ambiguity ภาษากำกวม
ผู้แต่ง : ศุภชัย ศรีศิริรุ่ง
ผู้ปรับแก้ : กีรติ บุญเจือ
คำว่า “ภาษากำกวม” (ambiguous language) หมายถึง ภาษาที่มีความหมายได้มากกว่าหนึ่งแบบ หรือ สามารถตีความได้หลายวิธีโดยไม่ชัดเจน ซึ่งอาจนำไปสู่ความเข้าใจผิด การถกเถียงที่ไร้สาระ หรือแม้แต่ความล้มเหลวในการสื่อสารเชิงตรรกะและปรัชญา
ทั้งนี้ เนื่องจากกฎไวยากรณ์ไม่รัดกุมพอและผู้ใช้ภาษาชอบพลิกแพลงเพื่อความสละสลวย จึงเปิดช่องโหว่ให้มีความกำกวมในภาษาซึ่งมีได้หลายแบบด้วยกัน เช่น
ความกำกวมทางศัพท์ (Lexical Ambiguity) คำเดียวกันมีหลายความหมาย คำพูดมีความหมายหลายอย่าง (equivocation)
ความกำกวมทางโครงสร้าง (Syntactic / Structural Ambiguity) โครงสร้างของประโยคเปิดทางให้เข้าใจได้หลายอย่าง (amphiboly) ไม่มีการเว้นวรรคหรือเครื่องหมายวรรคตอน (lack of punctuation) เน้นให้เข้าใจผิด (fallacious accent) ภาษากำกวมทำให้มีเทอมมากกว่า 3 เทอมในรูปนิรนัย จึงผิดกฎข้อหนึ่ง เช่น
- “ท่านมี ตา ดีทั้งทีควรใช้งานให้คุ้ม” (คำกำกวม)
- “คนเหยียบลิง ตาย ต้องเป็นคนว่องไวมาก” (ประโยคกำกวม)
- “สามวันจาก นารี เป็นอื่น” (ขาดวรรคตอน)
- ครูเวรลงบันทึกว่า “วันนี้ครูใหญ่เมา” วันต่อมาครูใหญ่ลงบันทึกแก้เผ็ดว่า “เมื่อวาน ครูเวรไม่เมา” (เน้นให้เข้าใจผิดว่าทุกวันเมา)
ความกำกวมทางปริบทหรือการอ้างอิง (Pragmatic / Referential Ambiguity) บุคคลหรือสิ่งที่กล่าวถึงไม่ชัดว่าเป็นใคร/อะไร เช่น “เธอรักเขาเพราะเขาช่วยเขา”
การลดความกำกวม นักปรัชญาในสายวิเคราะห์พยายามสร้างภาษาอุดมคติ หรือตรรกะบริสุทธิ์เพื่อขจัดความกำกวม เช่น Frege สร้างระบบ Begriffsschrift เพื่อเขียนตรรกะให้ชัด Russell เสนอ theory of descriptions เพื่อลดความกำกวมในการกล่าวถึงสิ่งที่ไม่มีอยู่จริง เช่น “The present King of France” หรือ Wittgenstein ในงานช่วงแรก เสนอว่าโครงสร้างของภาษา (logical form) ควรสะท้อนโลกความจริงอย่างตรงไปตรงมาใน Tractatus Logico-Philosophicus และงานช่วงหลัง เสนอว่า การเข้าใจภาษากำกวมต้องพิจารณาการใช้จริง (language games) มากกว่าหาคำจำกัดความตายตัว
โดยสรุป ภาษากำกวมต้องได้รับการ วิเคราะห์ แยกโครงสร้าง และตีความในบริบท เพื่อหลีกเลี่ยงความเข้าใจผิด และเปิดทางสู่ความรู้และการให้เหตุผลที่แม่นยำ

