Abelard, peter พีเถอร์ เอเบอลาร์ด
ผู้แต่ง : รวิช ตาแก้ว
ผู้ปรับแก้ : กีรติ บุญเจือ
พีเถอร์ เอเบอลาร์ด ( peter Abelard 1079-1142) เป็นชาวฝรั่งเศส เกิด ณ ตำบลปาเล ( ฝร.Palais,Pallet) ในแคว้นบริแทนนิ สนใจหาความรู้อย่างมากและเป็นคนใจร้อน เถรครง เรียนจากธิอาเดอริกแห่งชาตร์ตั้งแต่ยังเป็นเด็กอายุ 15 ปีเรียนจากราสเสอลายเนิสแล้วมาต่อที่ปารีสโดยเรียนใสสำนักของวีลเลียมแห่งชองโพ อายุ 25 ปี ทะเลาะกับอาจารย์จึงแยกตัวตั้งสำนักขึ้นสอนเองที่คอรืเบย ( Corbeil) ใกล้กรุงปารีส อายุ 27ปีป่วยเรื้อรังจึงกลับบ้าน อายุ 29 ปี กลับกรุงปารีสเช้าเรียนในสำนักอารามเซนต์วีกเทอร์ฌดยมีวีลเลียมแห่งชองโพเข้ามาถือพรตและสอน แย้งอาจารย์วีลเลียมเรื่องทฤษฎีสิ่งสากลจนอาจารย์ต้องเปลี่ยนทฤษฎี ด้วยความคึกคะนองในชัยชนะจึงแยกตัวออกมาตั้งสำนักส่วนตัว และตั้งตัวเป็นคู่แข่งกับอาจารย์ อายุ 34 ปี เข้าเรียนเทววิทยาจากแอนเซลม์แห่งลาโอง (Anselm de Laon) เรียนได้ไม่นานก็ทะเลาะกับอาจารย์และแยกตัวออกมาตั้งสำนักสอนเทววิทยา มีลูกศิษย์นิยมมาก สำนักอาสนวิหารแห่งปารีสเชิญมาเป็นอาจารย์ยิ่งทำให้โด่งดังมากขึ้น ได้รับเชิญให้เข้าไปสอนพิเศษให้เอโลอิส (ฝร.Heloise) ซึ่งเป็นหลานสาวของเจ้าโอวาสแห่งอาสนวิหารได้เสียกันจนเกิดบุตรชายนำไปฝากพี่สาวเลี้ยงดู เอเบอลาร์ดคิดจะแต่งงานให้เรียบร้อยแต่เอโลอิสเสียดายอนาคตของเอเบอลาร์ดซึ่งเธอหวังว่าจะเป็นอาจารย์โด่งดัง ในสมัยนั้นหากแต่งงานเสียก็หมดสิทธ์สอนเอเบอลาร์ดจึงเสนอให้แต่งงานลับ ๆ แล้วนำเอโลอิสไปฝากในอารามแม่ชีที่อาร์ชองเตย (Argenteuil) เพื่อหาทางออกที่ดีที่สุดต่อไป ระหว่างนั้น เจ้าอาวาสผู้เป็นลุงของเอโลอิสเจ็บใจที่เอเบอลาร์ดทำเสียหน้าจึงพาลูกน้องมาจับเอเบอลาร์ดคุมกำเนิดเสียเหตุการณ์ดังกล่าวทำให้ทั้งคู่ตัดสินใจเด็ดขาดที่จะถือพรตตลอดชีพ เอเบอลาร์ดเข้าอารามเวนต์เดอนีที่ปารีสเมื่ออายุ 39 ปี ตั้งหน้าบำเพ็ญพรตและศึกษา ลูกศิษย์พากันมาขอร้องจึงต้องเปิดสำนักสอนและเขียนตำราเทววิทยาขึ้น ทั้ง ๆ ที่ยังไม่ได้รับอนุญาตให้สอน เพราะสมัยนั้นผู้จะสอนเทววิทยาต้องได้รับปริญญามหาบัณฑิต (ปริญญาโท) เป็นอย่างน้อยจากสำนักที่องค์การคริสตจักรรับรองเอเบอลาร์ดจึงถูกเบอร์เนิร์ดแห่งแคลร์โว (Bernard of Clairvaux) ฟ้องและถูกเรียกตัวมาคว่ำบาตรในสังคายนาย่อยแห่งรัซโซงเมื่ออายุ 42 ปี ตำราเทววิทยาถูกเผาในข้อหาว่าสอนลัทธิเสอบีเลียสเอเบอลาร์ดขออนุญาตสร้างอาศรมพระจิตเพื่อสงบจิตใจของตนเองที่แกงเซย์ ( ฝร.OratoireParaclete de Quincey) ลูกศิษย์ลูกหาพากันมารบเร้าให้สอนอีก ซึ่งเอเบอลาร์ดตอบสนองอย่างลับ ๆล่อ ๆ อายุ 46 ปี นักพรตแห่งอารามเซนต์กีลเดิส (Saint Gildas ) เชิญให้เป็นอธิการ เอเบอลาร์ดจึงเข้าพิธีบวชเป็นบาทหลวงมอบอาศรมของตนให้เอโออิสเปิดเป็นอารามแม่ชี ตั้งใจบริหารอารามให้ดีเด่น แต่ก็พบว่าที่ถูกเชิญมาเป็นอธิการก็เพราะอารามนี้ยากจน ต้องการรายได้จากการสอนของเอเบอลาร์ดมาค้ำจุน และที่ร้ายกว่านั้นก็คือนักพรตแห่งอารามนี้หละหลวมในวินัยมากเสพสุขตามโลกียวิสัยกันเป็นล่ำเป็นสัน จึงหวังกันว่าอธิการอย่างเอเบอลาร์ดคงจะสนับสนุน เมื่อเอเบอลาร์ดเห็นว่า ตนไม่สามารถแก้ไขได้จึงขอลาออกจากตำแหน่งและรายงานพฤติกรรมให้องค์การคริสตจักรทราบตนเองไปตั้งอาศรมบนเนินแซงต์เซอเนอวีแอฟ (ฝร. Ste .Genevieve) ในกรุงปารีส และถูกลูกศิษย์รบเร้าให้สอน อายุ 61 ปีถูกเบอร์เนิร์ดแห่งแคลร์โวฟ้องอีกในสังคายนาย่อยแห่งซอง (Council of Sens, 1140 ) ถูกคว่ำบาตรและหนังสือถูกเผา คราวนี้ เอเบอลาร์ดไม่ยอม ตั้งใจจะเดินทางไปประท้วง ณ สำนักสันตะปาปาด้วยตนเอง ขณะเดินทางมาค้างแรมที่อารามคลุนีซึ่งพีเทอร์ผุ้น่าเคารพ (Peter the Venerable) เป็นอธิการอยู่พีเทอร์เกลี้ยกล่อมจนเอเบอลาร์ดปลงตก ตัดตัวกูได้สำเร็จเลิกล้มการเดินทาง และการประท้วง เลิกแสวงหาชื่อเสียงทุกอย่าง บำเพ็ญพรตเป็นตัวอย่างแก่ทุกคนในอารามคลูนีจนถึงแก่มรณภาพ ผู้เลื่อมใสในบุคลิกภาพของท่านยังคงเล่าลือถึงท่านและคำสอนของท่านจนกลายเป็นตำนานธรรมเรื่องหนึ่งมาจนทุกวันนี้
ปัญหาเรื่องสิ่งสากล เอเบอลาร์ดโต้แย้งฝ่ายสัจนิยมแบบจัดว่า หากมีสิ่งสากลนอกสิ่งเฉพาะหน่วยจริงก็ย่อมจะต้องมีแบบ แบบเดียวของสิ่งที่ขัดแย้งกัน เช่น จะต้องมีแบบสัตว์ (animal) ซึ่งจะต้องเป็นทั้งมีเหตุผล (rational) และไร้เหตุผล (irrational) ในขณะเดียวกัน จะเป็นไปได้อย่างไร และโต้แย้งฝ่ายนามนิยมว่าปากว่าตาขยิบ เพราะพวกนี้ใช้คำพูดที่มีความหมายสากลอยู่ตลอดเวลา คำว่า “คน” จะหมายถึงทุกคนได้อย่างไร ถ้าแลว่าคนแต่ละคนเป็นเอกเทศกันจนไม่มีอะไรร่วมกันเลย
ถ้าเช่นนั้นสิ่งสากลคืออะไรเล่า เอเบอลาร์ดวิเคราะห์ว่า เราใช้คำพูดสากล (universal word) เพื่อหมายถึงความเข้าใจทั่วไปหรือแบบสามานย์ (common form) แบบสามานย์นี้ ปัญญาของเราได้มาจากสถานะของสิ่งเฉพาะหน่วย (status of the individuals) เอเบอลาร์ดมิได้ชี้แจงไว้ว่าสถานะดังกล่าวคืออะไร สันนิษฐานว่าเอเบอลาร์ดเองก็คงไม่เข้าใจชัดแจ้งนัก เพราะยังมี่มีงานของเอเริสทาเทิลให้ศึกษาเพียงพอ เอเบอลาร์ดจึงได้แต่กรุยทางสัจนิยมสายกลางไว้ให้เท่านั้น เมื่ออไควเนิสมีงานของเอเริสทาเทิลอยู่ในมือมากขึ้น จึงพบสัจนิยมสายกลางอย่างสมบูรณ์
สรุปการรู้จักแยกประเด็นทำให้คำสอนของเอเลบอลารด์ชัดเจน น่าทึ่งจึงติดอกติดใจลูกศิษย์ลูกหาเป็นยิ่งนัก แต่ทว่าเอเบอลาร์ดแสดงความสามารถให้เห็นว่าเป็นนักตรรกวิทยายิ่งกว่าจะเป็นนักปรัชญา เอเบอลาร์ดจึงถนัดทางวิเคราะห์และวิจารณ์ความคิดของผู้อื่น แต่ไม่สามารถเสนอคำตอบขึ้นมาทดแทนได้อย่างชัดเจนและน่าทึ่งเหมือนการวิจารณ์ ความสำคัญของเอเบอลาร์ดจึงอยู่ที่ให้ตัวอย่างวิธีการ ยิ่งกว่าให้คำสอน หนังสือใช่และไม่ใช่ จะเป็นแบบอย่างให้พีเทอร์ ลัมบาร์ (Peter Lombard) รวบรวมหนังสือ จตุรบรรพแห่งทรรศนะ(The Four Books of Sentences) อันเป็นหนังสือตำราที่สำคัญที่สุดเล่มหนึ่งของยุคกลาง ส่วนวิธีการวิเคราะห์ประเด็นจะเป็นแบบฉบับให้นักปรัชญาอัสสมาจารย์ต่อมาใช้กันอย่างเป็นล่ำเป็นสัน “ฉันของแยกประเด็น” (ลต. Distinguo = I distinpquish) และ “ต้องแยกประเด็น” (ลต. Distinguendumest = to be distinguished) จะเป็นสำนวนที่ติดปากนักปรัชญาทุกคนในมหาวิทยาลัยแห่งยุคกลาง ตำราของอไควเนิสทำตัวอย่างไว้อย่างเด่นชัดในเรื่องนี้
