ulta- realism ลัทธิสัจนิยมแบบจัด
ผู้แต่ง : รวิช ตาแก้ว
ผู้ปรับแก้ : กีรติ บุญเจือ
เพื่อป้องกันคำสอนเรื่องพระตรีเอกภาพ (trinity) และเรื่องบาปกำเนิด (original sin) นักปรัชญากลุ่มหนึ่งจึงรื้อฟื้นแนวทางของออกัสทีน (St. Augustine 354-430) ขึ้นตอบโต้ เพราะเห็นว่าใช้ได้ดีมานานหลายศตวรรษแล้ว หลายท่านเน้นมากเกินไปจนกลายเป็นลัทธิสรรพเทวนิยม (Pantheism) อย่างโจ่งแจ้ง
วิลเลียมแห่งชองโพ (William of Champeaux 1070-1120) เป็นลูกศิษย์ของรอสเซลลินัส (Roscellinus; Roscelin of Compiègne 1050 – 1125) ภายหลังพบว่า คำสอนของอาจารย์ขัดต่อคำสอนของคริสต์ศาสนา ตอบโต้ด้วยทฤษฎีอัตลักษณ์ (theory of identity) โดยสอนว่า ธรรมชาติของแต่ละสิ่ง เช่น ธรรมชาติของมนุษย์ ย่อมมีหนึ่งเดียวในคนทุกคนทั้งในด้านจำนวนและอัตลักษณ์ (numerically and identically) นั่นคือ มนุษย์ทุกคนเป็นคนคนเดียวกันอย่างสมบูรณ์ การมีจำนวนมากในสิ่งเดียวกันเป็นเพียงมายา (accidentally)
ปีเตอร์ เอเบอลาร์ด (Peter Abelard 1079-1142) ผู้เป็นลูกศิษย์โต้แย้งว่า ถ้าเช่นนั้น โสกราติสย่อมอยู่ที่เอเธนส์ ที่โรม และทุก ๆ แห่งที่มีมนุษย์ เพราะเป็นคนคนเดียวกันกับมนุษย์ทุกคน และถ้าโสกราติสถูกเฆี่ยน มนุษย์ทุกคนก็จะพากันเจ็บตามไปด้วย เมื่อถูกแย้งเข้าเช่นนี้วิลเลียมจึงแก้ไขให้อ่อนลงเป็นทฤษฎีไร้ความแตกต่าง (theory of indifference) โดยสอนว่า คนแต่ละคนมีจริงและเป็นเอกเทศจริง ๆ แต่ทว่าในแต่ละคนมีธรรมชาติของคนครบถ้วนบริบูรณ์อย่างไม่แตกต่างอะไรเลยจากคนอื่น ๆ (indifferently) นั่นคือ มนุษย์แต่ละคนต่างก็มีจรสมบัติ (accident) เป็นของตนเองโดยเฉพาะ แต่ทว่าทุกคนมีสารัตถะที่ไม่แตกต่างกัน สารัตถะนี้แหละคือ สิ่งสากล

ทฤษฎีหลังของวีลเลียมใช้คำพูดคลุมเครือที่ว่าไม่แตกต่างกันนั้นกินความแค่ไหน ถ้าไม่แตกต่างแม้กระทั่งอัตลักษณ์และจำนวน ก็น่าจะเป็นสิ่งเดียวกันและก็ไม่น่าจะผิดอะไรกับทฤษฎีแรก และถ้าไม่แตกต่างในความหมายว่า มีธรรมชาติเหมือนกันโดยที่ต่างคนต่างมี ก็จะเป็นลัทธิสัจนิยมสายกลาง ซึ่งวิลเลียมน่าจะแถลงออกมาได้อย่างตรง ๆ และอย่างชัดเจน ทำให้สันนิษฐานได้ว่า วิลเลียมเพียงแต่เปลี่ยนชื่อทฤษฎีแต่หาได้เปลี่ยนความคิดไม่

