Alber the Great แอลเบิร์ทมหาบุรุษ
ผู้แต่ง : รวิช ตาแก้ว
ผู้ปรับแก้ : กีรติ บุญเจือ
แอแลเบิร์ทมหาบุรุษ (Alber the Great 1206 – 1280 ) เดิมเรียกกันว่าแอลเบิร์ทแห่งโคโลญ (Albert of Colgne)หรือแอลเบิร์ทชาวทิวทัน (Alber the Teuton) ได้สมญาว่ามหาบุรุษเมื่อกลางศตวรรษที่ 14 เกิดในตระกูลขุนนางอนารยยชนที่ตั้งหลักแหล่งในตำบลบอลส์เตดต์ (Bollsetedt in Lauingen of Bavaria) ค.ศ. 1222 สนใจปรัชญาของเอเริสทาเทิลจึงเดินทางไปเรียนที่ปาดัวในอิตาลี ซึ่งเป็นศูนย์ศึกษาเอเริสทาเทิลที่นับว่าสำคัญในขณะนั้นปีต่อมาสมัครเป็นนักพรตในคณะเดอมีเนอเคินแล้วเรียนหลักสูตรของคณะที่โบโลเญอ จบแล้วสอนที่โคโลญและสำนักอื่น ๆ ของคณะอยู่ 20 ปี ระหว่างนั้นสนใจค้นคว้าปรัชญาของเอเริสทาเทิลตลอดเวลา ค.ศ. 1245 จึงได้ไปศึกษาและสอนที่มหาวิทยาลัยปารีส ซึ่งคณะเอมีเนอเคินตั้งสำนักสาขาที่แซงฌาก (ฝร . St. Jacques) ระหว่างนี้ได้อไควเนิสเป็นลูกศิษย์และผู้ร่วมใจในการวิจัยปรัชญาของเอเริสทาเทิล สำหรับอธิบายคริสต์ศาสนา ค.ศ. 1245 ได้รับปริญญาเอก ขณะนั้นนักพรตในคณะของ ท่านยังประณามวิชาปรัชญากันอยู่มาก ท่านพยายามอย่างมากที่จะชี้ให้เห็นความสำคัญของปรัชญาในการช่วยอธิบายข้อเชื่อและข้อโต้แย้งค.ศ. 1248 ก่อตั้งสำนักเทววิทยาแหห่งโคโลญโดยมีอไควเนิสเป็นผู้ช่วยที่แข็งขัน ค.ศ. 1260 ได้รับเลือกเป็นสมณราชแห่งเรเกินสบวร์ก (Regensburg ) อยู่ในตำแหน่งเพียง 2 ปี ก็ลาออกเพื่ออุทิศชีวิตให้แก่การสอน ค้นคว้าและเขียน ใช้อำนาจหน้าที่และความสามารถทุกอย่างสนับสนุนการศึกษางานของเอเริสทาเทิลโดยตรงเพื่อนำมาใช้อธิบายคริสตศาสนา ในเวลาเดียวกันก็ต่อต้านการใช้เอเริสทาเทิลตามอรรถกถาของเอเวอร์โรอิสมาอธิบายคริสตศานาตามทิศทางของพวกนิยมเอเวอร์โรอิส(Averroists)ซึ่งแอลเบิร์ทพบว่ามีความผิดพลาดอยู่มาก ปัญหาแกนของแอลเบิร์ทก็คือ จะตีความเอเริสทาเทิลอย่างไรจึงถูกต้องนอกจากนั้นพยายามป้องกันวิธีการของอไควเนิสจนตลอดชีวิต
สงครามครูเสดทำให้ยุโรปตระหนักว่าพวกตนล้าหลังชาวมุสลิมอยู่มากทางด้านวิชาการ ไม่ว่าจะด้านเทคโนโลยี การแพทย์ ความบันเทิง แม้กระทั่งทางด้านปรัชญาและเทววิทยา ชาวยุโรปรู้จักแต่ปรัชญาของเพลโทว์อธิบายคริสตศสานา จะรู้จักเอเริสทาเทิลบ้างก็เท่าที่เบอีเธียสถ่ายทอดไว้เท่านั้น ทางฝ่ายมุสลิมนั้นเดิมเรียนรู้การใช้ปรัชญาของเพลโทว์อธิบายศาสนาจากชาวคริสต์ แต่ทว่าขณะนั้นชาวมุสลิมไปไกลถึงกับแปลงานของเอเริสทาเทิลทั้งหมดเท่าที่รู้เป็นภาษา อาหรับและใช้อธิบายศาสนาอิสลามอย่างกว้างขวาง ได้นักตีความเอเริสทาเทิลที่สำคัญ 2 ท่าน คือ เอเวอเซนเนอ (Avicenna หรือ Ibn – Sina) และอเวอร์โรอิส (Averronesหรือ Ibn – Rushd ) ชาวสเปนเริ่มแปลงานของนักปราชญ์ทั้ง 2 เป็นภาษาละติน ซึ่งมีการคัดลอกไปศึกษาต่อ ๆ กันไปทั่วยุโรป ในขณะเดียวกัน ทางอิตาลีใต้ได้มีผู้เริ่มแปลงงานของเอเริสทาเทิลจากภาษากรีกเป็นลาตินซึ่งค่อย ๆ แพร่หลายขึ้นทางเหนืออย่างช้า ๆ มีสำนักสอนปรัชญาของเอเริสทาเทิลที่สำคัญที่ปาดัว (Padua ) มีผู้สนใจใช้ปรัชญาของเอเริสทาเทิลอธิบายคริสตศาสนาผิดแผกไปจากเดิมเป็นหลายกระแส ทำให้เกิดความขัดแย้งกันรุนแรงระหว่างนักเทววิทยาอัครสมณราชแห่งปารีสจึงประกาศห้ามศึกษาหนังสือ ธรรมชาติวิทยา (Physica) ของเอเริสทาเทลในปี ค.ศ. 1209 และหนังสือ อภิปรัชญา (Metaphysica) ในปี ค.ศ. 1215 ที่ปารีสมีการลักลอบศึกษากันเป็นประจำ นอกปารีสยังศึกษากันได้อย่างเสรี ระหว่างนี้แหละที่แอลเบิร์ทไปศึกษาที่อิตาลี ค.ศ. 1230 อาร์เนิลด์แห่งแซกเสอนิ (Aronld of Saxony) เรียบเรียงสารานุกรมธรรมชาติวิทยา ของเอเริสทาเทิลขึ้นใช้เป็นเครื่องมือศึกษา ซึ่งได้รับการต้อนรับอย่างกว้างขวาง ค.ศ. 1231 สันตะปาปาเกรเกอริที่ 9 ทรงตั้งคณะกรรมการพิจารณาแยกความคิดที่ใช้ได้กับที่ใช้ไม่ได้ในปรัชญาของเอเริสทาเทิล แต่กลุ่มนักนิยมเอเวอร์โรอิสในมหาวิทยาลัยปารีสคัดค้านการกระทำดังกล่าว โดยอ้างว่าความจริงมี 2 อย่าง คือ ความจริงทางปรัชญา (philosophical truth ) กับความจริงทางเทววิทยา ( theological truth) ความจริง 2 อย่างนี้ไม่จำเป็นต้องตรงกันเช่น คำสอนของเอเริสทาเทิลเรื่องเอกภพไม่มีจุดเริ่มต้นแม้จะขัดกับเทววิทยาเรื่องการสร้างโลกก็ถือว่าเท็จทางเทววิทยา แต่ทว่าเป็นความจริงทางปรัชญา ดังนั้น จึงไม่เป็นการถูกต้องที่จะทึกทักเอาว่า ความคิดใดที่ไม่ตรงกับเทววิทยาแล้วจะต้องเท็จเสียเลยทั้งหมด แอลบิร์ทวิจัยปรัชญาในบรรยากาศเช่นนี้ จึงมีสมมุติฐานส่วนตัวว่า น่าจะมีวิธีประนีประนอมระหว่างปรัชญาของ เอเริสทาเทิลกับคริสตศาสนาได้อย่างแนบเนียน และการทำเช่นนั้นจะเป็นประโยชน์อย่างมากต่อคริสตศาสนา หน้าที่การงานของแอลเบิร์ทเอื้อต่อการรวบรวมเนื้อหาเพราะอาจจะแสวงหาต้นฉบับจากที่ต่างๆ ได้มาก แต่ไม่มีสมาธิพอสำหรับคิดให้ลึกซึ้ง ซึ่งเรื่องนี้ อไควเนิสผู้เป็นศิษย์จะมีโอกาสดีกว่าและจะทำได้อย่างดีที่สุด การรู้กว้างนี้เองที่ทำให้แอลเบิร์ทได้รับฉายาว่า ‘’ นักปราชญ์สากล ‘’ (Doctor Universalis)
ความสำคัญของแอลเบิร์ทอยู่ที่กล้ารับความจริงว่านักปรัชญามุสลิมล้ำหน้านักปรัชญาคริสต์ในทางปรัชญาและวิทยา พร้อมทั้งกล้าสนับสนุนให้ถือเอานักปรัชญามุสลิมเป็นครูในเรื่องดังกล่าว ตนเองได้พยายามทำตัวอย่างแม้จะทำไม่ได้ดีมากนัก แต่ก็ได้พยายามทำเต็มความสามารถ แล้วกระตุ้นให้ลูกศิษย์สืบสานงานต่อไป แบบเดียวกันกับที่เธลิสได้ปฏิบัติมาแล้ว แอลเบิร์ทยกย่องลูกศิษย์สู้ครูและก็ได้สมปรารถนานั่นคือ อไควเนิสซึ่งนำเอาแนวโน้มทางปรัชญาของเอเริสทาเทิลไปพัฒนา เอิลรีชแห่งสทราสบวร์ก (Ulric of Strasburg) และจอห์นแห่งฟรายบวร์ก(John of Freiburg)ซึ่งนำเอาแนวโน้มทางลัทธิเพลโทว์ใหม่ไปพัฒนา อาจารย์เอเคิร์ท(Meister Eckharl) และธิอาเดอริกแห่งฟรายเบิร์ก (Theodoric of Freiberg 1250 ? -1311 ?)ซึ่งนำเอาแนวโน้มทางลัทธิฌานนิยมไปพัฒนา เป็นต้น


Leave a comment