Aquinas on metaphysics อไควเนิสกับอภิปรัชญา
ผู้แต่ง : กันต์สินี สมิตพันธ์
ผู้ปรับแก้ : กีรติ บุญเจือ
อไควเนิสกล่าวถึงเรื่องนี้โดยเฉพาะในหนังสือว่าด้วยโครงสร้างของธรรมชาติ (ลต. De PrincipiisNature On the Principles of Nature) และในอรรถกถาธรรมชาติวิทยาของเอเริสทาเทิล (ลต. Comentarium in PhysicamAristotelis Commentary in Aristotle’s Physics) นอกจากนั้นมีกล่าวไว้กระจัดกระจายทั่วไปให้สังเกตว่า ความรู้เรื่องวิทยาศาสตร์ในสมัยของอไควเนิสยังมิได้ก้าวหน้าไปกว่าสมัยของเอเริสทาเทิลเลย ดังนั้น พื้นฐานสำหรับขบคิดเรื่องปรัชญาธรรมชาติจึงถือได้ว่าเหมือนเดิม อไควเนิสจึงเพียงแต่เก็บความคิดของเอเริสทาเทิลมาพูดใหม่ได้กระชับขึ้นและชัดเจนขึ้นพร้อมตัวอย่างมากขึ้นเท่านั้นเอง
โครงสร้างพื้นฐานของเอกภพ ประสบการณ์บอกแก่เราว่าในเอกภพมีสิ่งต่างๆมากมายคล้ายกันพอจะแยกเป็นกลุ่มๆได้ เช่น กลุ่มคน กลุ่มวัว กลุ่มวัว กลุ่มหญ้าแพรก เป็นต้น กลุ่มประกอบด้วยหน่วยแสดงความเป็นอิสระ โดยอาจจะเปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่างในตัวเองให้ผิดเพี้ยนไปจากเดิม แต่ยังคงงอยู่ในกลุ่มเดิมก็ได้ หรืออาจเปลี่ยนแปลงจนต้องทิ้งกลุ่มเดิมไปเข้ากลุ่มใหม่ก็ได้ เช่น หญ้าแพรกอาจเปลี่ยนสภาพจากสีเหลืองเป็นสีเขียวขจี หรืออาจจะถูกวัวกินเปลี่ยนสภาพเป็นเนื้อวัวไปเลยก็ได้ วัวอาจจะเปลี่ยนสภาพจากผอมมาเป็นอ้วนพีเพราะได้กินหญ้าแพรกสด หรืออาจจะถูกคนกินเปลี่ยนสภาพเป็นเนื้อคนไปเลยก็ได้
อไควเนิสจึงแยกการเปลี่ยนแปลงออกเป็น 2 ระดับ คือการเปลี่ยนแปลงระดับจรสมบัติ (accidental change) ซึ่งรับจรสมบัติใหม่มาแทนจรสมบัติเก่าโดยที่สาระยังคมเดิม และการเปลี่ยนแปลงระดับแบบ(formal or substantial change) ซึ่งรับแบบใหม่มาแทนแบบเก่าโดยที่ปฐมสสารยังคงเดิม หากปฐมสสารเปลี่ยนไปด้วย อไควเนิสไม่เรียกว่าเป็นการเปลี่ยนแปลง แต่เรียกว่าเป็นการถูกทำลาย เพราะการเปลี่ยนแปลงหมายความว่าต้องมีอะไรเหลืออยู่คงเดิมส่วนหนึ่งและเปลี่ยนในอีกส่วนหนึ่ง
ดังนั้น เมื่อไม่มีการทำลายอะไรสูญไปจากเอกภพ เอกภพจะต้องมีปฐมสสาร (prime matter) เป็นส่วนคงตัวในการเปลี่ยนแปลงทั้งหลาย คัมภีร์ไบเบิลกล่าวถึงเรื่องนี้ด้วยภาษาภาพพจน์ว่า “เมื่อแรกเริ่มเดิมทีพระเป็นเจ้าได้ทรงสร้างฟ้าและดิน ส่วนที่เป็นดินยังคงเป็นกลีภพ (chaos) เวิ้งว้าง มีแต่ความมืดเต็มห้วงมหรรณพ” (ปฐมกาล 1.1) อไควเนิสชี้แจงต่อไปว่า ปฐมสสารมีสภาพเป็นสมรรถนะภาวะบริสุทธิ์ (pure potentiality) ตรงข้ามกับพระเป็นเจ้าผู้ทรงเป็นกรรตุภาวะบริสุทธิ์ เมื่อปฐมสสารรับแบบสาร (substantial form) ใด ก็เกิดหน่วยของสิ่งนั้นขึ้นมา เช่น รับสารแบบคนก็เป็นคนคนหนึ่ง รับสารแบบวัวก็เป็นวัวตัวหนึ่ง รับสารแบหญ้าแพรกและรับสารแบบสารเนื้อวัวเข้าแทนก็ได้ เนื้อวัวอาจจะละทิ้งแบบสารเนื้อวัวและรับสารเนื้อคนเข้าแทนที่ก็ได้ ในทั้ง 2 กรณี เรียกว่ามีการเปลี่ยนแปลงระดับแบบ ส่วนในกรณีที่หญ้าแพรกหรือวัวเติบโตขึ้น แก่ลง เปลี่ยนสีไป เปลี่ยนน้ำหนักไป เรียกว่ามีการเปลี่ยนแปลงระดับจรสมบัติ ดังนี้ เป็นต้น จึงสรุปได้เหมือนเอเริสทาเทิลว่า
ปฐมสสาร + แบบสาร = สารทุติยภูมิ
สารทุติยภูมิ + จรสมบัติ (โดยเฉพาะอย่างยิ่งปริมาณ) = สารปฐมภูมิหรือปัจเจก
สารปฐมภูมิ + อิตถิภาวะ = ภวันต์ปฐมภูมิ
สารทุติยภูมิ + ภู = ภวันต์ทุติยภูมิ
สารัตถะ (essence) อาจจะหมายถึงสารปฐมภูมิเมื่อกล่าวคู่กับจรสมบัติ หรือหมายถึงสารทุติยภูมิเมื่อกล่าวคู่กับภู (beingness) องค์ประกอบทุกขั้นตอนอาจจะมีภู (ลต.essebeingness) ได้ ภาวะขั้นสุดท้ายมีชื่อพิเศษว่าอัตถิภาวะ (existence) และภูหลังย่อมอำภูก่อนได้ทั้งหมด จึงไม่มีภูซ้อนภู ภู (beingness) หรือ ภวันต์ (entity) อาจใช้คำกลางเรียกได้ว่าภวะหรือภาวะ (being) ซึ่งมีความหมายกำกวมระหว่าง 2 อย่าง
จากทฤษฎีสสารและแบบดังกล่าวย่อมสรุปได้ว่า ในปัจเจกแต่ละหน่วยจะมีแบบสสารเพียงแบบเดียว มิใช่มีหลายแบบ มิใช่มีหลายแบบซ้อนอยู่หรือซ่อนอยู่ อไควเนิสจึงไม่เห็นด้วยกับออเกิสทินในเรื่องทฤษฎีพันธุเหตุ ซึ่งถือว่ามีแบบต่างๆ ซ่อนอยู่ในปฐมสสารแล้ว และแบบเหล่านี้จะสับเปลี่ยนกันแสดงออกเมื่อมีสภาพเหมาะสม ส่วนอไควเนิสสอนว่า ในปฐมสสารไม่มีแบบใดอยู่เลย หากแต่อยู่ในสมรรถนภาวะที่จะรับแบบใดก็ได้ เมื่อรับแบบใดแบบหนึ่งแล้วก็ไม่มีแบบอื่นแฝงหรือซ่อนอยู่ หากแต่อยู่ในสมรรถนภาวะที่จะรับแบบอื่นได้โดยทิ้งแบบสารเดิมรับแบบสารใหม่
สาเหตุแห่งการเปลี่ยนแปลง อไควเนิสไม่เห็นด้วยกับเอเริสทาเทิล ว่าในเอกภพมีส่วนที่เป็นโลกนิจจัง (incorruptible world) แต่ถือว่าเอกภพทั้งหมดเป็นโลกอนิจจัง (corruptible world) เพราะล้วนแต่มีองค์ประกอบมาประชุมกันทั้งสิ้น เช่น ประกอบด้วยสารัตถะ จรสมบัติ ภู และอัตถิภาวะ เป็นต้น ดังนั้น ทุกสิ่งในเอกภพจึงมีความโน้มเอียงอยู่ในตัวที่จะสูญหายไป การคงอยู่จึงต้องมีสาเหตุที่เป็นนิจจังบำรุงรักษาไว้ ยิ่งกว่านั้น การเปลี่ยนแปลงไม่ว่าระดับใดก็ต้องมีสาเหตุมาทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงและสาเหตุนั้นจะต้องมีจริงในกรรตุภาวะ เพราะว่าสิ่งที่ไม่มีจริงหรือมีในสมรรถภาวะย่อมทำกิจกรรมไม่ได้ จึงไม่อาจจจะเป็นสาเหตุได้ สมมุติฐานนี้เป็นมูลบทสำหรับการพิสูจน์ความมีอยู่ของพระเป็นเจ้าตามนัยจักรวาลวิทยา ดังได้กล่าวมาแล้ว ส่วนปฐมสสารนั้น แม้จะไม่มีองค์ประกอบก็ไม่เที่ยงอยู่นั่นเอง เพราะมีความโน้มเอียงที่จะสูญหายกลายเป็นความเปล่าไป เพราะเป็นสิ่งบังเอิญไม่ใช่สิ่งจำเป็น


Leave a comment