียนภาษาของท้องถิ่นนั้นซึ่งเขามีพรสวรรค์ที่จะเรียนรู้ได้เร็วด้วยวิธีการยอดเยี่ยมคือเดินทางไปประเทศไหนก็พยายามเรียนความรู้พื้นฐานของภาษาราชการของที่นั้นไปล่วงหน้าและเมื่อเดินทางไปสู่ประเทศนั้นจริงๆแล้วก็พยายามใช้ภาษานั้นอย่างเต็มที่พร้อมทั้งใช้พจนานุกรม 2 ภาษาเขียนบันทึกความจำในสมุดบันทึกประจำวันของตนอย่างมากที่สุดส่วนที่จนใจจริงๆ จึงใช้ภาษาเยอรมันแทรกขัดจังหวะดังนั้นพอเลิกค้าขายเขาก็ใช้ภาษาเหล่านี้ได้ดีพอสมควรทีเดียวคือภาษาอังกฤษฝรั่งเศสดัตช์สเปนปอร์ตุเกสอิตาเลียนรัสเซียสวีเดนโปแลนด์และอาหรับรวม10 ภาษาพอดีไม่รวมภาษาเยอรม้นละตินและกรีกโบราณซึ่งได้เรียนมาจากโรงเรียนใกล้บ้านครั้นจัดการเลหลังบริษัทได้เรียบร้อยแล้วก็ไปตั้งหลักที่ประเทศกรีซเพื่อเรียนภาษากรีกทั้งโบราณและปัจจุบันและเขาก็ใช้ได้อย่างคล่องแคล่วทั้ง 2 ภาษาภายในเวลาอันรวดเร็วจึงรู้สึกว่าตนพร้อมจะหาคำตอบที่ได้ตั้งเอาไว้ตั้งแต่วัย 8 ขวบขณะนี้อายุได้ 48 ปีแล้วใช้เวลาเตรียมตัวทั้งหมด 40 ปีโดยมีเป้าหมายชัดเจนตลอดเวลา ภรรยาของเขาซึ่งไม่มีทายาทด้วยกันรับไม่ได้กับการเปลี่ยนวิถีชีวิตเขาจึงยอมหย่ากับเธอโดยแบ่งทรัพย์สินให้ไปส่วนหนี่งแล้วประกาศหาคู่ใหม่โดยให้ส่งรูปถ่ายมาประกวดเขาเลือกหญิงสาวอายุ 19 ปีโดยให้สินสอดแก่พ่อแม่เจ้าสาวอย่างคุ้มได้ทายาทเป็นหญิง 1 ชาย 1 ได้ฤกษ์เดินทางไปสู่เมืองโทรเอิด (Troad) มุมตะวันตกเฉียงเหนือของเอเชียไมเนอร์ซึ่งชลีมานน์เชื่อว่าน่าจะเป็นที่ตั้งของกรุงทรอยซื้อบ้านพักที่นั่นเพื่อเป็นที่อยู่ถาวรของตนและครอบครัว

ทำการเจรจากับรัฐบาลตุรกีเป็นเวลา1 ปีจึงได้รับอนุญาตให้ขุดเพื่อการศึกษาได้ภรรยาให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่ทำงานเคียงบ่าเคียงไหล่กันตลอดเวลาเขาจ้างคนงานทันที 80 คนทำงานเต็มเวลาทำงานกันอยู่ 1 ปีจึงเริ่มเห็นผลเป็นขั้นแรกคือพบหีบใบใหญ่บรรจุเครื่องประดับทองคำและเงินนับได้ 90,000 ชิ้นเขารีบกอบใส่ผ้าคลุมไหล่ของภรรยารวบปากห่ออุ้มไปเข้ากระท่อมที่พักปิดประตูใส่กลอนตรวจสอบดูให้แน่ใจว่าตรงกับวรรณกรรมของโฮเมอร์
ก่อนหอบกลับบ้านพักและเก็บใว้อย่างดีพร้อมแพร่ข่าวทางหนังสือพิมพ์ว่าเขาได้ขุดพบหีบสมบัติของกรุงทรอยแล้วแต่ก็มีผู้สงสัยว่าเขาอาจจะกุข่าวโดยสร้างหลักฐานปลอมขึ้นมาหลอกลวงมวลชนผู้เชี่ยวชาญโบราณคดีไปตรวจเช็คดูพากันรับรองเป็นเสียงเดียวกันว่าของจริง ชลีมานน์สมหวังสั่งให้ลุยขุดกันต่อไปอย่างไม่หยุดยั้งพบว่ามีการสร้างเมืองทับซ้อนกันอยู่ถึง 9 ชั้นจึงมอบให้ผู้เชี่ยวชาญพิสูจน์ดูว่าชั้นไหนเป็นกรุงทรอยที่ถูกทำลายโดยกองทัพกรีกตามมหากาพย์ของโฮเมอร์

ในเมื่อหาหลักฐานชี้ขาดไม่ได้เขาจึงทิ้งงานขุดค้นกรุงทรอยไว้แค่นั้นก่อนเดินทางไปหาแหล่งที่เชื่อว่าเป็นวังของจอมทัพแอกเกอเมมนัน (Agamemnon) แห่งเมอซีนิ (Mycenae) จอมทัพกรีกผู้สั่งเผากรุงทรอยก็พบวัตถุโบราณมากมายตามเป้าหมายเขาเล็งไปขุดหาที่ตั้งของทายเรินส์ (Tiryns) และก็ได้พบกำแพงหินก้อนมหึมาที่โฮเมอร์เล่าว่ายักษ์ซายคลัพ์สร้างไว้เขาถึงแก่กรรมขณะที่กำลังสนุกกับงานในปีค.ศ.1893 รวมอายุได้ 71 ปีปริศนาที่เขาทิ้งไว้ให้นักโบราณคดีต้องหาคำตอบให้ได้ก็คือวัตถุโบราณที่ค้นพบเหล่านี้มีอายุเก่าแก่กว่าสงครามกรุงทรอยอยู่มากใครเป็นผู้ทำหลักฐานเหล่านี้ไว้อย่างน้อยก็รู้ว่าวัตถุโบราณของทายเรินส์เก่าแก่กว่าของเมอซีนิทายเรินส์ในปรัมปรา

ทายเรินส์ก่อตั้งเป็นนครรัฐโดยชาวพื้นเมืองเดิมของกรีซก่อนการเข้าครอบครองโดยชาวเผ่าอารยันโดยเจ้าชายจากนครรัฐอาร์กัส(Argos)ที่ตั้งอยู่ก่อนเรื่องมีอยู่ว่า สมัยที่อาร์กัสปกครองโดยกษัตริย์แอบเบิส (Abas) ซึ่งสืบเชื้อสายจากเทวราชซูสกับอายโอว์ เจ้าหญิงแห่งเฝอนีเฉอ (Phoenicia) พระองค์ทรงมีพระโอรสแฝด 2 นามว่า อครีสเฉิส (Acrisius) กับเผรออีเถิส (Proetus) ซึ่งวิวาทเพราะไม่ยอมเสียเปรียบกันมาโดยตลอด

ส่วนพระราชบิดาก็มุ่งหวังอบรมให้ช่วยกันดูแลราชอาณาจักรจึงทรงแต่งตั้งให้อครีสเฉิสเป็นกษัตริย์และเผรออีเถิสเป็นอุปราช ครั้นแอบเบิสสิ้นพระชนม์ลงอคริสเฉิสก็สั่งเนรเทศเผรออีเถิสออกจากราชอาณาจักรทันที เผรออีเถิสลี้ภัยไปพึ่งกษัตริย์อายเออเบถิสแห่งลีสเฉอ(Iobates of Lycia) ซึ่งรับเป็นบุตรเขยและให้กองทัพไปชิงราชสมบัติ พี่น้องรบกันอย่างดุเดือดที่สุดโดยไม่มีเครื่องชี้บ่งว่าฝ่ายใดจะชนะ พี่น้องจึงยอมทำสัญญาหยุดรบและแบ่งเขตกันปกครอง โดยให้เผรออีเถิสไปสร้างเมืองหลวงเอาใหม่ทางภาคตะวันออกติดชายทะเลที่ทายเรินส (Tiryns) มีอำนาจปกครองถึงเมอซีนิ (Mycenae) และสพาร์เถอ (Sparta) ด้วย

เผรออีเถิสระดมชาวเผ่าซายขลับส์ (Cyclops แปลว่าตากลม) มาขนหินก้อนใหญ่ๆ มาสร้างกำแพงให้แข็งแรงกว่ากำแพงใดๆ ที่เคยสร้างกันมา ต่อมาก็คุมกองทัพไปประหารชีวิตอคริสเฉิสชิงอาณาจักรอาร์กัสเป็นของตนทั้งหมด ต่อมาหลานตาของอคริสเฉิสนามว่าเผอร์ซีเอิส (Perseus) ก็กลับมาสังหารเผรออีเถิสชิงอำนาจและล้างแค้นได้สำเร็จโดยเปิดให้ดูหน้าของเมอดูเสอ (Medusa) พลันเผรออีเถิสก็กลายร่างเป็นแท่งศิลาไป

ต่อมาโอรสของเผรออีเถิสนามว่าเมกเกอเพนธิส (Megapenthes) ก็สังหารเผอร์ซีเอิสชิงอำนาจและล้างแค้นแทนบิดาได้สำเร็จได้ครองบัลลังก์มหาอาณาจักรอาร์กัสต่อม า6 รัชกาลเออรีสถิส (Orestes) แห่งราชวงศ์เอเทรียส (Atreus) ซึ่งสืบเชื้อสายจากเทวราชซูสก็ได้ครองมหาอาณาจักรอาร์กัสเรื่อยมาจนถึงเฮร์เรอขลิสหรือเฮอร์คิวลิส(Heracles, Hercules)

ต่อจากนั้นก็จะเข้ายุคประวัติศาสตร์ของอารยธรรมทายเรินส์และเมอซีนิซึ่งเป็นอารยธรรมแรกบนผืนแผ่นดินใหญ่กรีซก่อนที่ชาวอารยันจะเข้ามาจุ้นจ้านสร้างอารยธรรมกรีก__


Leave a comment