Aristotle on ethic จริยธรรมของแอร์เริสทาทเถิล
ผู้แต่ง : เมธา หริมเทพาธิป
ผู้ปรับแก้ : กีรติ บุญเจือ
แอร์เริสทาทเทิล ( ก.ค.ศ. 389-322 ) รับทฤษฎีคุณธรรมแม่บท 4 ของเพลโทว์ แต่เปลี่ยนชื่อข้อแรกเป็นความรอบคอบ ( Prudence ) ซึ่งก็คือปรีชาญาณที่สามารถประยุกต์ลงสู่การปฏิบัตินั่นเอง อธิบายเพิ่มความว่า คุณธรรมได้แก่การเดินสายกลางระหว่างกิเลสที่ตรงข้ามกัน เปรียบได้กับมัชฌิมาปฏิปทาในพระไตรปิฎก เช่น ความกล้าหาญเป็นทางสายกลางระหว่างความขี้ขลาดกับความบ้าบิ่น การรู้จักประมาณเป็นทางสายกลางระหว่างความตระหนี่กับความฟุ่มเฟือย ความยุติธรรมได้แก่การให้ทุกคนตามอัตราส่วนที่เหมาะสมให้สังเกตอยู่อย่างหนึ่งว่าทางสายกลางมิได้หมายความว่าบวกกันหารสองหรือตัวกลางทางเลขคณิต แต่หมายถือการเก็บแง่ดีจาก 2 ข้างที่เลยเถิด เพื่อดำเนินชีวิตให้สูงขึ้น ๆ เรื่อยไป ดังนั้น ทางสายกลางจึงอยู่กลางระหว่างกิเลสที่ตางข้ามกันแต่อยู่คนละระดับกับกิเลสเหล่านั้น
1. ความรอบคอบ ( Prudence ) หรือความรู้รอบ มิได้หมายถึงการมีความรู้มาก “ความรู้ท่วมหัวเอาตัวไม่รอด” มีถมไป ความรอบคอบจึงหมายถึงความเล็งเห็นหรือหยั่งรู้ได้ง่ายและชัดเจนว่าอะไรควรประพฤติและอะไรไม่ควรประพฤติ การแสวงหาความรู้มีส่วนช่วยให้เกิดความรอบคอบ แต่ทว่าความรอบคอบอันลึกซึ้งส่วนมากเกิดจากการคิดคำนึงและประสบการณ์
2. ความกล้าหาญ ( Fortitude, Courage ) กล้าหาญทางกายภาพ ได้แก่ กล้าเสี่ยงความยากลำบาก อันตรายและความตาย เพื่ออุดมการณ์ กล้าหาญทางจิตใจ ได้แก่ กล้าเสี่ยงการถูกเข้าใจผิด กล้าเผชิญการใส่ร้ายและการเยาะเย้ย เมื่อมั่นใจว่าตนกระทำความดี
3. การรู้จักประมาณ หรือความพอเพียง ( Temperance, Sufficiency ) สัตว์มีสัญชาตญาณกระตุ้นให้กระทำกิจการบางอย่างเพื่อการอยู่รอดของมันเองและของเผ่าพันธุ์ เมื่อหมดความจำเป็นสัญชาตญาณนั้นก็หยุดทำงานโดยอัตโนมัติ มนุษย์มีสัญชาตญาณเช่นกัน แต่มนุษย์ยังมีความสำนึก สามารถสำนึกและปลุกสัญชาตญาณได้ตามใจ มนุษย์จึงมักจะใช้สัญชาตญาณเลยเถิดตามความจำเป็นตามธรรมชาติ จนบางครั้งปลุกสัญชาตญาณเพื่อความพึงพอใจเท่านั้น การไม่รู้จักควบคุมพลังในตัวให้อยู่ในขอบเขตของจุดหมายในชีวิต มักจะเกิดปัญหายุ่งยากมากมายแก่ตัวเองและแก่สังคม เพราะเมื่อคนหนึ่งใช้พลังเลยขอบเขตอย่างไม่ถูกต้อง ก็มักจะก้าวก่ายสิทธิอันชอบธรรมของผู้อ่านอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เช่น อยากจะสร้างความมั่นคงให้แก่อนาคตของตนเองและของทายาท ก็จะหาวิธีสะสมสมบัติไว้มาก ๆ โดยวิธีไม่สุจริต เป็นต้น คุณธรรมการรู้จักประมาณช่วยให้รู้ว่าอะไรควรอยู่ในขอบเขตแค่ไหน การไม่ใช้สัญชาตญาณเลยจะทำให้เป็นคนไร้พลังและไร้ประโยชน์ การใช้สัญชาตญาณเกินขอบเขต ก็มักจะก่อความเดือดร้อน จึงต้องฝึกให้รู้จักอยู่ในขอบเขตอันควรในแต่ละสภาพและฐานะของบุคคล
4.ความยุติธรรม ( Justice ) ได้แก่ การให้แก่ทุกคนและแต่ละคนตามความเหมาะสม (giving each his due) ดังที่แอร์เริสทาทเทิลได้นิยามไว้ นั่นคือเราต้องรู้ว่าเรามีกำลังให้เท่าไร ควรให้แก่ใครและอย่างไร เช่น แก่ตัวเราเอง แก่บุคคลในครอบครัว แก่บุคคลในวงศ์ญาติ แก่เพื่อฝูงมิตรสหาย แก่บุคคลร่วมงานแก่ผู้บังคับบัญชาแก่ผู้ใต้บังคับบัญชา ฯลฯ ความยุติธรรมเป็นพื้นฐานของคุณธรรมทุกอย่างดังที่เพลโทว์ได้ให้ข้อสังเกตไว้อาจจะกล่าวได้ว่า คุณธรรมอื่น ๆ เป็นเพียงแง่ต่างๆ ของความยุติธรรมนั่นเอง ความยุติธรรมจึงเป็นแก่น หรือสารัตถะของคุณธรรมทุกชนิด ผู้ใดมีความยุติสูงย่อมเพียบพร้อมด้วยคุณธรรมทุกอย่าง คุณธรรมบางอย่างอาจจะไม่ปรากฏออกมาให้เห็น เพราะไม่มีโอกาสจะแสดงออก แต่ถ้ามีโอกาสเมื่อใดก็พร้อมที่จะแสดงออกได้ทันทีอย่างถูกต้องเพียบพร้อม ผู้มีความยุติธรรมสูงจึงเป็นผู้มีความเป็นระเบียบเรียบร้อยในตัว สังคมที่มีความยุติธรรมย่อมเป็นสังคมที่สงบสุขเพราะทุกคนมั่นใจได้ว่าตนเองจะได้รับสิทธิอันชอบธรรม หากมีผู้ใดละเมิดก็จะได้รับการลงโทษอันควรแก่โทษานุโทษ จึงมั่นใจได้ว่าไม่มีใครอยากจะละเมิดโดยง่าย
1. วิวัฒนาการของมาตรการความยุติธรรม
1.1 ความยุติธรรมคือการแก้แค้น ในสมัยแรก ๆ ของมนุษยชาติจะพบหลักฐานทั่วๆไปว่าความยุติธรรมหรือการแก้แค้น เช่น ถ้าญาติคนหนึ่งถูกรังแก ทุกคนในวงศ์ตระกูลจะต้องช่วยกันแก้แค้นมิฉะนั้นจะไม่ยุติธรรมแก่ผู้ที่ถูกรังแก วิธีแก้แค้นนั้นทำได้ตามใจทำให้ฝ่ายตรงข้ามเสียหายให้มากที่สุดเป็นใช้ได้ หรือถ้าคนในเผ่าถูกฆ่าตาย ทุกคนในเผ่าถือเป็นหน้าที่ต้องแก้แค้น เพื่อให้ความยุติธรรมแก่ผู้ตาย ความรู้สึกที่ว่าต้องรักษาความยุติธรรมในทำนองนี้ยังมีอยู่ในสมัยปัจจุบัน ผู้รักษากฎหมายบ้านเมืองหย่อนสมรรถภาพ ณ ที่ใด ประชาชนต้องจัดการกันเองตามความยุติธรรมแห่งการแก้แค้น ภาพยนตร์จีนที่ถือการแก้แค้นเป็นคุณธรรม ( แค้นนี้ต้องชำระ) เป็นเรื่องของวรรณกรรมจีนที่เกิดขึ้นในระยะเวลาดังกล่าว ผู้ชมพึงตระหนักถึงเรื่องนี้ และไม่ควรถือเอาเป็นตัวอย่างของคุณธรรมสำหรับคนในสมัยปัจจุบัน กฎหมายที่กำหนดให้ลงโทษเจ็ดชั่วโคตรก็จัดอยู่ในประเภทเดียวกันนี้
1.2 ความยุติธรรมคือการโต้ตอบ ณ ที่ใดอารยธรรมก้าวหน้าพอสมควร ผู้มีอำนาจจะออกกฎหมายควบคุมการแก้แค้น เพราะเห็นว่าการปล่อยให้แก้แค้นกันเองตามใจชอบโดยไม่มีมาตรการควบคุมนั้นมักจะกระทำกันเลยเถิด ฝ่ายที่ถูกแก้แค้นก็จะรู้สึกว่าฝ่ายตนได้รับความยุติธรรม เพราะฉะนั้นจะต้องคุมพรรคพวกมาแก้แค้นบ้าง การแก้แค้นกันไปแก้แค้นกันมา ความเสียหายจะหนักเข้าทุกทีจนล่มจมกันทั้งสองฝ่ายเพื่อยับยั้งการทำลายล้างกันเช่นนี้ ผู้มีอำนาจมักจะออกกฎหมายควบคุมโดยห้ามการแก้แค้นกันอย่างเสรีแต่อนุญาตให้โต้ตอบกันได้อย่างยุติธรรมเป็นทางการ เช่น ใครเป็นฆาตกรก็ควรให้ผู้นั้นถูกฆ่าตายตามกันไป ใครทำให้แขนเขาขาดก็ควรถูกตัดแขนขาดตามกันไป กฎหมายฉบับแรกของโลกซึ่งประกาศออกใช้โดยกษัตริย์แฮมเมอแรบบิเดินตามมาตรการยุติธรรมดังกล่าวดังปรากฏในตัวบทกฎหมายว่า “ตาต่อตาฟันต่อฟัน” เป็นต้น กฎหมายของโมเสส ที่ประกาศใช้ในคัมภีร์พันธสัญญาเดิม ก็เดินตามความยุติธรรมดังกล่าวด้วย ผู้เขียนเชื่อว่ามาตรการความยุติธรรมของชนชาติโบราณทั่ว ๆ ไป และของเผ่าที่ล้าหลังในปัจจุบันก็คงเป็นไปในทำนองนี้เป็นส่วนมาก แต่ก็พึงสังเกตว่ามาตรการนี้มีความก้าวหน้าด้านมนุษยธรรมมากว่ามาตรการแรกอย่างเห็นได้ชัดทีเดียว ทั้งแฮมเมอแรบบิและโมเสสจึงได้รับการยกย่องว่าเป็นนักปกครองยอดเยี่ยม
1.3 ความยุติธรรมคือการชดใช้ ต่อมามนุษย์เราเริ่มเล็งเห็นว่า การตอบโต้โดยทำความเสียหายให้แก่ฝ่ายทำผิดนั้นมิได้ทำให้ฝ่ายตอบโต้ได้ดีอะไรมาเลยเพราะของที่เสียไปก็เสียไปแล้ว ควรจะให้สิ่งอื่นที่เป็นประโยชน์ชดใช้ในส่งที่เสียไปจะดีกว่า เช่นนี้จะเป็นความยุติธรรมแก่ฝ่ายที่ถูกทำร้ายมากกว่า ผู้มีอำนาจวางมาตรการปรับเป็นสิ่งของหรือเป็นจำนวนเงินขึ้น และเพื่อให้เข็ดหลาบก็มีการทรมานให้เจ็บปวดด้วย กฎหมายไทยตั้งแต่สมัยพ่อขุนรามคำแหงจนถึงสมัยรัชกาลที่ 5 เดินตามมาตรการนี้ซึ่งก็ต้องนับว่าก้าวหน้ากว่ามาตรการเดิมอย่างมาก
1.4 ความยุติธรรมคือการให้โอกาสป้องกันตัว แต่เดิมฝ่ายที่ฟ้องเป็นฝ่ายได้เปรียบฝ่ายที่ถูกฟ้องแม้ไม่ได้ทำผิดก็มักจะแก้ตัวไม่ได้ ต่อมาเมื่อมีการปรับปรำใส่ร้ายกันมากขึ้น จึงเห็นได้ว่าการลงโทษโดยไม่ให้โอกาสจำเลยแก้ตัวนั้นไม่ยุติธรรม จึงมีการออกกฎหมาย เปิดโอกาสให้จำเลยป้องกันตัวเอง และถ้าโจทย์ไม่มีหลักฐานหนักแน่นพอ ก็ต้องยกผลประโยชน์ให้แก่จำเลย ดังนั้น มาตรกาลของศาลสถิตยุธรรมในปัจจุบันย่อมถือว่าจำเลยไม่ผิดเว้นแต่จะมีหลักฐานผูกมัดเพียงพอ การกปรับปรุงการศาลของพระปิยมหาราชเดินตามมาตรการนี้ และกฎหมายไทยยังยึดถือเป็นหลักจนตราบเท่าทุกวันนี้ ผลก็คือผู้ร้ายได้ใจไปตาม ๆ กัน นักเขียนการ์ตูน ประยูร จรรยาวงษ์ ล้อเลียนอยู่บ่อยๆ ว่ากฎหมายชราภาพ อย่างไรก็ตามมาตรการนี้ต้องนับว่าดีที่สุดเท่าที่จะกำหนดได้ในระบบการศาล ช่องโหว่ที่มีก็ต้องคิดหาวิธีอุดกันต่อไปอย่างที่สุดเท่าที่จะทำได้
1.5 ความยุติธรรมคือการเสวนา ในสภาพปัจจุบัน นักแก้ปัญหาต้องไม่มองปัญหาอะไรเพียงด้านเดียว แต่จะต้องพยายามมองให้รอบด้านเพื่อให้เกิดความเข้าใจอย่างดีเกี่ยวกับสถานการณ์ตลอดจนตัวปัญหา และความต้องการของผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่าย ทั้งนี้จะได้หาทางสายกลางที่เหมาะสมที่สุดสำหรับแต่ละสถานการณ์ ในเรื่องของความยุติธรรมก็เช่นกัน จะระบุลงไปเป็นสูตรสำเร็จรูปไม่ได้ว่าอย่างไรจึงจะยุติธรรม ควรใช้การวิเคราะห์ปัญหาและพิจารณาส่วนได้ส่วนเสียจากทุกทาง เพื่อประมวลหาความเหมาะสมแต่ละครั้ง นี่คือความยุติธรรมแบบเสวนา แม้จะเสียเวลายุ่งยากมาก แต่ก็ควรใช้เป็นหลักการอย่างยิ่งสำหรับสังคมปัจจุบัน การเสวนา ( dialogue ) เป็นการเจรจาเพื่อเข้าใจปัญหา ความคิดความต้องการและสถานการณ์เกี่ยวข้องทุกอย่าง โดยมีความจริงใจและบริสุทธิ์ใจต่อกัน ผิดกับการเจรจาเพื่อต่อรองซึ่งต่างฝ่ายต่างมุ่งเรียกร้องและรักษาผลประโยชน์ของตนเองอย่างเต็มที่ วิธีหลังนี้เกิดความยุติธรรมได้ยากจึงควรฝึกการเจรจาแบบเสวนากันในทุกรูปแบบความยุติธรรมและความสงบสุขร่มเย็นจึงมีความหวังที่จะเกิดขึ้นในสังคมปัจจุบันของเราด้วยนิยามยุติธรรมจากการเสวนาเพื่อให้แก่ละคนตามสิทธิ จึงเรียกได้ว่ามีความเป็นธรรม ( righteousness, fairness )
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากได้มีความพยายามที่จะนิยามความยุติธรรมเพื่อตอบสนองความเห็นแก่ตัวอยู่เนือง ๆ จึงมีปัญหาต้องขบคิดกันเรื่อยมาว่า อะไรคือความยุติธรรมที่เราจะต้องปฏิบัติในสังคม สมาชิกประเภทใดในสังคมสมควรได้สิทธิแค่ไหน ใครจะเป็นผู้กำหนดและเมื่อมีปัญหาเกิดขึ้นใครจะเป็นผู้ชี้ขาด จึงนับว่าเป็นปัญหาหนึ่งที่นักจริยศาสตร์ด้านต่าง ๆ จะต้องช่วยกันขบคิดเรื่อยไปในทุกยุคทุกสมัยทุกเวลาและสถานที่ เช่น ในปัจจุบันกำลังมีปัญหาที่ต้องขบคิดกันว่า ควรให้บุคคลมีทรัพย์สินเท่าไรจึงจะยุติธรรม การต่อรองระหว่างนายจ้างกับลูกจ้างต้องมีเงื่อนไขอะไรบ้างจึงจะยุติธรรม การทำแท้งอย่างเสรียุติธรรมหรือไม่ ใครควรเสียภาษีให้รัฐเท่าไรจึงจะยุติธรรม รัฐจะช่วยคนยากจนอย่างไรจึงจะยุติธรรมและไม่เป็นการส่งเสริมให้พลเมืองเกียจคร้าน เมื่อถูกขบวนการก่อการร้ายจู่โจมอย่างกรณีศูนย์การค้าโลกแห่งนิวยอร์ก พึงดำเนินการอย่างไรจึงจะยุติธรรม เป็นต้น คำตอบก็คือ ต้องยุติธรรมอย่างเสียสละไม่เห็นแก่ตัว หาความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่น ด้วยมาตรการ (การดูแลเอาใจใส่ผู้อื่นด้วยความสุข)
