๖. ต่อยอดด้วยปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง
อนุสนธิจากการที่ผู้เขียนได้ทุนไปเรียนวิชาปรัชญาในต่างประเทศเป็นเวลา ๗ ปี กลับมามีส่วนจัดทำและสอนหลักสูตรปริญญาเอกปรัชญาดุษฎีบัณฑิตมาแล้ว ๖ แห่ง คือ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย , มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ ,มหาวิทยาลัยเซนต์จอห์น , มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา , มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย และมหาวิทยาลัยมหากุฎราชวิทยาลัย
เคยเป็นประธานอนุกรรมาธิการศีลธรรม คุณธรรม จริยธรรม ของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ปัจจุบันเป็นผู้อำนวยการหลักสูตรปรัชญาดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชาปรัชญาและจริยศาสตร์ ของมหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา เป็นราชบัณฑิตทำหน้าที่ประธานคณะบรรณาธิการจัดทำสารานุกรมปรัชญาฉบับราชบัณฑิตยสถาน เป็นหนึ่งในคณะบรรณาธิการจัดทำสารานุกรมวิสามานยนามศาสนาสากล ฉบับราชบัณฑิตยสถาน เป็นอนุกรรมาธิการศีลธรรม คุณธรรม จริยธรรม วุฒิสภาเป็นที่ปรึกษาประธานคณะกรรมาธิการการศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม สภาผู้แทนราษฎร ได้เขียนตำรา บทความ และงานวิจัยทางปรัชญาและจริยศาสตร์ไว้แล้วจำนวนมาก
ท้ายสุดเมื่อวันที่ ๑๗ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๕๖ ได้อ่านหนังสือชื่อ “จากปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงสู่การปฏิบัติ…กว่า ๑ ทศวรรษ” เมื่อนำกลับไปบ้านแล้วก็พลิกอ่านทุกหน้าอย่างสนใจยิ่ง เพราะมีคำว่า “ปรัชญา” ซึ่งเป็นความรู้ที่ใช้ทำมาหากินมาตลอดชีวิต และมีเป้าหมายระบุว่า เพื่อ“ความสุข…มีภูมิคุ้มกัน” ซึ่งตรงกับงานใหม่ที่ได้รับความไว้วางใจจากสำนักงานใต้ร่มพระบารมี ให้คิดและทำให้เป็นวาระแห่งชาติ ครั้น “ฐานเศรษฐกิจ” เสนอให้เนื้อที่ในการเสนออะไรก็ได้ที่เป็นความคิดใหม่ในสังคมไทย ก็คิดออกทันที่ว่าไม่มีอะไรจะเหมาะกับสถานการณ์ได้ดีเท่าช่วยนโยบายเศรษฐกิจพอเพียง โดยขยายส่วนที่เป็นปรัชญาที่ผู้เขียนถนัด คือ ปรัชญาพาสุข ประยุกต์ใช้กับเศรษฐกิจพอเพียง ซึ่งมีเรื่องจะขยายผลได้มากมาย
พิจารณาจากหน้า ๙ ของหนังสือดังกล่าวให้นิยาม “ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง” ที่ได้รับพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้นำออกเผยแพร่ตั้งแต่วันที่ ๒๙ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๒ เพื่อเป็นแนวทางปฏิบัติของทุกฝ่ายและประชาชนทั่วไป
“เศรษฐกิจพอเพียงเป็นปรัชญาชี้ถึงแนวการดำรงอยู่และปฏิบัติตนของประชาชนในทุกระดับ ตั้งแต่ระดับครอบครัว ระดับชุมชน จนถึงระดับรัฐ ทั้งในการพัฒนาและบริหารประเทศให้ดำเนินไปในทางสายกลาง โดยเฉพาะการพัฒนาเศรษฐกิจเพื่อให้ก้าวทันต่อโลกยุคโลกาภิวัตน์ ความพอเพียงหมายถึงความพอประมาณ ความมีเหตุผล รวมถึงความจำเป็นที่จะต้องมีระบบภูมิคุ้มกันในตัวที่ดีพอสมควรต่อการมีผลกระทบใดๆ อันเกิดจากการเปลี่ยนแปลงทั้งภายนอกและภายใน ทั้งนี้ จะต้องอาศัยความรอบรู้ ความรอบคอบและความระมัดระวังอย่างยิ่ง ในการนำวิชาการต่างๆ มาใช้ในการวางแผนและการดำเนินการทุกขั้นตอน และขณะเดียวกันจะต้องเสริมสร้างพื้นฐานจิตใจของคนในชาติ โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่ของรัฐ นักทฤษฎี และนักธุรกิจในทุกระดับให้มีสำนึกในคุณธรรม ความซื่อสัตย์ สุจริตและให้มีความรอบรู้ที่เหมาะสม ดำเนินชีวิตด้วยความอดทน ความเพียร มีสติ ปัญญาและความรอบคอบเพื่อให้สมดุลและพร้อมต่อการรองรับการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและกว้างขวางทั้งด้านวัตถุ สังคม สิ่งแวดล้อมและวัฒนธรรมจากโลกภายนอกได้เป็นอย่างดี”
บรรทัด ๑ ระบุชัดเจนว่า “เศรษฐกิจพอเพียงเป็นปรัชญา ชี้ถึงแนวทางการดำรงอยู่และปฏิบัติตนของประชาชนในทุกระดับ” ซึ่งชัดเจนว่าต้องเข้าใจให้ถึงระดับปรัชญาจึงจะหมดเปลือก และต้องประยุกต์สู่การปฏิบัติคือ จริยศาสตร์อันเป็นปรัชญาประยุกต์ว่าด้วยคุณธรรมแห่งความสุข
ที่มั่นใจได้ว่าต้องมีความสุข ก็เพราะเศรษฐกิจพอเพียงเป็นปรัชญาจริยะที่มีองค์ประกอบของคุณธรรมแม่บท (cardinal virtue) ครบถ้วนทั้ง ๔ ด้าน ของมาตรฐานสากล
๑. รอบคอบ รอบรู้ ตรงกับภาษาอังกฤษว่า prudence นักปรัชญากรีกเรียกว่า phronesis ซึ่งมีความหมายใกล้เคียงกับสัจจะมาก
๒. ความกล้าหาญ ตรงกับภาษาอังกฤษว่า fortitude นักปรัชญากรีกกำหนดไว้ว่า tharros ซึ่งมีความหมายใกล้เคียงทมะมาก
๓. พอเพียง ตรงกับภาษาอังกฤษว่า temperance, self-sufficing นักปรัชญากรีกกำหนดไว้ว่า metrispatheia ซึ่งมีความหมายใกล้เคียงกับขันติมาก
๔. ความเป็นธรรม ตรงกับภาษาอังกฤษว่า justice, fairness นักปรัชญากรีกกำหนดไว้ว่า dikaiosune ซึ่งมีความหมายใกล้เคียงกับทานะมาก
เห็นได้ว่า ๔ ด้านข้างต้นยังไม่ใช่คุณธรรมตามนิยาม แต่เป็นองค์ประกอบที่จำเป็นสำหรับคุณธรรมทุกข้อ หรือกล่าวด้วยสำนวนปรัชญาได้ว่า ใครมีคุณสมบัติ ๔ ประการนี้ เชื่อใจได้ว่ามีคุณธรรมครบถ้วนทุกข้อ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น
สรุปได้ว่า เจตนาของเศรษฐกิจพอเพียงนั้น ต้องการให้เข้าใจในทำนองปรัชญา และนำมาปฏิบัติในทำนองจริยศาสตร์ซึ่งเป็นปรัชญาประยุกต์ ทั้งปรัชญาและจริยศาสตร์ไม่อ้างประกาศิตของศาสนาใด แต่พร้อมสนับสนุนได้ทุกศาสนา ปรัชญาและจริยศาสตร์ที่สรรอย่างประณีตจะสนับสนุนโครงการเศรษฐกิจพอเพียงได้ทุกโครงการ เรื่องนี้ต้องขยาย
ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีศักยภาพเต็มที่ที่จะบันดาลความสุขแท้ตามความเป็นจริง จึงควรวิเคราะห์เชิงปรัชญากันเสียสักหน่อย
ความสุขคืออะไร
ตอบได้ง่าย ๆ ว่าความสุข (happiness) คือ ความรู้สึกดีต่อชีวิต และถ้ารู้สึกไม่ดีต่อชีวิตก็คือความทุกข์ใช่ไหม แต่ก็ไม่เสมอไป เพราะบางครั้งรู้สึกไม่ดีต่อชีวิตก็ไม่ถึงกับมีทุกข์เพราะเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยและเชื่อว่าในไม่ช้าก็จะผ่านไป ในใจจริง ๆ ก็ยังเป็นสุขอยู่ไม่ถึงกับมีทุกข์
“ ทำดีได้ดี (มีสุข) ทำชั่วก็ได้ (มีทุกข์) ” กับ “ ทำดีได้ดี มีที่ไหน ทำชั่วได้ดี มีถมไป ” ตอบว่าถูกทั้ง ๒ กรณี ผิดกันที่ว่ากรณีแรกต้องการความสุขแท้ตามความเป็นจริง ( Authentic Happiness According to Reality ย่อลงเป็น AHAR ) ส่วนกรณีหลังยอมรับเอาความสุขไม่แท้เข้าไปด้วย ความสุขไม่แท้ คือ ความสุขที่ไม่เดินตามความเป็นจริงแห่งความเป็นมนุษย์ ความสุขจึงแบ่งได้เป็น ความสุขแท้ กับ ความสุขไม่แท้ เพื่อให้มีเกณฑ์แบ่งได้จำเป็นต้องตกลงกันให้ชัดเจนเสียก่อนว่าความสุขคืออะไร มาถึงตอนนี้ตอบได้ไม่ง่ายเสียแล้ว เพราะมีผู้นิยามไว้แล้วมากมายเหลือเกิน เจ้าลัทธิและเจ้าสำนักปรัชญาทั้งหลายล้วนแต่เสนอนิยามไว้ชูโรง เพื่อเรียกร้องศรัทธาจากศิษยานุศิษย์ และเรียกคะแนนความนิยมจากผู้ยังไม่เป็นศิษย์ บางท่านก็คลุมไปถึงความสุขในโลกหน้าด้วยและสรุปว่าความสุขในโลกนี้เทียบกันไม่ติดกับความสุขในโลกหน้า อย่างไรเสียความสุขในโลกหน้าก็แท้กว่าความสุขในโลกนี้ (สูตรนี้ใช้ได้ดีสำหรับผู้เชื่อและศรัทราต่อโลกหน้า) บางท่านสร้างความนิยมโดยฟันธงว่าความสุขในโลกหน้าเป็นแผนลวงโลก ไม่มีจริง ความสุขแท้มีได้ในโลกนี้เท่านั้น (สูตรนี้ดีสำหรับคนไม่เชื่อโลกหน้า) ต่างฝ่ายต่างเสนอออกมาอย่างน่าสนใจเลือกทั้งนั้น ผู้ยังไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดก็เลยงงเลือกไม่ถูก ยิ่งรับฟังจากหลายฝ่ายยิ่งงงหนักขึ้นเข้าทำนองว่ามากหมอมากความ
ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงเพื่อความสุขแท้ตามความเป็นจริง (ปพส.) เพื่อตัดปัญญาความงงงวยเรื่องความสุขแท้และไม่แท้ของมวลมนุษย์ โดยเสนอนิยามความสุขอย่างกลาง ๆ เสียก่อน ซึ่งได้มาจากยุคสายกลาง (moderate postmodernism) เชื่อว่าจะทำให้ผู้ที่ไม่คิดจะฝักใฝ่ฝ่ายใด (nonpartisanism) ฟังแล้วสบายใจ หรือเมื่อฟังแล้วท่านพอใจจะทุ่มเทให้ฝ่ายใด ก็จะทุ่มเทได้อย่างสบายใจเช่นกัน เพราะท่านได้ตัดสินใจเองอย่างผู้รู้ ทำอย่างนี้สบายใจแน่ ๆ และภูมิใจด้วย
เรานิยามอย่างเป็นกลาง โดยอาศัยการศึกษาความเป็นจริงของมนุษย์ตามหลักวิชาการที่ยอมรับกันทั่วไปในขณะนี้ว่า ความสุขคือการได้ทำตามสัญชาตญาณ (Happiness is satisfying the instinct) ช้าก่อน ! อย่าเพิ่งโกรธทางศีลธรรม (moral indignation) เราจำกัดขอบข่ายนิยามของเราเฉพาะความสุขในโลกนี้เท่านั้นนะ อย่างเพิ่งเอาความสุขในโลกหน้ามาเกี่ยวข้อง จะทำให้วิเคราะห์ยาก ความสุขในโลกหน้าเอาไว้พูกันต่างหากอีกประเด็นหนึ่งจะดีกว่า
สิ่งต่าง ๆ ทั้งหลายในโลกนี้ล้วนแต่มีสัญชาตญาณด้วยกันทั้งสิ้น บางสิ่งมีสัญชาตญาณเดียว แต่งบางสิ่งมีถึง ๔ สัญชาตญาณ และสิ่งนั้น คือ มนุษย์ มนุษย์มี ๔ สัญชาตญาณ คือ สัญชาตญาณก้อนหิน (solid instinct) สัญชาตญาณพืช (vegetarian instinct) สัญชาตญาณอารักขายีน (gene vigilant instinct) และสัญชาตญาณปัญญา (rational instinct) ขณะใดทำตามสัญชาตญาณใดขณะนั้นก็มีความสุขตามระดับสัญชาตญาณนั้น ดังนั้นคติที่ว่า
“ ทำชั่วได้ดี มีถมไป ” จึงเป็นความสุขแท้ตามความเป็นจริงของสัญชาตญาณ ๓ ระดับแรก เฉพาะระดับสุดท้ายเท่านั้น จึงได้ความสุขแท้ตามความเป็นจริงของมนุษย์ผู้มีปัญญา จึงเป็นไปตามคติว่า “ ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ”
เรามาดูกันอย่างง่าย ๆ ใจเย็น ๆ เสียก่อนว่า มนุษย์เรานี่โชคดีจริง มีความสุขตั้ง ๔ ระดับชั้นในตัว เหมือนกับมีสวรรค์ ๔ ชั้น อยู่ในตัวให้เลือก อยากจะมีความสุขแบบไหนก็ชูสวรรค์ชั้นนั้นขึ้นในใจ และหาความสุขตามระดับนั้นได้ ง่ายจริง ๆ และมันก็คือความเป็นจริงในชีวิตของคนคนหนึ่งที่โชคดีเกิดมาเป็นคน เป็นเจ้าของสวรรค์ถึง ๔ ชั้น มีความสุข ๔ ระดับให้เลือก
๗. บทบาทการทำงาน
การทำงานของเราแบ่งการทำงานเป็น ๒ ส่วน คือ ส่วนศึกษาเพื่อหาความรู้ ความเข้าใจเทคนิคการพัฒนาคุณภาพชีวิตตามแนว Paradigm Shift เพื่อเตรียมวิทยากรให้แก่ทุกชุมชนที่ต้องการรู้เรื่องของเรา ส่วนที่ ๒ เป็นภาคประชาชน คือเสาะหาผู้สนใจมาฟังวิทยากรของเรา หรือหาโอกาสจัดเวทีให้วิทยากรของเราได้เผยแพร่หลักการ ทั้ง ๒ ส่วนเป็นผู้ที่ต่อมคุณธรรมทำงานแล้ว จึงเต็มใจทำทุกอย่างด้วยจิตอาสา
๘. คติพจน์ของเรา
๑. จงแสวงหาความสุขแท้ตามความเป็นจริง
๒. ความเป็นจริงแท้คือการพัฒนาคุณภาพชีวิต
๓. ไม่ก้าวหน้าก็ถือว่าถอยหลัง
๔. การได้พัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้อื่นคือการพัฒนาคุณภาพชีวิตของเราเอง
๕. อ้าฮ้า ! คือความสุขแท้ตามความเป็นจริง (Authentic Happiness According to Reality)

