
truth of paradigms ความจริงของกระบวนทรรศน์
ผู้แต่ง : ศุภชัย ศรีศิริรุ่ง
ผู้ปรับแก้ : กีรติ บุญเจือ
กระบวนทรรศน์ (paradigm) คือความเชื่อพื้นฐานอันนอนเนื่องอยู่ในใจของคนคนหนึ่ง หรือบุคคลกลุ่มหนึ่ง ในประวัติปรัชญาจะหมายถึงความเชื่อร่วมของคนส่วนใหญ่ในยุคสมัยหนึ่ง ๆ ซึ่งมีด้วยกัน 5 ยุค คือ ยุคดึกดำบรรพ์ ยุคโบราณ ยุคกลาง นวยุคและหลังนวยุค รวมเป็น 5 กระบวนทรรศนืของประวัติปรัชญา
มาตรการความมั่นใจของผู้ถือกระบวนทรรศน์ที่ 1 ก็คือน้ำพระทัยของเบื้องบน คือเมื่ออ้างว่าเป็น “น้ำพระทัยของเบื้องบน” แล้วก็ยอมรับแต่โดยดี จบลงตรงนั้น ไม่มีอะไรที่อยากจะถามต่อ
มาตรการความมั่นใจของผู้ถือกระบวนทรรศน์ที่ 2 ก็คือมันเป็นกฎธรรมชาติ แต่ก็สนใจถามต่อไปได้ว่ารู้อย่างไรว่าเป็นกฎธรรมชาติ คำตอบที่จะใช้ปิดปากได้ก็คือ “Ipse dixit” (ท่านตรัสไว้ดั่งนี้) “ท่าน” ก็คือเจ้าสำนักที่ยกย่อง สำนักใครสำนักมัน ทุกคนมีสำนักเป็นที่พักพิงความมั่นใจ ไม่ชอบใจก็เปลี่ยนสำนักได้ แต่ไม่มีใครจะอยู่ได้อย่างสบายใจโดยไม่เป็นเจ้าสำนักเสียเองหรือเป็นศิษย์เชื่อตามสำนักใดสำนักหนึ่งเจ้าสำนักก็มีหน้าที่ต้องรักษาความน่าเชื่อถือไว้ อย่างสำนักของแอเริสทาทเถิลรักษามาตรฐานอย่างคงเส้นคงวานานเกือบสหัสวรรษ คือตั้งแต่ปี ก.ค.ศ. 335 ถึงปี ค.ศ. 529 เป็นเวลา 864 ปี ในขณะที่สำนักของเพลโทว์(ตั้งแต่ ก.ค.ศ. 387 ถึง ค.ศ.529 เป็นเวลา 916) ต้องเปลี่ยนแนวความคิดอย่างน้อยถึง 3 ครั้ง
มาตรการความมั่นใจของผู้ถือกระบวนทรรศน์ที่ 3 ก็คือมั่นใจว่าให้ผลดีต่อโลกหน้า คือถ้าให้ความมั่นใจว่าให้ผลดีต่อโลกหน้าแล้วจะยอมทุ่มเทจิตใจยอมเชื่อและพร้อมที่จะเสียสละแม้ชีวิต แต่ถ้ามั่นใจว่าให้ผลเสียต่อโลกหน้าแล้วจะปฏิเสธหลีกเลี่ยงอาจถึงขั้นอยากและลงมือทำลายอย่างรุนแรงอย่างไม่มีอะไรจะยับยั้งได้ คนกลุ่มนี้จะสนใจรู้ว่าผลดีผลเสียในโลกหน้าเป็นอย่างไรยิ่งกว่าจะสนใจรู้ว่าศาสดามีเจตนาสอนอะไร และที่พวกเขาเลือกเชื่อศาสดาท่านใดก็เพราะหวังว่าศาสดาท่านนั้นให้ประโยชน์ต่อโลกหน้าได้แน่นอนที่สุดมากกว่าจะเป็นเพราะเหตุอื่น
มาตรการความมั่นใจของผู้ถือกระบวนทรรศน์ที่ 4 ก็คือมั่นใจว่าเป็นมาตรการที่ให้ความรู้ตรงกับความเป็นจริง โดยเรียกมาตรการนั้นว่าวิธีการวิทยาศาสตร์ และเรียกความรู้ตามมาตรการนั้นว่าวิทยาศาสตร์ ทุกอย่างจะต้องเป็นวิทยาศาสตร์หมด แม้ศาสนาก็ต้องเป็นศาสนาตามมาตรการวิทยาศาสตร์ ศิลปะก็ต้องเป็นวิทยาศาสตร์ คุณค่าก็ต้องวัดให้ได้ตามเกณฑ์มาตรฐานวิทยาศาสตร์คือให้ประโยชน์คุ้มค่า การคิดคำนวณทุกเรื่องต้องมีเกณฑ์ และวิธีการที่ทดสอบแล้วว่าให้ประสิทธิภาพสูงสุด
ฝ่ายประสบการณ์นิยมจะรวบรัดเอาแค่วิธีการวิทยาศาสตร์ว่าให้ข้อมูลที่เชื่อถือได้ว่าตรงกับความเป็นจริง เรียกว่า มาตรการสมนัย (correspondent criterion) ฝ่ายเหตุผลนิยมคิดว่าต้องใช้ปัญญาสร้างระบบเครือข่ายเสียก่อน แล้วค่อยใช้วิธีการวิทยาศาสตร์ทดสอบเป็นจุด ๆ เพื่อรับรองระบบเครือข่าย มาตรการค้ำประกันความจริงของระบบเครือข่าย คือ มาตรการสหนัย (coherence criterium) ขบวนการพุทธิปัญญาเอามาตรการของประสบการณ์นิยมสร้างมูลบทแล้วเชื่อมโยงมูลบทเข้าเป็นระบบเครือข่ายด้วยมาตรการสัจพจน์ (axiomatizationcriterium)หรือมูลฐานนิยม (foundationalism)
มาตรการความมั่นใจของผู้ถือกระบวนทรรศน์ที่ 5 ก็คือได้ใช้วิจารณญาณอย่างเหมาะสม คือได้วิเคราะห์ ประเมินค่า และเลือกทางที่ให้คุณค่าที่สุดแก่คุณภาพชีวิต
เหล่านี้คือมาตรการความจริงอย่างกว้าง ๆ ของมวลมนุษย์ที่แบ่งตามกระบวนทรรศน์ ในแต่ละกระบวนทรรศน์ก็มีรายละเอียดปลีกย่อย ผิดเพี้ยนกันไปบ้าง บางคนก็ทำตัวเป็นนักต่อต้านกระบวนทรรศน์
