utilitarianism ลัทธิประโยชน์นิยม
ผู้แต่ง : พระปรียะพงษ์ คุณปัญญา
ผู้ปรับแก้ : กีรติ บุญเจือ
นักปรัชญาลัทธิประสบการณ์นิยมมีเขอเพอร์นิเขิส และเบเขิน มีความเชื่อมั่นใจเป็นอย่างยิ่งว่า มนุษย์ทุกคนน่าจะเข้าถึงความจริงได้โดยอาศัยประสบการณ์ตรง โดยประสบการณ์ตรงนั้นจะหนุนนำให้มนุษย์ได้เกิดการเรียนรู้ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง และจะเป็นคำตอบของคำถามทุกปัญหา โดยประสบการณ์จะเป็นตัวบ่งบอกว่า ควรที่จะกำหนดให้ คณิตศาสตร์และตรรกวิทยาควรเป็นไปเช่นไร เมื่อได้สูตรแล้วก็จะทำการทดลองคำนวณดูว่า สูตรนั้นสามารถคำนวณไปได้ถึงไหน แล้วค่อยทำการทดลอง ถ้าทดลองแล้วผลเป็นจริง กฎนั้นก็ถือว่าเป็นกฎของเอกภพจริง เพราะจะต้องตั้งหรือปรับปรุงแก้ไขให้ได้กฎจริงๆ เพื่อจะได้ใช้เป็นสูตรคาดคะเนหาความรู้ใหม่ๆ ต่อไป ซึ่งจะแน่ใจได้ก็ต่อเมื่อได้ทดลองใช้อย่างจริงจังเท่านั้น
ที่ว่าลัทธิประสบการณ์นิยมนั้น ไม่ได้หมายความว่า จะไม่ใช้เหตุผลเสียเลยเสียทีเดียว แต่ว่าทั้งสองกลุ่มยังหาข้อมูล คำนวณ และเหตุผลด้วยกันทั้งสิ้น เพียงแต่ว่าจิตตารมณ์ในการตีความแตกต่างกัน โดยเฉพาะฝ่ายประสบการณ์นิยมถือว่า สัญชาน (perception) เท่านั้น ที่ให้ความจริงแก่เราได้อย่างมั่นใจ ด้วยเหตุนี้เอง ลัทธิประสบการณ์นิยม จึงได้มีการส่งเสริมการสังเกต ทดสอบ ส่วนในเรื่องความคิดเลยขึ้นไปนั้นให้รับรู้ได้ แต่เป็นลักษณะของสมมติฐานเพื่อทดสอบต่อไป จะยอมรับเอาเป็นความจริงแน่แท้เลยเสียทีเดียวยังไม่ได้เพราะขาดการทดลองเรื่องดังกล่าว
ดังนั้น ลัทธิประสบการณ์นิยม จึงถือได้ว่าเป็นเครื่องมือในการแสวงหาความรู้ โดยวิธีการผ่านประสบการณ์ตรงของมนุษย์ในรูปแบบของสัญชานโดยตรง และให้ความมั่นใจในความรู้ที่ผ่านการทดลองแล้วเท่านั้น ส่วนความรู้ที่เลยขึ้นไปหรือ นอกเหนือจากสัญชานนั้น ให้ตั้งไว้เป็นสมมติฐานเท่านั้น จนกว่าจะได้มีการทดลองจากประสบการณ์ตรงเสียก่อน จึงจะยอมตามความเชื่อของประสบการณ์นิยม
ประโยชน์นิยม (utilitarianism) เป็นมาตรการหนึ่งสำหรับตัดสินความดีที่มองว่าเป้าหมายชีวิตของมนุษย์คือประชาคมที่เอื้อความสุขมากที่สุดซึ่งเชื่อว่าเป็นไปได้หากทุกคนในสังคมเดียวกันให้ความร่วมมือกันอย่างเต็มที่
หลักตัดสินความดี-ชั่วสำหรับมิลในกรอบนี้ก็คือก็คือผลของการกระทำถ้าให้ความพึงพอใจ การกระทำนั้นก็นับว่าดี ถ้าให้ความทุกข์ทรมานการกระทำนั้นก็ไม่ดี เป็นอันว่าเพียงตอนนี้มิลเห็นด้วยกับเบนเธิม (Bentham 1748-1832) และปฏิเสธความคิดของลัทธิอื่น ๆ ทั้งหมด เป็นต้นว่าGod’s Will (น้ำพระทัยพระเจ้า)ของพาร์ลีย์ (Parley 1743-1805) และ Good Will (เจตนาดี) ของคานท์ (Kant 1724-1804) มิลยอมรับตรง ๆ ว่าเท่าที่ยกข้อเท็จจริงมาอ้างก็เพื่อวางพื้นฐานให้แก่จริยธรรมเช่นนี้ จะพิสูจน์กันจริง ๆ ด้วยเหตุผลสนับสนุนไม่ได้ สังเกตดูแล้วก็ยอมรับว่าเป็นจริงเช่นนี้ นับเป็นความรู้ที่ต้องยอมรับว่าจริงล่วงหน้าประเภทปฐมบท (assumption)
แต่มิลก็เห็นผิดกับเบนเธิมตรงที่ว่า ความดีอันแท้จริงนั้นมิใช่มุ่งหาผลประโยชน์ส่วนตัวเป็นที่ตั้งตรง ๆ แต่ต้องมุ่งหาผลประโยชน์ส่วนรวมให้มากที่สุดเสียก่อน นี่แหละเคล็ดลับของความสุขหรือความพึงพอใจอันแท้จริง สูตรอันพึงจำติดสมองก็คือ The greatest happiness of the greatest number (ความสุขมากที่สุดสำหรับคนจำนวนมากที่สุด) มิลคิดว่าหลักการของท่านเช่นนี้มิได้ค้านความคิดของเบนเธิมเลย ความจริงใช้หลักการอันเดียวกัน หากแต่คิดให้ละเอียดสุขุมลงไปเท่านั้น
เหตุผลของมิลก็คือว่า การที่เราจะสอนให้แต่ละคนมุ่งหาผลประโยชน์ส่วนตัวแล้วคอยให้ผลประโยชน์ส่วนรวมเกิดขึ้นเองเป็นผลพลอยได้แบบปล่อยอิสระ(Laissez faire) นั้น ผลลัพธ์มักจะตรงกันข้าม คือผลประโยชน์ส่วนตัวก็มักจะพลอยสูญเสียไปเนื่องจากผลประโยชน์ส่วนตัวเกิดขัดกันขึ้น มิลล์จึงเห็นว่า การประกันผลประโยชน์ส่วนตัวอย่างมีประสิทธิภาพนั้นไม่มีอะไรดีกว่าการสอนให้ทุกคนมุ่งหาแต่ผลประโยชน์ส่วนรวม แล้วให้ผลประโยชน์ส่วนตัวติดตามมาเป็นผลพลอยได้ ผลประโยชน์ส่วนตัวของแต่ละคนจะมั่นคง แน่นอนโดยอัตโนมัติ ดังแผนผังข้างล่างนี้
จะว่ากันไปแล้วทั้งสองฝ่ายก็มุ่งสิ่งเดียวกัน คือ ความพึงพอใจส่วนตัว แต่ผิดกันที่นโยบาย เบนเธิมสอนให้มุ่งหาโดยตรง มิลดำเนินอย่างมีแผนหวังผลในระยะยาว จึงสอนให้แต่ละคนมุ่งแต่ผลประโยชน์ส่วนรวม ไม่ต้องเป็นห่วงผลประโยชน์ส่วนตัวเลย เพราะการมุ่งหาผลประโยชน์ส่วนรวมนั่นเองเป็นหลักค้ำประกันผลประโยชน์ส่วนตัวให้แล้ว
ตัวอย่างเช่นทหารในสมรภูมิ ทุกคนต่างก็หวังจะได้รับสิ่งตอบแทนสมกับความเสียสละ สมมุติว่าทหารหมู่หนึ่งถูกลอบโจมตีโดยไม่รู้ตัว ถูกยิงกราดล้มตายกันหมด เหลืออยู่คนเดียวล้มลงไปโดยไม่ถูกยิง จึงนอนเฉยทำเป็นตายอยู่ ลืมตามองเห็นข้าศึกพากันดีใจอยู่ในระยะใกล้ เพราะลอบทำร้ายได้ผล กำลังขึ้นรถจะกลับฐานที่ตั้งอย่างชะล่าใจ เพราะคิดว่าฝ่ายของเราตายกันหมดแล้วทหารที่นอนนิ่งอยู่นี้เห็นเป็นโอกาสจะทำร้ายข้าศึกเป็นการตอบแทนได้เพราะมีลูกระเบิดอยู่ในมือ ถ้าเขาถือหลักของเบนเธิมก็จะคิดว่า ถ้าฉันนอนนิ่งอยู่เฉย ๆ ข้าศึกไปแล้วฉันก็จะรอดชีวิตไปได้ ถ้าหากฉันขว้างระเบิดใส่ศัตรูไม่แน่ว่าฉันจะรอดไปได้หรือไม่ และวีรกรรมของฉันนี้ก็ไม่มีใครรู้เห็น ฉันจะได้ประโยชน์อะไร สมมุติฉันทำงานได้ผล คือสังหารข้าศึกตายหมดด้วยน้ำมือของฉัน ฉันกลับไปรายงาน ใครจะเชื่อว่าฉันทำงานด้วยความเสียสละเสี่ยงภัย เพราะเพื่อนตายหมด ไม่มีใครรู้เห็นเป็นพยาน กองบัญชาการอาจคิดว่าฉันปล่อยให้เพื่อนสู้รบจนตายหมดแล้วฉันกลับมาเอาความดีความชอบเสียคนเดียว ในเมื่อความเสียสละไม่มีหวังแน่นอนว่าจะได้รับผลตอบแทน ความคิดแบบเบนเธิมคงไม่จูงใจให้เสียสละเป็นเหตุให้กองทัพเสียโอกาสอันงามในการแก้มือศัตรูอย่างสาสม
ตรงข้าม ถ้าทหารที่นอนอยู่ที่นั้นคิดแบบมิล เขาจะไม่แคร์ว่าความเสียสละของเขาจะได้รับการตอบสนองอย่างไร เขามุ่งทำเพื่อผลประโยชน์ส่วนรวม เขาจะไม่คิดมาก เขาเห็นทางก่อให้เกิดผลดีต่อการปราบศัตรูของประเทศชาติแล้ว เขาจะภูมิใจที่ได้เสียสละเพื่อส่วนรวมแม้ไม่มีใครเห็น เมื่อกองบัญชาการรู้ความจริงเข้า ก็จะสรรเสริญเขา และเขาควรได้รับคำชมเชยและตอบสนองความดีความชอบยิ่งกว่าคนที่คิดแบบเบนเธิมเป็นอันมาก ผลสุดท้าย การที่เขาไม่คิดถึงประโยชน์ส่วนตัวนั่นเอง กลับสะท้อนตอบสนองให้เขาควรได้ประโยชน์ส่วนตัวมากขึ้น
แต่บางคนอาจจะค้านว่า ตามวิธีของมิลเช่นนี้ จะต้องมีบางคนที่เสียสละไปเปล่า ๆ โดยส่วนรวมไม่ทราบ หรือไม่ได้ผลตอบสนองในส่วนตัวเพียงพอ เช่น ทหารคนนั้นอาจจะทำการไม่สำเร็จ หรือสำเร็จไม่สมบูรณ์เขาอาจถูกยิงตายเสียก่อนขณะขยับตัว หรือ ขว้างระเบิดไปแล้ว ข้าศึกตายไม่หมด อาจจะหวนกลับมายิงเขาตาย ใครเล่าจะเห็นความดีของเขา

