ศ.กีรติ บุญเจือ :
ลัทธิอัตถิภาวะนิยมได้มีคำตอบอย่างสำคัญไว้ว่า มนุษย์มิได้เป็นก้อนหินเพียงอย่างเดียว มีเกิดแก่เจ็บตายและรู้สึกนึกคิด ซึ่งก้อนหินไม่มีความสุขแท้ของก้อนหิน จึงไม่ใช่ความสุขแท้ของมนุษย์ ซาตร์บอกว่ามนุษย์ที่พยายามทำตัวเป็นก้อนหินคือ อยากเป็นภาวะในตัวเอง (being-in-itself) จึงผิดหวังเพราะผิดธรรมชาติ ไม่มีความสุขแท้ตามความเป็นจริงของมนุษย์ คนฉลาดจึงรู้จักวางแผนชีวิตให้ดีกว่านั้น ซาตร์อธิบายไว้ว่าภาวะในตัว คือ เกิดมาอย่างไรก็พอใจอยู่แค่นั้น ไม่มีความใฝ่ฝันทะเยอทะยานจะให้ได้ดิบได้ดีอะไรขึ้นมามากกว่าที่เป็นอยู่ ก้อนหินมันอยู่ของมันอย่างนั้นได้เพราะมันไม่มีสมรรถนะตัดสินใจเลือกอะไรที่ดีกว่านั้นหรือเลือกอะไรที่เลวกว่านั้น มันจึงไม่เดือดร้อนที่จะอยู่ต่อไปอย่างนั้นอย่างมีความสุขตามประสาของมัน ผิดกับมนุษย์ที่มีสมรรถนะเลือกว่าจะอยู่อย่างเดิมก็ได้ จะปรับตัวให้ดีกว่าเดิมก็ได้หรือจะปล่อยตัวให้เลวลงกว่าเดิมก็ได้ มนุษย์รู้อย่างนี้แล้วไม่ยอมเลือกไม่ได้ เพราะ “การเลือกเป็นกิจกรรมของมนุษย์” ต้องเลือกจึงจะมีความสุขเพราะได้ทำกิจกรรมเยี่ยงมนุษย์พึงกระทำ หากไม่เลือกนับว่าฝืนธรรมชาติของมนุษย์ จะเกิดอาการเบื่อ เซ็ง เหงา หงุดหงิด อะไรผ่านมาก็ไม่พอใจทั้งสิ้น เป็นอาการทางประสาทของผู้ทำผิดธรรมชาติมนุษย์ อยากมีความสุขอย่างก้อนหินก็มีไม่ได้ ความสุขตามประสามนุษย์ที่มีได้ก็ไม่คิดไขว่คว้า กลายเป็นคนอมทุกข์

สัญชาตญาณพืชทำให้มนุษย์สามารถหาผลประโยชน์อย่างเอาเปรียบได้กว้างไกลและลึกซึ้งด้วยเล่ห์เหลี่ยมหลอกลวงได้เกินกว่าที่พืชจริงๆ ทั้งหลายจะทำได้ แต่การได้เปรียบอย่างนี้สุดท้ายย่อมกลายเป็นการเสียเปรียบ เพราะหากเขาจะใช้ศักยภาพสักเท่าไรเพื่อขยายผลทางได้เปรียบเช่นนั้น ผลลัพธ์จะกลับตาลปัตรเป็นการเสียเปรียบได้โดยง่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือ เขาจะมีทุกข์ที่พืชไม่อาจจะรู้จัก คือทุกข์ในฐานะที่เป็นมนุษย์ซึ่งควรจะมีความสุขที่สูงกว่านั้น แต่เขาพยายามฝืนธรรมชาติของเขาให้อยู่แค่ระดับพืช ซึ่งไม่ใช่ธรรมชาติแท้ของเขา มีการขัดแย้งในจิตใจเกิดขึ้น ซาตร์เรียกว่า “อัญภาวะ” (alienation) เขาจึงไม่มีวันจะมีความสุขอย่างสงบจนกว่าเขาจะตระหนักรู้สำนึก และตัดสินใจเปลี่ยนเป้าหมายของชีวิตให้สูงขึ้นถึงขั้นความสุขแท้ตามความเป็นจริง อัญภาวะเป็นสิ่งที่เกิดมากใจคนรุ่นใหม่ พวกเขาถูกชี้นำให้หาทางได้เปรียบเพื่อมีเงินมาก ๆ แต่เมื่อทำตามแล้วกลับไม่มีความสุข ต้องไปแสวงหาความสุขที่สูงกว่าต่อไป
สัญชาตญาณอารักขายีนมีพลังดิ้นรนมหาศาล เป็นพลังดิบที่น่ากลัวมาก สมัยโบราณมีการยกทัพใหญ่ไปรบราฆ่าฟันเพียงเพื่อแย่งชิงหญิงสาว เช่น สงครามกรุงทรอย การทุ่มพลังและความรุนแรงเพื่อถ่ายเทและปกป้องยีนอันเป็นความสุขของสัญชาตญาณอารักขายีน จึงให้ความสุขตามระดับของมันคือ ระดับสัตว์โลก หากเป็นสัตว์โลกอื่น ๆ ที่ไม่ใช่มนุษย์ก็เป็นความสุขแท้ตามความเป็นจริงของมัน หากมนุษย์จะยึดมันเป็นความสุข อย่างไรเสีย ก็ไม่ใช่ความสุขแท้และเป็นอัญภาวะเช่นกัน มนุษย์มีความสุขที่แท้กว่านั้น เป็นความสุขของมนุษย์ที่สัตว์โลกชนิดอื่นไม่อาจมีได้
จิตนิยมย่อมเชื่อได้ว่าสสารมีจิต แต่สสารต้องการความสุขตามสัญชาตญาณสสาร คืออยู่เฉยๆ การคิดของสสาร ถ้ามีคงใช้เวลาคิดตัดสินใจได้ตามค่าครึ่งอายุของมัน เพราะเป็นการเปลี่ยนแปลงที่มนุษย์พอจะสังเกตเห็นได้ พืชมีจิตอย่างพืช แต่มันก็ต้องสนองตอบสัญชาตญาณพืช ดังนั้นมันจึงคิดและตัดสินใจเรื่องเติบโต ถ้าจะตายก็ต้องรีบตัดสินใจว่าจะทิ้งใบ หรือเร่งยื่นรากไปให้ยาวที่สุด หรือถ้าตัดสินใจช้าไปก็ตายเสียก่อน สัตว์มีสัญชาตญาณอารักขายีน มันจึงคิดและตัดสินใจตามความอยากของตัวมันเองอย่างเต็มกำลัง แม้แต่สัตว์ในสายพันธุ์ต่ำๆ ยังตัดสินไปตามสัญชาตญาณของมัน ไม่เคยท้อถอยแม้เสี่ยงภัยก็ยอมซึ่งสัตว์ย่อมมีสัญชาตญาณอยู่รอด การเสี่ยงภัยจึงเป็นการคิดและตัดสินใจที่จะไม่ทำตามสัญชาตญาณปกติของสัตว์ ซึ่งเปรียบเทียบได้กับเจตจำนงเสรี (free will) สัตว์จึงอาจมีเสรีภาพที่จะตัดสินใจว่าจะทำหรือไม่ทำตามสัญชาตญาณก็ได้ ตัวอย่างเช่น แมวมีสัญชาตญาณเป็นศัตรูกับหมา แต่ก็มีแมวกับหมาที่อยู่ด้วยกันได้ แสดงว่ามันมีสิ่งที่ฝืนสัญชาตญาณเช่นกัน แต่เรียกสิ่งนั้นว่าสำนึกอย่างสัตว์ (psyche) เป็นความฉลาด แต่ไม่ถึงระดับปัญญา สัตว์สามารถฝืนพฤติกรรมหรือสัญชาตญาณได้ จึงฝึกฝนได้ เมื่อเทียบกับพืชซึ่งมีเพียงชีวิต มีเพียงเจตจำนงอยู่รอด (will to survive) ดังนั้นมันจึงเพียรที่จะเติบโต ไม่ตาย พืชไม่ได้ตัดสินใจได้เองว่ามันจะโตไปถึงไหน หรือควรหยุดโต มันเติบโตไปเรื่อยๆ ตราบเท่าที่มีปัจจัยเกื้อหนุนชีวิต ไม่มีปัจจัยเมื่อใดมันก็หยุดคือตายลง ไม่ได้เป็นแม้กระทั่งจำศีล ดังนั้นการเล่นดนตรีให้พืชฟังจึงเป็นปัจจัยเสริมสำหรับชีวิตในการเติบโต ดนตรีมิได้ทำให้พืชพอใจในความเพราะได้ แต่สัตว์จึงมีสิ่งนี้ มนุษย์ก็มีเช่นกันแต่ปัจจัยต่างๆ เหล่านี้ถึงกับมีศักยภาพในการกระตุ้นสมรรถนะคิดของมนุษย์ให้คิดพัฒนาจนได้ความรู้ต่างๆ มากมายเพื่อใช้ในการตัดสินใจ
มนุษย์ประกอบด้วยสสารและแบบ ทำให้เกิดปัญญา เมื่อมีปัญญาย่อมมีสัญชาตญาณปัญญา อันเป็นสัญชาตญาณระดับสูงสุดของมนุษย์ คือสูงกว่าสัญชาตญาณก้อนหิน สัญชาตญาณพืช และสัญชาตญาณอารักขายีน และเป็นสัญชาตญาณที่มีในชีวิตมนุษย์แต่ละคนอยู่แล้ว แต่มนุษย์ในฐานะเป็นบุคคลมีปัญญาจึงมีสัญชาตญาณทั้ง 4 ที่แข่งขันกันทำหน้าที่เป็นผู้นำ และใช้สัญชาตญาณอื่นๆ เป็นผู้ตาม มนุษย์พึงใช้ปัญญาหาความสุขตามสัญชาตญาณปัญญาเพื่อแสดงความฉลาดแท้ของตน ยิ่งกว่านั้นพึงใช้ปัญญาให้ฉลาดขึ้นไปอีกคือ ใช้วิกฤติให้เป็นโอกาส โดยหลอกล่อให้สัญชาตญาณระดับต่ำในตนคือ หลอกล่อสัญชาตญาณก้อนหินที่ชอบรับบริการโดยให้มันดูแลร่างกายให้ดูสดสวยงดงาม แต่ขณะเดียวกันมนุษย์ก็ได้ความสุขตามสัญชาตญาณปัญญา หลอกล่อสัญชาตญาณพืชที่ชอบกอบโกยอาหารใส่ตนโดยให้หาอาหารบำรุงร่างกายตนและแสวงหาประโยชน์ต่างๆ มาเตรียมพร้อมไว้สำหรับการแสวงหาขั้นสูงที่จะให้มนุษย์ได้ความสุขตามสัญชาตญาณปัญญาอย่างไม่อั้นต่อไป รวมถึงหลอกล่อสัญชาตญาณอารักขายีน ให้ได้มีความสุขตามสัญชาตญาณของมันให้ต่อยอดของความรัก ความเป็นมิตร และการอยู่ร่วมกันดุจพี่น้อง อันจะทำให้มันบริการมนุษย์ได้ความสุขตามสัญชาตญาณปัญญา สัญชาตญาณระดับต่ำกว่าปัญญาทั้งสามล้วนแต่ระดมความเห็นแก่ตัว เพื่อความอยู่รอดของแต่ละตัวตนที่ใช้สัญชาตญาณอย่างยึดมั่นถือมั่น หากกระทบกระทั่งกันก็จะทำลายกันและกัน และถึงขั้นทำลายตัวตนของตนเองก็ได้ จึงถือเป็นปฏิปักษ์ต่อคุณธรรมและความสุข มนุษย์มีสัญชาตญาณปัญญาจึงพยายามหาโอกาสแสดงตนว่าไม่เหมือนสัตว์เดรัจฉานทั้งหลาย ไม่เหมือนแม้สัตว์ชั้นสูงที่มีรูปร่างทรวดทรงเหมือนกับตนแต่ไม่พัฒนาเป็น มนุษย์ คือ สามารถฝืนไม่เอาด้วยกับสัญชาตญาณที่ต่ำกว่า เช่น ฝืนสัญชาตญาณก้อนหินที่มีความสุขกับการอยู่เฉย ๆ โดยการออกไปหาอาหาร เดินเล่น ฝืนสัญชาตญาณพืชที่เน้นกอบโกยโดยแบ่งส่วนอาหารดี ๆ ที่ตนอยากกินแก่บุตรภรรยา ฝืนสัญชาตญาณอารักขายีนที่มุ่งถ่ายทอดยีนให้มากที่สุด เป็นการเลือกคู่ที่ตนพึงใจและรักเฉพาะคู่ของตน ในขณะเดียวกันก็อาจฝืนสัญชาตญาณปัญญาโดยตัดสินใจทำแปลกแหวกแนวได้ไปจากคนอื่นๆ ได้ จนสัญชาตญาณมีการพัฒนาตัวเองเป็นกระบวนทรรศน์ทางปัญญา
