Aquinas and good life อไควเนิสกับชีวิตที่ดี
ผู้แต่ง : กันต์สินี สมิตพันธ์
ผู้ปรับแก้ : กีรติ บุญเจือ
ความประพฤติดี (good conduct) ความประพฤติดีของอไควเนิส ได้แก่ การกระทำที่ทีการตัดสินใจมุ่งสู่เป้าหมายสุดท้าย (final end) ไม่โดยตรงก็โดยอ้อม เป้าหมายสุดท้ายย่อมเป็นเป้าหมายสูงสุดด้วย ความประพฤติเลวได้แก่ การกระทำที่มีการตัดสินใจถอยห่างออกจากเป้าหมายสุดท้าย เอเราทาเทิลกล่าวถึงหลักมัชฌิมาปฏิปทาว่า “คุณธรรมยืนสายกลาง (ลต. In medio stat virtus Virtue stands in the middle) ซึ่งอไควเนิสตีความว่าหมายถึงความประพฤติดีแต่ละครั้งด้วย เพราะว่าความประพฤติดีต้องเดินตามเกณฑ์แห่งเหตุผล (in conformity to the rule of reason) แต่ทว่าเกณฑ์แห่งเหตุผลบัญญัติว่า “จงทำดีหนีชั่ว” ทว่าทั้งการเกินและการขาดเป็นความบกพร่องอันพึงหลีกเลี่ยง ดังนั้นพึงหลีกหนีทั้งการเกินและการขาดเพื่อให้เกิดความพอดี
อย่างไรเล่าจึงจะเรียกว่าพอดี อไควเนิสให้หลักพิจารณาว่าต้องพิจารณาตามความเหมาะสมของธรรมชาติของมนุษย์ในแต่ละเรื่อง ความเหมาะสมดังกล่าวนี้แหละคือกฎธรรมชาติ (natural Law) เนื่องจากธรรมชาติเกิดขึ้นตามแผนการนิรันดรแห่งพะปัญญาของพระเป็นเจ้าที่จะสร้างมนุษย์ แผนการดังกล่าวเรียกได้ว่ากฎนิรันดร (eternal Law) กฎธรรมชาติย่อมคล้อยตามกฎนิรันดรด้วยเหตุผลดังกล่าวข้างต้น
เนื่องจากปัญญาของมนุษย์ส่วนมากไม่ว่องไวพอที่จะค้นพบกฎธรรมชาติได้ทันเหตุการณ์ จึงมีกฎปฏิฐาน (positive law) ช่วยชี้ทางจนกว่าจะพบกฎธรรมชาติได้ด้วยตนเอง กฎปฏิฐานบัญญัติขึ้นโดยผู้มีความรู้น่าเชื่อถือได้และประกาศบังคับใช้โดยผู้มีอำนาจโดยชอบธรรมในสังคม หากเป็นกฎปฏิฐานที่ประกาศใช้เพื่อความสงบสุขทางฝ่ายบ้านเมืองก็เรียกว่ากฎหมายบ้านเมือง (civil Law) หากเป็นกฎปฏิฐานที่ประกาศใช้เพื่อความสงบสุขทางฝ่ายศาสนาก็เรียกว่ากฎหมายศาสนจักร (canon Law) หากเป็นกฎปฏิฐานที่ประกาศใช้บังคับเฉพาะนักบวชเรียกว่ากฎหมายคณะนักบวช ( ecclesiastical Law) กฎปฏิฐานทั้ง 3 ชนิดรวมกันเรียกว่ากฎหมายมนุษย์ (human Law) เพราะมนุษย์เป็นผู้ประกาศใช้กฎหมายมนุษย์ จะขัดแย้งกับกฎธรรมชาติและกฎพระเป็นเจ้าไม่ได้ กฎปฏิฐานใดถือว่า พระเป็นเจ้าทรงประกาศใช้โดยพระองค์เองก็เรียกได้ว่ากฎพระเป็นเจ้า (divine Law) ซึ่งในคัมภีร์ไบเบิลเรียกว่าพระบัญญัติ (commandment) หากกฎพระเป็นเจ้าขัดแย้งกับเหตุผลก็ให้สำรวจดูว่าเข้าใจกฎพระเป็นเจ้าถูกต้องหรือไม่ และสำรวจด้วยว่า ผู้ออกกฎใช้เหตุผลอย่างถูกต้องแล้วหรือไม่ กฎแห่งความประพฤติเหล่านี้ ทั้งหมดรวมกันเรียกว่ากฎศีลธรรม (moral law) มีทั้งข้อห้าม (ศีล) และคำสั่ง (ธรรม) อย่างไรก็ตาม อไควเนิสถือว่า กฎศีลธรรมเป็นเพียงแนวทางชี้แนะ ไม่ใช่กฎเกณฑ์ซึ่งมนุษย์ผู้อยากประพฤติดีจะต้องเดินตามอย่างไร้วิจารณญาณ ตรงกันข้าม มนุษย์มีหน้าที่ใช้เหตุผลศึกษาให้เข้าใจกฎและเลือกใช้ให้เหมาะสมกับกาละและเทศะ เช่น การฆ่าคนอาจจะเป็นการประพฤติดีได้ในบางกรณี และการไปโบสถ์ก็อาจจะเป็นการประพฤติผิดได้ในบางกรณี เป็นต้น ดังนั้น มนุษย์แต่ละคนมีหน้าที่จะต้องใช้เหตุผลชั่งดูความเหมาะสมในแต่ละกรณีว่าควรใช้กฎใดหรือไม่เพียงไร การกระทำเช่นนี้เรียกว่า การสร้างมโนธรรม (to make up the conscience) และการตระหนักที่เกิดขึ้นเช่นนี้เรียกว่า มโนธรรม อไควเนิสถือว่า มโนธรรมคือเสียงของพระเป็นเจ้า (the voice of God) มนุษย์แต่ละคนจะต้องสร้างมโนธรรมขึ้นอย่างบริสุทธิ์ใจและมีหน้าที่เดินตามมโนธรรมของตน ในความประพฤติดีแต่ละครั้ง ตามที่กล่าวมานี้เป็นมโนธรรมของปุถุชน ผู้ใดบำเพ็ญภาวนาก้าวหน้าทางจิตใจขึ้นไปแล้ว มโนธรรมจะได้รับพรพิเศษ
คุณธรรม (virtue) คุณธรรม คือ ความประพฤติดีจนเคยชินเป็นนิสัย ตรงข้ามกับกิเลส (vice) อันได้แก่ ความประพฤติเลวจนเคยชินเป็นนิสัย อไควเนิสรับทฤษฎีเรื่องคุณธรรมหลัก 4 ประการของเอเริสทาเทิล กล่าวคือ คุณธรรมทั้งหลายแหล่ล้วนแต่มีคุณธรรมหลัก 4 ประการเป็นองค์ประกอบในอัตราส่วนต่างๆกัน คุณธรรมหลัก 4 ประการ ได้แก่ ความรอบคอบ (prudence) การรู้จักประมาณ (temperance) ความกล้าหาญ (courange) และความยุติธรรม (Justice) อไควเนิสถือว่า ทฤษฎีนี้ใช้ได้กับคุณธรรมในระดับตามธรรมชาติ เรียกว่าคุณธรรมหลักทางศีลธรรม (cardinal moral virtures) เพื่อแยกจากคุณธรรมเหนือธรรมชาติ3 ประการ ซึ่งเรียกว่าคุณธรรมทางเทววิทยา (theological virtues) คือ ความเชื่อ หรือศรัทธา หรือความวางใจ (faith) ความหวัง (hope) และความรักหรือเสียสละ (love or charity)
กิเลส (vice) การทำบาปจนเคยชินเป็นนิสัยจะกลายเป็นกิเลสประจำตัวถอนออกยาก กิเลสมีชื่อเรียกได้มากมายเช่นเดียวกับคุณธรรม อไควเนิสวิเคราะห์กิเลสแบบเดียวกับที่เอเริสทาเทิลวิเคราะห์คุณธรรมพบว่า กิเลสทั้งหลายมีกิเลสหลัก 7 ประการเป็นองค์ประกอบในอัตราส่วนต่างๆ กันคือ ความหลงใหลตัวเอง (pride) ความตระหนี่ (avarice) ความริษยา (envy) ความโกรธ (anger) ความโลภ (gluttony) ความใคร่ (lust) และความเกียจคร้าน (sloth)
พระหรรษทาน (grace) พระหรรษทานอาจจะหมายถึงความพอพระทัยที่พระเป็นเจ้าทรงมีตอบสนองความดีของมนุษย์แต่ละคน เรียกว่าพระหรรษทานศักดิ์สิทธิกร (sanctifying grace) หรืออาจจะหมายถึงความช่วยเหลือที่พระเป็นเจ้าประทานแก่มนุษย์แต่ละคนแต่ละครั้งตามที่พระองค์ทรงเห็นควร เรียกว่าพระหรรษทานปัจจุบัน (actual grace) ที่เรียกว่าหรรษทานก็เพราะพระเป็นเจ้าประทานให้ด้วยพระทัยเมตตา เหมือนกับเป็นการให้เปล่า (gratis) โดยที่มนุษย์ไม่มีสิทธิ์เรียกร้องแต่ประการใดเลย
ขั้นตอนแห่งการปฏิบัติตน การบำเพ็ญภาวนาของชาวคริสต์แบ่งออกเป็น 3 ระยะ
ระยะแรกเรียกว่า บริสุทธิมรรค (purgative) เป็นระยะตัดกิเลส และฝึกคุณธรรมโดยยึดคุณธรรมหลัก 7 ประการเป็นพื้นฐาน พระเป็นเจ้าทรงช่วยเหลือพระหรรษทานปัจจุบันในขณะทำความดีหนีชั่วแต่ละครั้ง
ระยะกลางเรียกว่ารังสิมรรค (illuminativeway) เป็นระยะเสริมคุณธรรมให้มั่นคง กิเลสเบาบาง พระเป็นเจ้านอกจากจะทรงช่วยด้วยพระหรรษทานปัจจุบันเหมือนระยะแรกแล้วยังทรงช่วยเพิ่มเติมด้วยคุณธรรมเสริมและพระพรของพระจิต ผู้ปฏิบัติจะเริ่มรู้จักปัสนาการ
ระยะหลังเรียกว่าสหชีวมรรค (unitive way) ระยะนี้จะปัสนาได้อย่างคล่องแคล่ว กิเลสหมดสิ้น เข้าใจคำสอนลึกซึ้งของศาสนาด้วยอัชฌัตติกญาณขั้นอุตระ บางคนอาจจะได้ฌานเป็นนักฌาน (mystic) ก็ได้ แต่อไควเนิสถือว่าไม่จำเป็นสำหรับสุดยอดของชีวิตทางศาสนา
No comments on Aquinas and good life
