Aristotle on hierarchy network เครือข่ายฐานันดรของแอร์เริสทาทเถิล
ผู้แต่ง : เอนก สุวรรณบัณฑิต
ผู้ปรับแก้ : กีรติ บุญเจือ
แอเริสทาเทิล (Aristotle ก.ค.ศ.384-322) เป็นชาวเมืองชายแดนมาจากแคว้นแมเซอโดเนีย (Macedonia) ครอบครัวมีฐานะดีเพราะบิดาเป็นแพทย์ในราชสำนักของกษัตริย์ฟีลิพ พระราชบิดาของกษัตริย์แอลิกแซนเดอร์ แอเริสทาเทิลชอบระบบปรัชญาของเพลโทว์ จึงฝากตัวเป็นศิษย์ อยู่ประจำสำนักอแคเดอมิ (Academia) เป็นเวลาถึง 20 ปี โดยหวังจะได้เป็นเจ้าสำนักแทน แต่ผิดหวังเมื่อทราบข่าวว่าหลานชายของเพลโทว์ได้เป็นเจ้าสำนัก แอเริสทาเทิลจึงออกท่องเที่ยวหาความรู้จนได้รับเชิญไปถวายอักษรแด่เจ้าฟ้าแอลิกแซนเดอร์ เมื่อแอลิกแซนเดอร์ได้ราชสมบัติแล้วแอเริสทาเทิลก็กลับมาเอเธนส์ ตั้งสำนักของตนเองชื่อลายเซียม (Lycium) เน้นการค้นคว้าหาข้อมูลทางวิทยาศาสตร์เอามาสรุปเป็นเนื้อหาเพิ่มเติมให้กับระบบความคิดแบบกรีก ซึ่งแอเริสทาเทิลตั้งใจสร้างขึ้นให้สมบูรณ์ที่สุด (ไม่รู้ว่าตั้งใจแข่งกับของดิมาเครอเทิสหรือไม่ เพราะขณะนั้นงานของดิมาเครอเทิสแพร่หลายมาก และครอบคลุมความรู้กว้างขวางที่สุด)
ระบบความคิดของแอเริสทาเทิลเริ่มจากวิธีคิดคือตรรกวิทยา(logic) อันเป็นระเบียบการดำเนินของปัญญา จากการหยั่งรู้ หาประสบการณ์ ลำดับความคิดเพื่อหาความรู้เพิ่มด้วยระเบียบของปัญญา สรุปออกเป็นระบบที่เป็นระเบียบโยงใยถึงกันได้ทั้งหมด

แอเริสทาเทิลสร้างระบบความรู้ของตนบนฐานของความรู้แบบกรีกที่เธลิสได้ริเริ่มไว้ โดยกำหนดหลักการแม่แบบของตนว่า เนื้อหาความรู้พื้นฐานที่สุดคือภวันต์ (entity) อันเป็นความรู้ที่เป็นนามธรรมที่สุด จึงเป็นพื้นฐานสุด เป็นหลักการแม่แบบที่สุด เป็นความเป็นจริงอันติมะที่สุด เป็นปฐมธาตุที่ลึกลงไปยิ่งกว่าปฐมธาตุของเธลิสและลูกศิษย์ ลึกยิ่งกว่าปรมาณูของดิมาเครอเทิส ลึกยิ่งกว่าแม่แบบในโลกแห่งมโนคติของเพลโทว์ เพราะความเป็นจริงทั้งหลายที่เคยมีกล่าวถึงกันมาแล้วทั้งหมด ที่สุดก็หยั่งลงไปได้ว่าล้วนแต่เป็นภวันต์ทั้งสิ้น วิชาที่ว่าด้วยภวันต์ (entity) และภู (to-be) รวมกันของแอเริสทาเทิลจึงได้ชื่อว่าภววิทยาภวันต์แต่ละภวันต์ย่อมประกอบด้วยสิ่งในฐานะสิ่งบริสุทธิ์หรือสารัตถะ (essence) กับภู (to-be) หรือการเป็นอยู่บริสุทธิ์ ในคำแปลภาษาอังกฤษมักใช้คำ being (ภวะหรือภาวะก็เรียก) ซึ่งหมายถึง entity (ภวันต์) ก็ได้และ/หรือ to-be (ภู)ก็ได้ เราจึงสงวนคำภวะและภาวะไว้ใช้ในความหมายที่กำกวมเช่นนี้เพื่อสะดวกในการแปล ทั้งนี้เพราะนักปรัชญาปัจจุบันไม่ชอบถกปัญหาภววิทยาลงสู่รายละเอียดสุขุมมากนัก จึงชอบใช้คำกำกวมว่า being (ภาวะ) โดยไม่ต้องรับผิดชอบคิดละเอียดลออ แต่จะสนใจถกปัญหาเรื่องความเป็นจริงที่เป็นอภิปรัชญาที่เป็นรูปธรรมมากกว่า แต่ถ้าจะถกปัญหาลงรายละเอียดก็จำเป็นต้องแยกความหมายให้ชัดเจนว่าจะพูดถึงภวันต์ (entity) หรือภาวะ (to-be หรือ beingness)
นอกจากอภิปรัชญาทั่วไปหรือภววิทยาซึ่งแอเริสทาเทิลเองเรียกว่าปรัชญาแรก (the first philosophy) ก็ยังมีอภิปรัชญาที่เป็นรูปธรรมเฉพาะเรื่อง (ซึ่งปัจจุบันเราเรียกว่าปรัชญาประยุกต์) คือ ปรัชญาธรรมชาติ (On Nature) ปรัชญาชีวิต (On Life) ปรัชญาจิต (On the Soul) ปรัชญาบุคคล (Ethics) ปรัชญาการเมือง (On Polity) ปรัชญาสังคม (On Society) ปรัชญาศิลปะ (On Art) สาขาเหล่านี้ปัจจุบันแยกเป็นวิชาอิสระหมดแล้ว คือวิชาฟิสิกส์ ชีววิทยา จิตวิทยา จริยศาสตร์ รัฐศาสตร์ สังคมศาสตร์ ศิลปศาสตร์ ในปัจจุบันจึงมีการติดตามคิดปรัชญาบนผลสรุปของวิชาเหล่านี้อีกทีหนึ่งเรียกว่า ปรัชญาวิทยาศาสตร์ ปรัชญาชีวิต ปรัชญาจิต ปรัชญาจริยะ ปรัชญาการเมือง ปรัชญาสังคม ปรัชญาศิลปะ เป็นต้น ในสมัยของแอเริสทาเทิลในฐานะที่ท่านเองเป็นผู้ริเริ่มคิดค้นเนื้อหาของวิชาเหล่านี้เพื่อเอามาจัดเข้าระบบความคิดแบบกรีก ทุกอย่างจึงเป็นสาขาของปรัชญาโดยมีการเก็บข้อมูล ประมวลข้อมูลเป็นทฤษฎี และตีความทั้งข้อมูลและทฤษฎีให้เข้าระบบความคิดแบบกรีก ในเวลาต่อมาเมื่อวิชาใดมีเนื้อหามากพอก็จะค่อย ๆ แยกเป็นวิชาอิสระตามลำดับ แต่เมื่อแยกเป็นวิชาอิสระก็จะแยกเอาเนื้อหาไปเฉพาะที่เป็นข้อมูลและทฤษฎีของข้อมูลเท่านั้น เนื้อหาส่วนที่เป็นการตีความเข้าระบบความคิดแบบกรีก ยังคงเป็นหน้าที่ของนักปรัชญาอยู่ ซึ่งจะต้องขบคิดให้เป็นปรัชญาประยุกต์
จะเห็นได้ว่า แอเริสทาเทิลก็เป็นนักสังเกตทดลองและรวบรวมข้อมูลที่ยิ่งใหญ่คนหนึ่ง ผู้โจมตีแอเริสทาเทิลไม่สู้จะมองด้านนี้ มักจะโจมตีในแง่ที่สร้างระบบเครือข่ายความรู้เป็นสำคัญ ทั้งนี้ก็เพราะว่าแอเริสทาเทิลหาข้อมูลเพื่อขยายเครือข่ายที่รู้แล้วออกไป มิใช่หาข้อมูลเพื่อสร้างเครือข่ายใหม่หรือเพื่อประเมินเครือข่ายที่มีอยู่ตามที่ฝ่ายระบบเติบโตต้องการ


Leave a comment