Aquinas on knowledge of God อไควเนิสกับความรู้เรื่องพระเป็นเจ้า
ผู้แต่ง : กันต์สินี สมิตพันธ์
ผู้ปรับแก้ : กีรติ บุญเจือ
ปัญหา อไควเนิสยังไม่รู้จักใช้คำว่า”ภาษาคนกับภาษาธรรม” แต่ก็ได้ให้ข้อสังเกตไว้ในทำนองคล้ายคลึงกันว่า
1) ความรู้ของมนุษย์ได้จากประสบการณ์ทางผัสสะ แต่พระเป็นเจ้าทรงอยู่นอกขอบข่ายของการรับรู้ทางผัสสะ มนุษย์จึงไม่อาจรู้เรื่องของพระองค์ได้โดยตรง
2) ศัพท์ของมนุษย์ตั้งขึ้นตามประสบการณ์ทางผัสสะ และสำหรับความรู้ที่สืบเนื่องจากประสบการณ์ทางผัสสะ มนุษย์ไม่มีศัพท์สำหรับใช้กับเรื่องราวของพระเป็นเจ้าโดยตรง หากแต่พยายามใช้ศัพท์ที่มีอยู่แล้วในเชิงเปรียบเทียบ
วิธีรู้ แม้จะมีความยุ่งยากดังกล่าวข้างต้น มนุษย์ก็ยังพอจะมีวิธีรู้พระเป็นเจ้าได้โดยอาศัยประสบการณ์ของตนเป็น 3 วิถี ซึ่งจะต้องใช้ร่วมกันเพื่อรู้พระเป็นเจ้าได้เพียงเลือนราง คือ
1) วิธีปฏิเสธ (negative way) ในประสบการณ์ของมนุษย์หากพบว่าอะไรไม่ดี เป็นความบกพร่อง ก็ถือได้ว่าในพระเป็นเจ้าย่อมไม่มีสิ่งดังกล่าว โดยวิถีนี้มนุษย์อาจรู้ได้ว่า พระเป็นเจ้าไม่มีรูปร่าง(เพราะรูปร่างทำให้ไม่คล่องตัว) ไม่มีองค์ประกอบหลวมหรือแยกออกจากกัน ไม่มีขอบเขต ไม่เปลี่ยนแปลง (เพราะการเปลี่ยนแปลงได้ หมายความว่าอาจจะดีขึ้นหรือเลวลงก็ได้) ไม่มีการเริ่มต้นการดับสูญ ฯลฯ
2) วิถีเทิดทูนให้เด่นที่สุด(supereminent way) ในประสบการณ์ของมนุษย์หากพบว่าอะไรดี เป็นความสมบูรณ์ควรยกยกย่อง มนุษย์ก็ยกย่องเทิดทูนว่าในพระเป็นเจ้าย่อมมีอย่างเต็มเปี่ยมอย่างไม่มีทางจะลดหย่อนลงได้เลยแม้แต่น้อย เช่นพบว่าความฉลาดเป็นลักษณะดีในคน เราชมเชยบุคคลคนหนึ่งว่าเป็นคนฉลาด หมายความว่าเขามีความฉลาดในตัวของเขา ในเมือความฉลาดเป็นคุณสมบัติซึ่งเขาอาจจะหามาใส่ไว้ในตัวเขาได้ ความฉลาดในตัวเขาอาจจะเพิ่มขึ้นหรือลดน้อยลงได้ แสดงว่าความฉลาดเท่าที่เขามีอยู่จึงเป็นเพียงความฉลาดในขีดขั้นหนึ่งเท่านั้น หาได้มีความฉลาดชนิดเพิ่มไม่ได้ลดไม่ได้แล้วไม่ เพื่อหลีกเลี่ยงความบกพร่องดังกล่าวสำหรับพระเป็นเจ้า มนุษย์จึงต้องเลือกใช้สำนวนที่ไม่ยอมให้มีการเพิ่มหรือลดได้เลย โดยกล่าวว่า พระเป็นเจ้าทรงเป็นองค์ปรีชาญาณ (God is Wisdom) องค์ความดี (Goodness) องค์ความงาม (Beauty) องค์ความยุติธรรม (Justice) องค์ความเมตตา (Mercy) พระญาณสอดส่อง (Providence) ฯลฯ บางคนก็ใช้สำนวนว่าองค์ปรีชาญาณนั่นเอง (The Wisdom Itself) องค์ปรีชาญาณที่เป็นอยู่เอง(The Wisdom Subsistent) เป็นต้น
3) วิถีอุปมาน (analogical way) วิถีนี้เพียงแต่อธิบายเสริม 2 วิถีแรก คือชี้แจงให้ตระหนักว่า การกล่าวถึงพระเป็นเจ้าในแง่ปฎิเสธก็ดี ในแง่เทิดทูนก็ดี ต้องไม่ลืมว่ามนุษย์ขอยืมคำศัพท์ที่ใช้กับประสบการณ์ทางผัสสะของตนมาใช้กับพระเป็นเจ้า จึงต้องระวังมิให้เข้าใจตามพยัญชนะเป็นอันขาด แต่ต้องเข้าใจว่าเป็นความหมายเชิงเปรียบเทียบเท่านั้น ดังนั้น เมื่อมนุษย์กล่าวด้วยภาษาของตนว่า พระเป็นเจ้าทรงเป็นองค์ปรีชาญาณนั้น มิได้หมายความเหมือนที่เราเข้าใจในหมู่มนุษย์ด้วยกันว่า พระองค์ทรงมีปรีชาญาณ ทั้งมิได้หมายความเพียงแต่ว่า พระองค์ทรงเป็นบ่อเกิดของปรีชาญาณ และมิใช่เพียงแต่ปฏิเสธอวิชชาในพระองค์เท่านั้น แต่ทว่าเราให้ปรีชาญาณมีความหมายที่เด่นที่สุดเท่าทีจะเทิดทูนได้
อนุมาน (analogical) หมายความว่าอย่างไร หมายถึงความหมายกึ่งกลางระหว่างความหมายเดี่ยว (univocal) กับความหมายหลาก (equivocal) ถ้าคำศัพท์ที่เราใช้มีความหมายเดี่ยวก็จะต้องเป็นความหมายระดับประสบการณ์ทางผัสสะ เราจะไม่มีวันรู้เรื่องพระเป็นเจ้าได้เลย และถ้าคำศัพท์ที่ใช้ในประสบการณ์กับที่ใช้กับพระเป็นเจ้ามีความหมายต่างกันโดยสิ้นเชิง เราก็จะรู้แต่เรื่องประสบการณ์และเอาความรู้จากประสบการณ์ไปเข้าใจพระเป็นเจ้าไม่ได้เช่นกัน แต่เนื่องจากคำศัพท์ของเรามีความหมายเชิงเปรียบเทียบได้ ความรู้จากประสบการณ์จึงชี้ช่องทางให้เราเข้าใจพระเป็นเจ้าได้บ้างแม้จะเลือนรางก็ตาม เหตุผลที่สนับสนุนให้เชื่อว่าความหมายระดับประสบการณ์กับความหมายระดับพระเป็นเจ้ามีนัยเปรียบเทียบกันได้ ก็เพราะว่าเอกภพเป็นผลงานของพระเป็นเจ้าและเป็นการแสดงออกแห่งโรจนาการของพระองค์ จึงมีความสัมพันธ์พอจะเปรียบเทียบถึงกันได้ ดังนั้น คำศัพท์ที่ใช้สำหรับการศึกษาเรื่องพระเป็นเจ้าจึงมีความหมายส่วนหนึ่งเหมือนกับความรู้เรื่องเอกภพ แต่ไม่เหมือนทั้งหมด
อไควเนิสแยกการอนุมานเปรียบเทียบเป็น 2 แบบ คือ เปรียบเทียบอย่างธรรมดา (ลต. Convenientia proportions บัดนี้เรียกว่า analogy of attribution) เช่น ปรีชาญาณในพระเป็นเจ้าเป็นปรีชาญาณในตัวเอง ส่วนปรีชาญาณในมนุษย์เป็นปรีชาญาณโดยการมีส่วนในปรีชาญาณของพระเป็นเจ้า การเปรียบเทียบอีกแบบหนึ่งเป็นการเปรียบเทียบซ้อน (ลต. Convenientiaproportionalitatisบัดนี้ เรียกว่า analogy of proportion) หรือการเปรียบเชิงอัตราส่วน เช่น พระเป็นเจ้าทรงรักมนุษย์เหมือนพ่อรักลูก
จึงเป็นอันว่าสำหรับอไควเนิสในระดับปรัชญามนุษย์ไม่อาจจะรู้ธรรมชาติของพระเป็นเจ้าได้อย่างชัดเจน แต่หากอาศัยวิวรณ์ร่วมกับปรัชญามนุษย์จะรู้ได้ชัดเจนและแน่นอน ทำให้สามรถวางแนวชีวิตได้อย่างมั่นใจ
4) อาศัยวิวรณ์ช่วย คัมภีร์ไบเบิลกล่าวถึงการที่โมเสสถามพระนามของพระเป็นเจ้า พระองค์ตรัสว่า “ยาห์เวห์คือนามของเรา” (อพยพ 3.14 Yahweh is my Name) สังคายนานายซีน ( Nicene Council ค.ศ.325) ประกาศว่า พระวจนะคือพระบุตร มีสารเดียวกับพระบิดา สังคายนาแห่งคานสแทนเทอนาเพิล ( Council of Constantinople ค.ศ. 381) ประกาศว่า พระเยซูคือพระบุตรรับเอากายเป็นมนุษย์ สังคายนาแห่งเมืองแคลเสอดัน ( Council of Chalcedon ค.ศ.451) ประกาศว่า ในพระเยซูทรงมี 2 พระธรรมชาติ คือ พระธรรมชาติพระเป็นเจ้าและพระธรรมชาติมนุษย์ สังคายนาคานสแทนเทอนาเพิลที่ 2 (Council of Constantinople ค.ศ.553) ประกาศว่า พระเป้นเจ้าทรงมีพระธรรมชาติเดียและสารเดียวแต่ทรงมี 3 พระบุคคล คือ พระบิดา พระบุตร และพระจิต พระบุตรเสด็จมารับธรรมชาติมนุษย์บังเกิดเป็นพระเยซูคริสต์ ฯลฯ
โดยปรัชญาของเอเริสทาเทิลพิจารณาร่วมกับประกาศิตดังกล่าวข้างต้น อไควเนิสก็เสนอความเห็นว่า พระธรรมชาติของพระเป็นเจ้าน่าจะได้แก่กรรตุภาวะบริสุทธิ์ ( ลต.Actus Purus Pure Actuality) นั่นคือ ในพระองค์ไม่มีสมรรถภาพที่จะเป็นอะไรอื่นต่อไปได้แล้ว เพราะพระองค์ทรงอยู่ในสภาพสมบูรณ์เต็มเปี่ยมแล้วในกรรตุภาวะเดียว แยกออกเป็นองค์ประกอบย่อยอะไรไม่ได้ทั้งสิ้น กรรตุภาวะของพระองค์จึงเป็นทั้งสารัตถะและอัตถิภาวะ พระองค์จึงตรัสได้ว่า พระนามของพระองค์คือยาห์เวห์แปลว่าผู้ทรงเป็นอยู่ (Who is) คุณลักษณะต่างๆตามที่มนุษย์เข้าใจด้วยศัพท์แสงของมนุษย์นั้นก็ล้วนแต่เป็นแง่ต่างๆของกรรตุภาวะบริสุทธิ์นั้นทั้งสิ้น ที่แยกเป็นส่วนๆ นั้นแยกตามความสามารถเข้าใจของปัญญาของมนุษย์เท่านั้น
เกี่ยวกับเรื่องพระตรีเอกภาพ อไควเนิสพยายามใช้ปรัชญาช่วยอธิบายว่าพระเป็นเจ้าทรงมีพระธรรมชาติเดียว หมายความว่า ทรงมีสารัตถะเดียว อันได้แก่สารที่เป็นกรรตุภาวะบริสุทธิ์ซึ่งมีอยู่เองในนิรันดรภาพ ส่วนเรื่อง 3 พระบุคคลในพระเป็นเจ้านั้น อไควเนิสแก้ข้อยุ่งยากในอดีตโดยแยกความหมายของบุคคลออกเป็น 2 นัย หากเข้าใจบุคคลในที่นี้ในความหมายเดียวกันกับสาร (กร. Ousiaลต.Substantia Substance) หรืออัตถิภาวะ (กร.Hypostasis ลต.subsistentia subsistence) ย่อมไม่ตรงกับความหมายที่สังคายนาต้องการ เพราะคำเหล่านี้ล้วนแต่หมายถึงพระธรรมชาติของพระเป็นเจ้าทั้งสิ้น พระบุคคลในพระเป็นเจ้าต้องเข้าใจว่าไม่ใช่พระธรรมชาติหรืออะไรที่เป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติ แต่ทว่าเป็นสิ่งปรากฏอยู่ในพระธรรมชาติโดยจำเป็น อไควเนิสคิดว่าเป็นไปได้อย่างเดียวคือความสัมพันธ์ ดังนั้น พระบุคคลคือ ความสัมพันธ์ในพระธรรมชาติ ไม่ใช่สัมพันธ์กับสิ่งใดภายนอก แต่เป็นความสัมพันธ์ที่ปรากฏในพระธรรมชาตินั้นเอง เป็นความสัมพันธ์ที่เป็นจริงในพระเป็นเจ้า แต่ก็มิได้ทำให้พระธรรมชาติมีส่วนประกอบขึ้นมา เพราะความสัมพันธ์แต่ละความสัมพันธ์ก็เป็นความสัมพันธ์ของพระธรรมชาติเดียวกันทั้งหมดนั่นเอง พระบิดา พระบุตร และพระจิตเป็นความสัมพันธ์ 3 แบบของพระธรรมชาติและในพระธรรมชาติโดยต่างก็สัมพันธ์กันและกันด้วย เนื่องจากความสัมพันธ์มิได้ทำให้มีสารัตถะใหม่ขึ้นมา อย่างน้อยก็ในระบบปรัชญาของเอเริสทาเทิลและอไควเนิส ดังนั้น การที่มี 3 พระบุคคลจึงมิได้ทำให้พระธรรมชาติเสียเอกภาพไปแต่ประการใด อย่างไรก็ตาม อไควเนิสถือว่าเรื่องพระตรีเอกภาพเป็นรหัสลึกลับที่ลึกซึ้งที่สุดของคริสต์ศาสนา ปรัชญาอาจจะช่วยตีความได้บ้าง แต่ก็คงไม่มีทางจะตีความอธิบายได้อย่างแจ่มแจ้งและชัดเจน เนื่องจากความบกพร่องทางภาษาและระบบปรัชญาดังได้กล่าวมาแล้ว
