อ.ดร.เอนก สุวรรณบัณฑิต
…
ปรัชญาการเมือง (political philosophy) มีความหมาย 2 นัย คือ
1) ปรัชญาการเมืองเป็นกระบวนการสะท้อนความคิดทางปรัชญา
- การจัดการชีวิตสาธารณะให้มีความเหมาะสม เหมาะควร
- การครุ่นคิดว่าสถาบันทางการเมืองแบบใดที่ดีที่สุด
- กิจกรรมทางการเมืองแบบใดที่ดีที่สุด
2) ศึกษาถึงชีวิตทางสังคมหรือชีวิตทางการเมืองของมนุษย์
- ปัญหาที่ปรัชญาการเมืองศึกษาในนัยนี้เป็นเรื่องของสังคม ( Society) และรัฐ ( The State ) ในแง่ของธรรมชาติ (Essence ) บ่อเกิด (Origin ) และคุณค่า ( Value ) ของรัฐและสังคม
การเมืองนั้นมีความหมาย2 ระดับ
- ในระดับแคบ คือ รัฐบาล (what governments do?) ซึ่งเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับเรื่องที่รัฐหรือรัฐบาลกระทำสิ่งใดขึ้นมา
- ในระดับกว้าง คือ ความสัมพันธ์ในสังคม (people exercising power over others) เป็นเรื่องที่คนในสังคมการเมืองใช้อำนาจต่อกัน
ความคิดทางการเมือง
การศึกษาพัฒนาการของความคิดทางการเมืองของนักปรัชญา นักคิด คนต่างๆในแต่ละยุคสมัยโดยคำนึงถึงบริบททางกาลเทศะว่ามีผลต่อทฤษฎี หรือหลักปรัชญาของนักปรัชญา นักคิด คนนั้นๆอย่างไรบ้าง รวมถึงได้รับอิทธิพลทางความคิดมาจากใคร อะไร อย่างไร
- ปรัชญาการเมืองคลาสสิก (Classical Political Philosophy)
- โสเครตีส เป็นผู้เริ่มต้น และสืบทอดผ่านมาทางเพลโตและอริสโตเติล
- การต่อสู้เพื่อดำรงรักษาและพัฒนาชุมชนขนาดเล็กให้มีความเจริญก้าวหน้าในการปกครองตนเอง มีเศรษฐกิจที่พึ่งตนเองได้ มีความสำเร็จในการจัดองค์การทางการเมืองการปกครอง ทางเศรษฐกิจและสังคม
- ปรัชญาการเมืองสมัยใหม่ (Modern Political Philosophy)
- เป็นปฏิกิริยาที่มีต่อผลของศาสนาคริสต์ที่แตกแยกออกเป็นนิกายต่าง ๆ
- ปฏิเสธโครงร่างปรัชญาการเมืองคลาสสิกว่าเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้
- ปรัชญาการเมืองในปัจจุบัน (Contemporary Political Philosophy)
- สังคมปัจจุบันถือว่า ความเห็นของโสเครตีสในเรื่องของความดี ความกล้าหาญ ความยุติธรรม ล้วนแต่เป็นเรื่องซึ่งไม่มีหลักเกณฑ์ที่ตายตัวหรือแน่นอนคงที่และไม่อาจพิสูจน์ให้เห็นจริงได้โดยหลักเกณฑ์แบบวิทยาศาสตร์
- หลักการของปรัชญาเมธีไม่ว่าจะเป็นโสเครตีส เพลโต หรืออริสโตเติล เป็นเสมือนเพียงระบบค่านิยม ในบรรดาค่านิยมทั้งหลายเหล่านั้น
การปกครองรัฐ
- องค์อธิปัตย์ (sovereign) เป็นผู้ทรงอำนาจสิทธิขาด ใช้อำนาจแทนคนทั้งหมด
- รูปแบบการใช้อำนาจนั้นมีหลากหลาย เช่น เผด็จการ ราชวงศ์ ผู้ปกครองสูงสุด สภา
- อุดมคติทางการปกครองนั้นรัฐ จะต้องมีระเบียบแบบแผนเดียว เป็นเอกภพภายใน นั่นคือ ทุกฝ่ายต้องทำหน้าที่ประสานสอดคล้องกันอย่างเป็นระบบเพื่อรักษาอำนาจขององค์อธิปัตย์คือ ออกกฎหมาย บังคับใช้กฎหมาย รักษาความสงบภายใน
- องค์อธิปัตย์มีหน้าที่ทำตามสัญญาประชาคมที่ได้ให้ไว้แก่ประชาชนว่าจะใช้อำนาจเพื่อรักษาสิทธิของประชาชนอย่างไร
- องค์อธิปัติย์ถือสิทธิเหนือสิทธิของประชาชนแต่ละหน่วย โดยมุ่งเน้นประโยชน์ส่วนรวม อำนาจบริหารถูกใช้โดยรัฐบาลบนหลักประสิทธิภาพ ประสิทธิผล
รูปแบบการปกครอง
- ราชาธิปไตย (Monarchy)
- ทรราชย์ (Tyranny)
- อภิชนาธิปไตย (Aristocracy)
- คณาธิปไตย (Oligarchy)
- ประชาธิปไตยแบบมวลชน (Democracy)
- ประชาธิปไตยแบบผสม (Polity)
ระบบการเมือง
- ระบบการเมืองปกครองแบบพ่อปกครองลูก (Patriarchal System)
- ระบบเจ้าครองนคร หรือระบบขุนนาง (Feudal System)
- ระบบจักรพรรดิ (Military System)
- ระบบสภา (Council-Court system)
อำนาจทางการเมือง
- อำนาจเด็ดขาด (Absolutism)
- Niccolo Machiavelli (1469-1527) แยกศีลธรรมออกจากการเมือง
- Jean Bodin (1530-1596) การปกครองด้วยความยุติธรรมและศีลธรรม แนวความคิด รัฐาธิปไตย (รัฐ + อธิปไตย)
- Thomas Hobbes (1588-1679) หลักเหตุผลว่าด้วยธรรมชาติของมนุษย์
- การเมืองแบบเสรีนิยม (Liberalism)
- John Locke (1632-1704) มนุษย์ในสภาวะธรรมชาติ ดีงาม มีน้ำใจ ชอบช่วยเหลือกัน ต้องไม่รุกล้ำสิทธิเสรีภาพของคนอื่น = สิทธิขั้นพื้นฐาน
- Charles-Louis de Secondat Montesquieu (1689-1755) แยกอำนาจเป็น 3 ฝ่าย executive, the legislative, and the judicial
- Jean Jacques Rousseau (1712-1778) มนุษย์เกิดมามีเสรี มี general will การแบ่งแยกต่างๆจึงทำให้เกิดกฎหมาย กฎหมายกับรัฐสร้างเครื่องพันธนาการแก่ผู้อ่อนแอ แต่เสริมสร้างพลังแก่ผู้มีอำนาจ
สัญญาประชาคม
- ธามเมิส ฮับบ์ (Thomas Hobbes,1588 – 1679) เผยแพร่ “ลัทธิพื้นฐานของสังคมกับรัฐบาลที่ชอบธรรม”
- ในขณะที่คนๆ หนึ่งที่อาจแข็งแรงหรือฉลาดกว่าใครๆ แต่ทุกคนมีสิทธิป้องกันตัวเพื่อเอาชีวิตรอดจากสิ่งใดก็ตามในโลก เป็นสิทธิ์และความจำเป็นตามธรรมชาติของมนุษย์ ในขณะสังคมมีสถานการณ์ของการแข่งขันที่ไม่มีการควบคุม มีแต่ความเห็นแก่ตัวและไร้อารยธรรม
- รัฐจึงต้องมีสัญญาประชาคม (Social contract) คือ ความตกลงร่วมกันของประชาชน กลุ่มผลประโยชน์ร่วมกันหรือกลุ่มคนที่มีแนวความคิดเดียวกันกับฝ่ายตรงข้ามเพื่อเป็นการแสวงความตกลงและทางออกของปัญหาซึ่งเป็นปัญหาที่มีผลกระทบในวงกว้าง ซึ่งหากปล่อยทิ้งไว้อาจจะก่อให้เกิดความแตกแยกในสังคม
- สัญญาประชาคมจึงถือเป็นกฎหมายธรรมชาติ (natural law) มีลักษณะเป็นสำนึกของจริยธรรมที่ผู้ปกครองควรตระหนักถึงสิทธิบางประการที่ผู้อยู่ใต้ปกครองได้ยอมสละไปเพื่อความปลอดภัยของตนในสิทธิและเสรีภาพที่ยังคงเหลืออยู่
- สัญญาประชาคมในฐานะกฎหมาย
- Rudolf von Ihering, (1818-1892)
- รัฐมีอำนาจในการเวนคืนและจำกัดสิทธิของเอกชน (individual) ในทรัพย์สินและเพื่อที่จะประสานระหว่างเอกชน (individual) กับสังคม (society) จำเป็นจะต้องสร้างความสมดุลระหว่างประโยชน์ ( interests) ต่าง ๆ ๓ ด้าน เข้าด้วยกัน
- จำเป็นต้องส่งเสริมกิจกรรมของสังคม (social activities) เพื่อจุดหมายของสังคม (social end)
ความรุ่งเรืองแห่งรัฐ
- ความเจริญรุ่งเรือง (Prosperity) – prosteritas ความหมายเดิมนั้นมุ่งเน้นความรุ่งเรืองด้านการเงิน การค้าขาย
- ในปัจจุบัน รัฐที่เจริญรุ่งเรือง หมายถึง รัฐที่มีความอุดมสมบูรณ์ มีความก้าวหน้า มีอนาคตที่ดี เป็นรัฐที่ประสบความสำเร็จ โดยมิได้หมายความเพียงแต่ด้านทรัพย์สินเงินทอง แต่ยังรวมไปถึงสุขภาวะความเป็นอยู่ของประชาชนและความสุขของประชาชน ซึ่งแสดงออกผ่านความรุ่งเรืองในด้านต่างๆ ที่สามารถสืบทอดต่อไปในระดับวัฒนธรรมและอารยธรรม
ความรู้คือพลัง
- ฟรานซิส เบเขิน ได้แสดงสโลแกนสำคัญคือ ความรู้คือพลัง (knowledge is power) และสอนให้มุ่งแสวงหาความรู้ที่แน่นอนเพื่อควบคุมธรรมชาติให้ตอบสนองตามความต้องการของเราเป็นเกณฑ์เพราะนั่นคือความรู้และพลังของมนุษย์
- วิทยาศาสตร์ที่เจริญขึ้นได้สร้างเทคโนโลยีสมัยใหม่ที่มนุษย์นำมาใช้สร้างความได้เปรียบเหนือธรรมชาติ และใช้เพื่อความได้เปรียบเหนือผู้ที่ไม่มีเทคโนโลยีสมัยใหม่เสมอกัน
- การล่าอาณานิคมและระบบจักรวรรดินิยม
ประโยชน์นิยม
- หลักหลักมหสุข (The Greatest Happiness Principle)
- คนทุกคนมีค่าเท่ากับหนึ่งและไม่มีใครมีค่ามากกว่าหนึ่ง
- คนทุกคนมีสิทธิในความสุขเท่า ๆ กัน
- Jeremy Bentham, (1748- 1832)
- ลัทธิประโยชน์นิยมแบบการกระทำ (Act-Utilitarianism) โดยมีแนวคิดว่า การกระทำที่จะถือว่าถูกได้นั้น จะต้องเป็นการกระทำที่ก่อให้เกิดความสุขแก่มหาชน ความผิดของการกระทำอยู่ที่ก่อให้เกิดความทุกข์แก่มหาชน
- John Stuart Mill, (1806 –1873)
- ลัทธิประโยชน์นิยมเชิงกฎ (Rule -Utilitarianism) หมายถึง ไม่ต้องพิจารณาการกระทำในแต่ละครั้ง แต่ให้พิจารณาว่าถ้าทุกคนกระทำเหมือนกันประโยชน์สุขจะเกิดขึ้นอย่างมาก เมื่อพิจารณากฎหมายแล้ว กฎหมายมีไว้เพื่อเป็นประโยชน์ต่อมหาชน แต่ถ้าเราต้องการช่วยเหลือชีวิตคน บางครั้งก็ต้องยอมละเมิดกฎหมาย
ทุนนิยม (capitalism)
- ทุกคนทำเพื่อประโยชน์ส่วนตนแล้ว ในที่สุดจะเกิดประโยชน์ต่อส่วนรวม
- ทุนนิยมพยายามกระตุ้นให้ผู้คนเกิดความเห็นแก่ตัวหรือใช้ความเห็นแก่ตัวเป็นพลังขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้เจริญก้าวหน้า ทั้งในแง่การผลิต การจำหน่ายจ่ายแจกและการบริโภค ทั้งหมดนี้จะทำให้เกิดสิ่งที่เรียกว่าความเจริญในที่สุด เป็นความเจริญโดยเกิดจากสิ่งที่เรียกว่า “มือที่มองไม่เห็น” (invisible hand)
ลัทธิสังคมนิยมประชาธิปไตย
- Karl Marx (1818 –1883)
- รัฐเป็นสิ่งไม่จำเป็นสำหรับสังคมมนุษย์ เพราะรัฐกำเนิดขึ้นเนื่องจากโครงสร้างทางการผลิตที่เปิดโอกาสให้มีคนผู้เป็นเจ้าของปัจจัยการผลิต และคนกลุ่มนี้สร้างอำนาจขึ้นมากดขี่ขูดรีด และรักษาสถานภาพของตนไว้
- ดังนั้น ถ้าเป็นสังคมที่มีวิธีการผลิตแบบไม่มีใครเป็นเจ้าของปัจจัยการผลิต ความแตกต่างทางชนชั้นก็หายไป รัฐก็พลอยหายไปด้วย
จุดเปลี่ยนทางการเมืองโลก
- จุดสะดุดสำคัญคือ สงครามโลกครั้งที่ 1 ระหว่าง ค.ศ.1914-1918 ชนวนสำคัญคือนโยบายจักรวรรดินิยมที่แย่งชิงการมีอิทธิพลเหนือผลประโยชน์ในดินแดนต่างๆ จนมีกองกำลังเสียชีวิตรวม 10 ล้านคน บาดเจ็บ 20 ล้านคน สูญหาย 8 ล้านคน และจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการี จักรวรรดิออตโตมัน จักรวรรดิเยอรมันต้องล่มสลายลง
- จุดสะดุดที่เป็นฟางเส้นสุดท้ายบนหลังลาคือ สงครามโลกครั้งที่ 2 ระหว่าง ค.ศ. 1939-1945 กองกำลังเสียชีวิตรวม 24 ล้านคน พลเรือนเสียชีวิต 49 ล้านคน
- สงครามเย็น
- ความตึงเครียดทางการเมืองและการทหารหลังสงครามโลกครั้งที่สองระหว่างประเทศในกลุ่มสหรัฐอเมริกา พันธมิตรนาโต้ และประเทศในสหภาพโซเวียตและพันธมิตรในสนธิสัญญาวอร์ซอ
- พยายามสร้างแสนยานุภาพทางการทหารของตนไว้ข่มขู่ฝ่ายตรงข้าม โดยประเทศมหาอำนาจจะไม่ทำสงครามกันโดยตรง แต่จะสนับสนุนให้ประเทศพันธมิตรของตนเข้าทำสงครามแทน (proxy War)
- สงครามตัวแทน
- ค.ศ. 1950 สงครามเกาหลี
- ค.ศ. 1959 การปฏิวัติคิวบา
- ค.ศ. 1957-1975 สงครามเวียดนาม
- ค.ศ.1979 สงครามอัฟกานิสถาน
- ค.ศ. 1991 การยุบสหภาพโซเวียต
- ความขัดแย้งด้านอุดมการณ์
- ความขัดแย้งผลประโยชน์ของชาติ
- ช่องว่างแห่งอำนาจทางการเมือง
- การเผยแพร่และการโฆษณาชวนเชื่อ
- การแข่งขันทางการทหาร
- การให้ความช่วยเหลือทางเศรษฐกิจ
- นโยบายทางการทูต
- การแข่งขันทางวิทยาการและเทคโนโลยี
ความรู้คืออำนาจ
ฟูโกล์ (Michel Foucault, 1926-84) ได้ย้อนแย้งเอาไว้ว่าที่แท้แล้ว knowledge is power นั้นไม่ใช่พลังหากแต่เป็นอำนาจ มนุษย์สะสมความรู้ก็เพราะมนุษย์มองว่าความรู้คืออำนาจ เนื่องจากความรู้นั้นยึดโยงอยู่กับระบบของการควบคุมสังคมในช่วงนั้น ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งความรู้เป็นพลังของนักการเมืองที่ใช้ลวงประชาชนเพื่อรักษาอำนาจการปกครองของตน นั่นคือ ที่มาของความขัดแย้ง ความรุนแรง และสงครามที่ใช้เทคโนโลยีและความรู้ต่าง ๆ เข้าทำลายล้างห้ำหั่นกัน