Augustine on Trinity พระตรีเอกภาพของออเกิสทีน
ผู้แต่ง : กันต์สินี สมิตพันธ์
ผู้ปรับแก้ : กีรติ บุญเจือ
ในฐานะที่ออเกิสทีนเป็นนักปรัชญาคริสต์ จำเป็นอยู่เองที่จะต้องเชื่อตามคำสอนในไบเบิลและข้อตกลงของสังคายนาสากลไบเบิลกล่าวไว้ชัดเจนว่า พระเป็นเจ้าเป็นผู้สร้างสรรพสิ่ง ไม่มีอะไรอยู่โดยที่พระองค์ไม่ทรงสร้าง สังคายนาแห่งเคิลซีดัน (The council of Chalcedon) ตัดสินว่า พระเป็นเจ้าทรงมีพระธรรมชาติเดียวในสามพระบุคคล เรียกว่าพระตรีเอกภพ (Trinity) ปัญหาสำหรับออเกิสทีนจึงมีอยู่ว่า
– พระเป็นเจ้าตามคำตัดสินของสังคายนาเคิลซีดันเป็นไปได้อย่างไร
– จำเป็นหรือไม่ที่พระเป็นเจ้าจะต้องเป็นไปตามคำตัดสินของสังคายนาเคิลซีดัน
– อะไรคือสารัตถะของพระเป็นเจ้า
– พระเป็นเจ้าต้องมีคุณลักษณะอะไรบ้าง
ความเป็นไปได้ของพระตรีเอกภพ คำตัดสินของสังคายนาเคิลซีดันถ้าคิดดูอย่างผิวเผินก็เหมือนกับว่าขัดแย้งกันในตัว ออเกิสทีนจึงต้องชี้แจงว่าถ้าพิจารณาให้ถี่ถ้วนแล้ว ก็จะพบว่าไม่จำเป็นต้องขัดแย้งกันในตัว แต่ทว่ามีทางเป็นไปได้ดังตัวอย่างรูปสามเหลี่ยมด้านเท่า

trinity

– สมมติ ABC เป็นสามเหลี่ยมด้านเท่าที่มีเนื้อที่ 10 ตารางเซนติเมตร มุม A จะกางกินเนื้อที่ 10 ตารางเซนติเมตร มุม B ก็กางกินเนื้อที่ 10 ตารางเซนติเมตรเท่ากัน และมุม C ก็กางกินเนื้อที่ 10 ตารางเซนติเมตรด้วย ถ้าจะถามว่ามุม A+B+C รวมกันทั้ง 3 มุมจะกินเนื้อที่เท่าใด ก็คงจะต้องตอบว่ากินเนื้อที่ 10 ตารางเซนติเมตร มิใช่ 30 ตารางเซนติเมตร ทั้งนี้ก็เพราะว่าแต่ละมุมกางกินเนื้อที่ทั้งหมดของรูปสามเหลี่ยมก็จริง แต่ก็เป็นเนื้อเดียวกันที่เป็นเนื้อของทั้ง 3 มุม จึงเห็นได้ว่าสามเหลี่ยม ABC มีเนื้อที่เดียว แต่มีมุม 3 มุม ซึ่งแต่ละมุมจะกางกินเนื้อที่ทั้งหมดของรูปสามเหลี่ยมและเนื้อที่เดียวกันนั้นเองเป็นสมบัติร่วมกันของทั้ง 3 มุม ออเกิสทีนจึงถือโอกาสชี้แจงว่า ในพระเป็นเจ้าก็เป็นไปในทำนองนี้ คือ
พระบิดาเป็นบุคคลที่ 1 มีธรรมชาติพระเป็นเจ้าทั้งหมด พระบุตรเป็นบุคคลที่ 2 มีธรรมชาติเดียวกันนั้นทั้งหมดเช่นกัน และพระจิตเป็นบุคคลที่ 3 มีธรรมชาติเดียวกันนั้นทั้งหมดด้วย ออเกิสทีนเห็นว่า ในเมื่อรูปสามเหลี่ยมเดียวก็มุมได้ 3 มุม ในพระเป็นเจ้าพระธรรมชาติเดียวก็อาจจะมี 3 บุคคลได้ อย่าลืมว่าคำอธิบายในขั้นนี้ ออเกิสทีนตั้งใจจะชี้แจงความเป็นไปได้เท่านั้น และการเปรียบเทียบจะต้องพิจารณาในแง่เดียว จะสรุปในแง่อื่นด้วยไม่ได้
ออเกิสทีนคิดว่า คำตัดสินของสังคายนาเคิลชีดันที่ว่าพระเป็นเจ้าทรงมีพระธรรมชาติเดียวในสามพระบุคคลนั้น ถ้ามีพระเป็นเจ้าจริง พระองค์ก็น่าจะมีลักษณะเช่นนี้ ลองหลับตานึกถอยหลังไปในอดีต จนถึงเวลาที่ยังไม่มีอะไรทั้งสิ้นนอกจากพระเป็นเจ้าเท่านั้น พระเป็นเจ้าถ้ามีอยู่จริง พระองคืจะต้องทรงกระทำการอะไรบางอย่าง เพราะการกระทำการอะไรสังอย่างกับการมีอยู่เป็นของคู่กัน จะมีอยู่โดยไม่ทำการอะไรเลยย่อมเป็นไปไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นสสารหรือจิต ยกตัวอย่างเช่นโต๊ะตัวนี้ ถ้าเป็นโต๊ะที่มีอยู่จริง จะต้องทำการอะไรสักอย่างอยู่เสมอ อย่างน้อยก็ทำการต่อต้านสิ่งภายนอกมิให้แย่งห้วงเทศา (space) ส่วนที่เป็นกรรมสิทธิของมัน สิ่งอ่อนนุ่มเช่นกระสอบนุ่น มันอาจจะยอมให้เรารุกรานบริเวณของมันได้ชั่วปริมาตรหนึ่ง หลังจากนั้นแล้วมันจะต่อตเนอย่างแข็งแกร่งไม่แพ้ก้อนหิน การที่สสารทำการต่อต้านนี่แหละเราเรียกว่าสสารกินที่ ส่วนจิตอย่างเช่นพระเป็นเจ้าตามข้อสมมติฐานของเรานี้ ย่อมจะไม่กินที่ เพราะฉะนั้นจึงไม่มีการต่อต้านสิ่งภายนอกเหมือนสสาร แต่จะต้องทำการอย่างอื่นที่กิจกรรมเฉพาะของจิต นั่นคือคิด พระเป็นเจ้าทรงคิดและก็ต้องเข้าใจ มิฉะนั้นก็ไม่ใช่พระเป็นเจ้า พระองค์จะคิดและเข้าใจอะไรเล่าในขณะที่ยังไม่มีอะไรอื่นเลยนอกจากพระอง๕เอง พระองค์ย่อมจะคิดและเข้าใจตัวพระองค์เองอย่างสมบูรณ์ พระเป็นเจ้าผู้คิดกับพระเป็นเจ้าผู้ถูกคิดจึงเป็นพระเป็นเจ้าองค์เดียวกันนั่นเอง แต่ทว่าพิจารณาในแง่ต่างกัน ออเกิสทีนชึ้แจงว่า พระเป็นเจ้าผู้คิดคือพระบิดา และพระเป็นเจ้าเป็นที่สถิตของมโนคติสากลทั้งหลาย ทีเพลโทว์เรียกว่าโลกแห่งมโนคตินั้นอยู่ในพระปัญญาของพระเป็นเจ้านี่เอง นับว่าเพลโทว์เข้าถึงความจริงแต่เข้าใจยังไม่ชัดเจนเพราะไม่รู้วิวรณ์ของคัมภีร์ไบเบิล
ในเมื่อพระเป็นเจ้าทรงเข้าใจพระองค์เองอย่างถูกต้องชัดเจนว่าเป็นผู้ทรงความดีอย่างสมบูรณ์ หาจุดบกพร่องในแง่ใดมิได้เลยเช่นนั้น พระองค์ย่อมจะต้องมีความชื่นชมตามลักษณะของผู้มีจิตใจสูงส่ง ความชื่นชมของมนุษย์ธรรมดาย่อมเป็นเพียงส่วนประกอบ แต่ทว่าในพระเป็นเจ้าไม่มีส่วนประกอบ ความชื่นชมของพระองค์จึงเป็นบุคคลที่สามขึ้นมาในพระธรรมชาติเดิมนั่นเอง ด้วยเหตุนี้ เราจึงพอจะเห็นได้ว่า ถ้าพระเป็นเจ้ามีอยู่จริง พระองค์จำเป็นต้องมีพระธรรมชาติเดียวในสามพระบุคคล
ให้สังเกตว่า คำชี้แจงข้างต้นมิได้พิสูจน์แต่ประการใดเลยว่าพระเป็นเจ้ามีอยู่โดยจำเป็นหรือไม่ แต่มุ่งอธิบายให้เห็นว่าถ้ามีพระเป็นเจ้าจริง พระองค์จำเป็นจะต้องมีอยู่อย่างนี้ ส่วนปัญหาที่ว่า พระเป็นเจ้าดังที่ได้กล่าวมานี้จริงหรือไม่ เป็นเรื่องต้องพิสูจน์กันด้วยข้อพิสูจน์อื่น ดังได้พิจารณามาแล้วในหัวข้อเรื่องการมีอยู่ของพระเป็นเจ้า


Leave a comment