Aquinas’ philosophy of the soul อไควเนิสกับปรัชญาวิญญาณ
ผู้แต่ง : กันต์สินี สมิตพันธ์
ผู้ปรับแก้ : กีรติ บุญเจือ
ธรรมชาติของวิญญาณ วิญญาณคือแบบของสิ่งมีชีวิต อรรถกถาหนังสือว่าด้วยวิญญาณ (Commentary on the Soul) จึงเป็นอรรถกถาปัญหาเรื่องชีวิตนั่นเอง ในเมื่อชีวิตมีหลายระดับ วิญญาณก็มีได้หลายระดับด้วย คือ 1) ชีววิญญาณ (vegetative soul) เป็นแบบของพืช 2) ผัสวิญญาณ (sensititive soul) เป็นแบบของสัตว์ ทำหน้าที่ชีววิญญาณให้สัตว์ด้วย 3) ปัญญาวิญาณ (intellective soul) เป็นแบบของมนุษย์ทำหน้าที่ชีววิญญาณและผัสวิญญาณให้มนุษย์ด้วย มีแต่ปัญหาวิญญาณเท่านั้นที่เป็นอมตะ ยังคงมีชีวิตอยู่ต่อไปหลังความตายของร่างกาย ส่วนชีววิญญาณและผัสวิญญาณนั้นสูญหายไปพร้อมกับความตายของร่างกาย จึงเป็นอันว่า สำหรับอไควเนิส ชีวิตทุกชีวิตมีวิญญาณ แต่ทว่ามนุษย์เท่านั้นที่มีวิญญาณอมตะ และเมื่อวิญญาณมนุษย์อยู่แยกจากร่างกายก็จะหยุดทำหน้าที่ของชีววิญญาณและผัสวิญญาณทันที คงทำหน้าที่ของปัญญาวิญญาณเพียงอย่างเดียว ในประเด็นต่างๆที่กล่าวมาข้างต้นนี้ อไควเนิสเห็นด้วยกับเอเริสทาเทิล แต่ไม่เห็นด้วยกับเอเริสทาเทิลเอเวอร์โรอิสในประเด็นที่ว่า ปัญญาวิญญาณเมื่อออกจากร่างกายซึ่งกำหนดลงเป็นปัจเจกแล้ว จะรวมกันทั้งหมดเป็นวิญญาณดวงเดียว อไควเนิสคิดว่า วิญญาณแต่ละดวงที่ออกจากร่างกายแล้วยังรักษาความเหมาะสมสำหรับอยู่ในร่างกายต่อไป และเรียกร้องหาร่างกายที่เหมาะสมของตนเสมอ เพื่อจะได้ใช้สมรรถภาพได้ครบถ้วน เหตุผลนี้สนับสนุนคำสอนของศาสนาเรื่องการคืนชีพของร่างงกายในวันสิ้นโลกได้อย่างดี อไควเนิสจึงไม่เห็นด้วยกับเพลโทว์ว่า วิญญาณถูกลงโทษให้อยู่ในร่างกายและอาศัยอยู่ในร่างกายเหมือนถูกคุมขัง ตรงกันข้ามอไควเนิสคิดว่า วิญญาณจะมีสภาพปกติสมบูรณ์ก็โดยอยู่ในร่างกายและอาศัยการทำงานของอวัยวะเพื่อทำการได้อย่างถนัด
อไควเนิสคิดว่า วิญญาณเป็นอัตตาเหมือนความคิดของเพลโทว์และเอเริสทาเทิล วิญญาณเป็นอัตาที่มีสมรรถภาพทำการได้หลายอย่าง เช่น มีผัสสะต่างๆมีความรู้สึก มีเพทนาการ คิดตามเหตุผล หยั่งรู้ด้วยอัชฒัตติกญาณ มีความสำนึกมีความปรารถนา มีเจตจำนง มีอุดมคติ เป็นต้น วิญญาณเป็นตัวประธาน (subject) ของสมรรถภาพเหล่านี้ วิญญาณจึงมิใช่ความสำนึกและมิใช่สมรรถภาพใดสมรรถภาพหนึ่งหรือทุกสมรรถภาพรวมกัน แต่เป็นอัตตาที่มีสมรรถภาพเหล่านี้ ความคิดของอไคเนิสในเรื่องนี้จึงดูเหมือนว่าไม่ตรงกับคำสอนของพระพุทธเจ้าที่ว่าวิญญาณเป็นความสำนึกที่เกิดดับอยู่ตลอดเวลา แต่ทั้งนี้ผู้เขียนคิดว่าเป้นความแตกต่างในด้านระดับของความหมายในการใช้ภาษาเป็นสำคัญ
สมรรถภาพของวิญญาณ จำแนกออกได้ดังนี้
1) ชีววิญญาณ มีการกินอาหาร การเติบโต และการสืบพันธุ์
2) ผัสวิญญาณ มีการรู้โดยประสาทสัมผัส 5 อย่าง คือ เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น รู้รส และรู้สึกทางผิวกาย เหล่านี้เป็นสมรรถภาพภายนอก ส่วนสมรรถภาพภายใน ได้แก่ สัญชาน (ลต.Sensuscommunis perception) จินตนาการ (ลต. Phantasma imagination) การประเมินค่า (ลต. Vis aestimativa evaluative faculty) ความจำ( ลต, vismemorative memory) สมรรถภาพอยาก (ลต.Appetites desire) พลังเคลื่อน ( ลต. Vis locomotive moving power)
3) ปัญญาวิญญาณ มีปัญญาซึ่งแบ่งออกเป็นกัมมันตปัญญากับอกัมมันตปัญญา กัมมันตปัญญามีหน้าที่สร้างมโนภาพ ส่วนอกัมมันตปัญญามีหน้าที่เก็บรักษามโนภาพที่ได้มา อกัมมันตปัญญาจึงทำหน้าที่เป็นสมรรถภาพจำระดับปัญญาหรืออาจจะแบ่งออกเป็นปัญญาทฤษฎี (speculative intellect) กับปัญญาปฏิบัติ (practical intellect)หรืออาจจะแบ่งออกเป็นปัญญาสูงสุด (ลต.ratio superior higher reason) ซึ่งรู้ได้โดยใช้อัชฌัตติกญาณ กับปัญญาต่ำ (ลต.ratio inferior lower reason) ซึ่งรู้โดยใช้เหตุผลเชิงตรรก ทั้งหมดเหล่านี้รวมอยู่ในสมรรถภาพเดียวคือปัญญา นอกจากนั้น ยังมีเจตจำนงอันเป็นความปรารถนาอันเกิดจากความเข้าใจเป้าหมายและสิ่งแวดล้อมแล้ว บางครั้งอไควเนิสก็เรียกเจตจำนงว่าเป็นสมรรถภาพความอยากของปัญญา (intellective appetite) ผิดกับสมรรถภาพอยากของผัสวิญญาณตรงที่เจตจำนงมีเสรีภาพในการเลือกว่าจะทำตามที่ปัญญารู้หรือไม่ก็ได้ เรียกว่ามีอำเภอใจ (ลต. Liberumarbitrium free choice) ส่วนความอยากของผัสวิญญาณนั้น ในปัจจุบันเราเรียกว่าสัญชาตญาณ อไควเนิสคิดว่าสัญชาตญาณไม่มีอำเภอใจ เมื่อมีอะไรสบอารมณ์สัญชาตญาณจะต้องอยากโดยจำเป็น ปัญญาอาจจะควบคุมสัญชาตญาณได้ถ้าเจตจำนงอยากจะควบคุมมีเรื่องเดียวที่เจตจำนงไม่มีเสรีภาพ คือไม่มีเสรีภาพเลือกความทุกข์เป็นเป้าหมายสุดท้าย เพราะอไควเนิสถือว่าเป็นธรรมชาติของเจตจำนงที่จะต้องเลือกมุ่งสู่ความสุขในที่สุด
No comments on Aquinas’ philosophy of the soul
