Anselm of Canterbury,St.เซนต์แอนเซลม์
ผู้แต่ง : รวิช ตาแก้ว
ผู้ปรับแก้ : กีรติ บุญเจือ
แอนเซลม์(1033?-1109)สังกัดกลุ่มอัสสมาจารย์นิยม (seholasticist) จึงถือว่า ปรัชญาเป็นสาวใช้ของเทววิทยา (Philosophy is the handmaid of theology) แต่ก่อนจะมารับใช้ก็มีความเป็นตัวของตัวเองก่อนบนฐานแห่งเหตุผลที่เป็นระบบเครือข่าย จึงมีหน้าที่ให้เหตุผลค้ำประกันความน่าเชื่อถือในข้อเชื่อของศาสนา ปัญหาที่ทำให้ท่านเด่นในวงการปรัชญาก็คือ ท่านตั้งข้อสงสัย (methodical doubt สงสัยเป็นวิธีการ ไม่ใช่สงสัยจริง ๆ) ว่าพระเจ้ามีจริงหรือไม่ คราวนี้ก็พยายามใช้ปรัชญาพิสูจน์ว่าต้องมีพระเจ้า เป็นการหาหลักฐานมั่นคงให้แก่ข้อเชื่อในศาสนา เพราะปรัชญาที่ใช้นั้นแอนเซลม์เชื่อว่ามีความมั่นคงในตัวเองอยู่แล้ว จึงเชื่อว่าจะสามารถสร้างความมั่นคงให้กับข้อเชื่อได้ตามหลักการว่า “ข้าพเจ้าเข้าใจเพื่อจะเชื่อ” (I understand so that I may believe)
วิธีพิสูจน์ว่ามีพระเจ้าของแอนเซลม์ เราเรียกว่า Ontological Proof (ข้อพิสูจน์โดยนัยภววิทยา) อันมีหลักการพิสูจน์ดังนี้
เราสามารถคิดเข้าใจถึงอะไรสิ่งหนึ่งที่สมบูรณ์ที่สุด (The Most Perfect) ในทุกแง่ ซึ่งเราให้ชื่อว่า พระเจ้า (อย่าสับสนกับ The Absolute สิ่งอสัมพัทธ์ ซึ่งไม่จำเป็นต้องสมบูรณ์ เพียงแต่ต้องตรงข้ามกับสิ่งสัมพัทธ์)
แต่ทว่าสิ่งที่สมบูรณ์ที่สุดในทุกแง่ดังที่เราคิดนั้นจำเป็นต้องมีอยู่จริง เพราะการมีอยู่เป็นส่วนหนึ่งของความสมบูรณ์ซึ่งจะขาดเสียมิได้ กล่าวคือถ้าสิ่งที่สมบูรณ์ที่สุดนั้นไม่มีอยู่จริง เราอาจจะคิดถึงอีกสิ่งหนึ่งที่มีความสมบูรณ์เหมือนเดิม แต่มีอยู่จริง ๆ ด้วย สิ่งสมบูรณ์อันหลังนี้ย่อมจะสมบูรณ์กว่าอันแรกซึ่งไม่มีความมีอยู่จริง เป็นอันว่าสิ่งสมบูรณ์อันแรกไม่สมบูรณ์ที่สุดจริง ต้องเป็นอันที่สองจึงจะสมบูรณ์ที่สุดจริง
จึงเป็นอันว่า สิ่งสมบูรณ์ที่สุดจริง ๆ ที่เราคิดเข้าใจได้นั้นต้องมีอยู่จริง เราเรียกว่าพระเจ้าตั้งข้อพิสูจน์อย่างรัดกุมเป็นภาษาอังกฤษว่า
God is a being greater than whom cannot be conceived.
But greater than whom cannot be conceived, must exist in reality.
Therefore God exists.
สมัยของแอนเซลม์นั้นเองก็มีผู้แย้งว่า ถ้าอย่างนั้น สมมุติว่าเราคิดเข้าใจถึงเกาะ ๆ หนึ่งที่สวยงามที่สุด เกาะนั้นจำเป็นต้องมีอยู่จริง ๆ ด้วยหรือ (ผู้คัดค้านมีชื่อว่า กอนีโลว์Gaunilo)
แอนเซลม์ตอบกอนีโลว์ว่า เกาะกับพระเจ้านั้นเป็นคนละเรื่อง เพราะความมีอยู่ไม่ใช่ส่วนหนึ่งของความงามที่สุด เราจึงอาจจะคิดถึงอะไร ๆ ที่งามที่สุดโดยไม่มีความมีอยู่จริงภายนอกได้ แต่สิ่งที่สมบูรณ์ที่สุดหรือพระเจ้านั้น ความมีอยู่เป็นส่วนหนึ่งของความสมบูรณ์ที่สุด ถ้าขาดความมีอยู่เสียแล้ว สิ่งที่เราคิดว่าสมบูรณ์ที่สุดนั้นก็หาใช่สิ่งที่สมบูรณ์ที่สุดไม่ เพราะขาดความมีอยู่จริง ๆ นั่นเอง
อย่างไรก็ตาม เราพอจะเห็นความบกพร่องในความคิดของแอนเซลม์ที่ว่า ท่านข้ามจากระดับความคิดมาสู่ระดับความเป็นจริง ความมีอยู่ที่ท่านต้องการให้สิ่งสมบูรณ์ไม่บกพร่องนั้น ก็เป็นความมีอยู่ในระดับความคิด ถ้าจะสรุปว่าความต้องการในระดับความคิดเป็นความต้องการในระดับความเป็นจริงด้วยก็ต้องถือว่า สรุปมากเกินเหตุ
ที่เรียกการพิสูจน์แบบนี้ว่า “ภววิทยา” ก็เพราะเป็นการพิสูจน์ยืนยันถึงภาวะสูงสุด ซึ่งอาจจะเรียกว่าพระเจ้าหรือด้วยนามใดก็ได้
มีการเล่นสำบัดสำนวนกันนิดหน่อยระหว่างแอนเซลม์กับกอนีโลว์ซึ่งเป็นนักพรตเบเนดิกตินด้วยกันทั้งคู่ แอนเซลม์เริ่มข้อพิสูจน์ของตนโดยอ้างข้อความจากคัมภีร์ไบเบิลว่า “คนโง่กล่าวในใจของตนว่าไม่มีพระเจ้า” แล้วก็เริ่มชี้ให้เห็นว่าหากใช้เหตุผลสักนิดเดียวก็จะพบว่าต้องเชื่อว่ามีพระเจ้าโดยจำเป็น เหมือนกับการเชื่อหรือไม่ว่ามีพระเจ้านั้นเป็นมาตรการแบ่งเขตระหว่างคนฉลาดกับคนโง่
กอนีโลว์ซึ่งก็เป็นเพื่อนนักพรตด้วยกันและเชื่อว่ามีพระเจ้าอย่างแน่นแฟ้น แต่ยึดหลักการว่า “ข้าพเจ้าเชื่อเพื่อจะเข้าใจ” และแม้แต่ไม่เข้าใจก็ยังเชื่อ จึงเขียนบทความขึ้นโดยตั้งชื่อเรื่องเป็นเชิงเสียดสีว่า “ข้อแย้งของคนโง่เรื่องความมีอยู่ของพระเจ้า” ซึ่งใจจริงนั้นต้องการเหน็บแนมว่า “คนที่แย้งคนฉลาดได้นี่ ไม่ใช่คนโง่นะพี่แอนเซลม์” แต่แอนเซลม์ก็ยังยืนกรานว่า คนไม่เห็นเหตุผลว่าต้องเชื่อโดยจำเป็นว่ามีพระเจ้า ก็ยังนับว่าเป็นคนโง่อยู่นั่นแหละ จึงเขียนบทความตอบให้ชื่อว่า “ตอบคนโง่” รายงานจบลงเพียงแค่นี้ ไม่แน่ใจว่ากอนีโลว์ยอมรับหรือเปล่าว่าตนโง่ ที่แน่ชัดก็คือต่อมาไม่นานอไควเนิส (Aquinas) จะช่วยหนุนกอนีโลว์โดยฟันเปรี้ยงว่าข้อพิสูจน์ของแอนเซลม์ผิดหลักตรรกะ จึงเสนอข้อพิสูจน์ให้ 5 วิถีสู่ความเชื่อว่ามีพระเจ้า โดยเริ่มจากประสบการณ์ แต่บัดนี้เราพบว่าประสบการณ์พิสูจน์ได้แค่ระดับ “น่าจะเป็น” เป็นอย่างมาก (ดู Five Ways ปัญจวิถี)


Leave a comment