ปัญหาเมื่อขอบเขตเนื้อหาปรัชญาไม่เท่ากัน

ศ.กีรติ บุญเจือ
ปรัชญาตะวันตกถือกันว่าเนื้อหาที่ยอมรับเป็นทางการว่าเป็นเนื้อหาของปรัชญานั้นจะต้องเป็นเรื่องขบคิดเพื่อรู้โดยเฉพาะ ดังนั้น ความรู้เรื่องใดที่เป็นคำสอนให้ปฏิบัติหรือมีการปฏิบัติทดลองเพื่อสรุปผลเป็นความรู้ย่อม “ไม่ใช่เนื้อหาของปรัชญา“
การพิจารณาลักษณะเฉพาะของปรัชญาและการแยกแยะขอบเขตของศาสตร์ต่าง ๆ เช่น ศาสตร์ที่เป็นเชิงปฏิบัติหรือวิทยาศาสตร์ธรรมชาติ อธิบายได้ดังนี้:
- ความหมายของปรัชญา ปรัชญาเป็นศาสตร์ที่มุ่งเน้นการไตร่ตรองเกี่ยวกับความเป็นจริง ความรู้ ความจริง ความดี และความงามในลักษณะของการคิดเชิงนามธรรม (abstract reasoning) โดยปรัชญามัก 1) ไม่เน้นที่ผลการทดลองหรือการปฏิบัติในเชิงประจักษ์ (empirical observation) 2) มุ่งศึกษาความเป็นเหตุเป็นผลในเชิงทฤษฎี และการตั้งคำถามเกี่ยวกับความหมายของชีวิต โลก และความเป็นมนุษย์ตัวอย่างคำถามปรัชญา เช่น “อะไรคือความจริง?” “มนุษย์มีอิสระเสรีหรือไม่?” “อะไรคือคุณค่าในชีวิต?”
- ความแตกต่างจากศาสตร์ที่เน้นการปฏิบัติและการทดลอง ความรู้ที่มีลักษณะของการปฏิบัติ (practice) หรือการทดลอง (experiment) มักอยู่ในขอบเขตของศาสตร์ที่อิงกับวิธีการทางวิทยาศาสตร์ เช่น วิทยาศาสตร์ธรรมชาติ (เช่น ฟิสิกส์ เคมี ชีววิทยา) จิตวิทยาเชิงทดลอง ศาสตร์เชิงปฏิบัติ เช่น วิศวกรรม การแพทย์ หรือเทคโนโลยี สิ่งเหล่านี้แตกต่างจากปรัชญาเพราะ 1) มีการวัดผลและสรุปผล เน้นการเก็บข้อมูลและใช้หลักฐานทางประจักษ์ในการพิสูจน์สมมติฐาน 2) เป้าหมายที่ชัดเจน มุ่งตอบคำถามที่นำไปสู่ความก้าวหน้าในเชิงปฏิบัติ เช่น การรักษาโรค การพัฒนานวัตกรรม 3) ใช้วิธีการทดลองซ้ำได้ มีการทดลองที่สามารถพิสูจน์หรือหักล้างได้ในลักษณะเฉพาะ
- การแยกขอบเขตนี้เกิดขึ้นจากวิธีการศึกษา และเป้าหมายของการแสวงหาความรู้ โดยปรัชญามุ่งเน้นการค้นหาความหมายและการตีความในมิติที่ลึกซึ้งโดยไม่ต้องการผลลัพธ์ในเชิงประจักษ์หรือการใช้งาน ในขณะที่ศาสตร์เชิงปฏิบัติมีเป้าหมายเพื่อแก้ปัญหาหรือสร้างองค์ความรู้ที่ตรวจสอบได้ในชีวิตจริง ตัวอย่างเช่น
คำสอนในพุทธศาสนา เช่น การปฏิบัติสมาธิเพื่อบรรลุผลทางจิตใจ อาจไม่ใช่ “ปรัชญา” ในความหมายแคบ แต่เป็นศาสตร์การปฏิบัติทางจิตที่สามารถตรวจสอบได้จากประสบการณ์ตรง
ทฤษฎีปรัชญา เช่น ความคิดของเพลโตเรื่อง “โลกของแบบ” (World of Forms) ไม่ได้ต้องการการทดลองเพื่อพิสูจน์ในเชิงประจักษ์ แต่ตั้งคำถามเกี่ยวกับธรรมชาติของความเป็นจริง
- ข้อโต้แย้งและขอบเขตที่ซับซ้อน ในบางกรณี การแยกปรัชญาและศาสตร์อาจไม่ชัดเจน เช่น จริยศาสตร์ (Ethics) แม้จะเน้นการพิจารณาเชิงนามธรรม แต่ก็มีผลต่อการปฏิบัติจริง เช่น แนวคิดเรื่อง “ความยุติธรรม” หรือ “การกระทำที่ดี” ปรัชญาวิทยาศาสตร์ก็ศึกษาหลักปรัชญาเบื้องหลังวิธีการทางวิทยาศาสตร์ เช่น ความหมายของการพิสูจน์หรือบทบาทของทฤษฎี
วงวิชาการปรัชญาตะวันตกจึงแยกวิชาปรัชญาออกจากศาสนาและวิทยาศาสตร์ ในขณะที่ปรัชญาอินเดียสนใจกว้างขวาง หากแต่หลายหัวข้อในทางปรัชญาตะวันตกจะอยู่ในวิชาเทววิทยา (theology) อย่างไรก็ตาม ในโลกความรู้จริง ๆ ขอบเขตของปรัชญาและศาสตร์ที่เน้นการปฏิบัติอาจมีการผสมผสานและซ้อนทับกัน ขึ้นอยู่กับบริบทและวิธีการศึกษาในแต่ละกรณี
การที่วงปรัชญาต่าง ๆ จะสนทนากันได้นั้น ความจำกัดตามขอบเขตเดิมย่อมจะทำให้คิดเห็นไม่ตรงกัน สรุปผลไม่ตรงเป้าหมายและก่อให้เกิดความเข้าใจผิดระหว่างกัน ทางแก้ไขก็คือ การขยายขอบเขตของปรัชญาให้กว้างขวางที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้เพื่อเปิดพื้นที่สำหรับความคิดปรัชญาในทุก ๆ วงการ นั่นคือ
การเล็งเห็นปัญหาและการพยายามหาคำตอบทั้งหมดของมนุษย์ให้ถือว่าเป็นปรัชญาทั้งสิ้น
เมื่อกำหนดเนื้อหาปรัชญาอย่างนี้แล้วก็จะใช้เป็นขอบเขตสากลของเนื้อหาปรัชญาได้ ทำให้ปรัชญาในวงต่างๆ อาจจะนำเอามาพิจารณาร่วมกันได้ วิเคราะห์ และวิจารณ์ด้วยมาตรการเดียวกันได้ และอาจนำเอามาช่วยอธิบายกันและกันได้ จนถึงกับเป็นที่ยอมรับข้ามแดนกันได้

