ผศ.(พิเศษ) ดร.เอนก สุวรรณบัณฑิต
ทุกวันนี้เวลาเราถามว่า “ทำอะไรไปเพื่ออะไร” มันตอบกันไม่ค่อยได้ กลายเป็น “ทำเพราะมันทำ” “ทำเพราะต้องทำ” “ทำเพราะเป็นหน้าที่” หรือ “ทำเพราะเขาบอกให้เราทำ” การวิจักษ์ถึงผลของสิ่งที่ทำจะเป็นเหตุผลว่าทำไมเราถึงทำเรื่องนี้ เรื่องนี้มันดีอย่างไร เรื่องนี้มีประโยชน์อย่างไร ตรงนี้คือส่วนสำคัญ การวิเคราะห์แต่ละคนอาจจะวิเคราะห์เรื่องต่าง ๆ ไม่เหมือนเราได้ ถ้าเราวิเคราะห์มาแล้วเสนอวิจักษ์ให้เด่น ชัดเจน เราจะบอกได้ว่าเรื่องที่เราทำมันดีอย่างไร เรื่องที่จะอธิบายมันถึงจะน่าอ่าน เพราะฉะนั้นส่วนวิจักษ์ คือ ส่วนสำคัญของการชี้แจงอธิบายในเรื่องต่าง ๆ
ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงเป็นเรื่องที่ดูเหมือนจะวิจักษ์ได้ง่าย แต่จริง ๆ ทำได้ยาก ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงถูกมองเป็น 2 มุม คือ ในฐานะปรัชญาพื้นฐาน เป็นหลักการซึ่งเอาไปออกยุทธศาสตร์ กำหนดนโยบาย อีกส่วนหนึ่งคือส่วนที่เอาไปประยุกต์ใช้ อุดรอยรั่ว แก้ปัญหา เป็นแผนกลยุทธ์ แผนปฏิบัติงาน อันนี้เป็นปรัชญาประยุกต์ ซึ่งตรงส่วนนี้เราต้องแยกให้ออกว่าปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงที่เราสนใจเกี่ยวข้องกับส่วนไหนกันแน่หรือทั้ง 2 ส่วน เราจะเห็นว่าในยุทธศาสตร์ชาติกล่าวถึงเรื่องปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ตรงนี้เอาในส่วนที่เป็นปรัชญาพื้นฐานไปออกนโยบาย แต่พอลงปฏิบัติในระดับแผนกลยุทธ์ก็หายไป ไม่ชัดเจน เพราะว่าความเป็นปรัชญามันหาย มันกลายเป็นเพียงแค่แผนปฏิบัติการ (action plan) ซึ่งตัวความประยุกต์ใช้ (วิธาน) หายไป ส่วนที่จะเอาไปอุดรอยรั่วได้กลายเป็นว่าหายไป ซึ่งจุดนี้เป็นจุดที่เราต้องแยกให้ออกว่าปรัชญามี 2 ส่วน ส่วนที่เป็นแนวคิด ส่วนที่เป็นหลักการ แล้วก็ส่วนที่เป็นการปฏิบัติ ซึ่งการปฏิบัติเราใช้คำอยู่แล้วว่า “ปัญญาปฏิบัติ” (phronesis) คือ ปฏิบัติอย่างมีปัญญา ซึ่งคำนี้พอเป็นภาษาไทยเป็นคำว่า “รอบคอบรอบรู้” เวลาที่เป็นปัญญาปฏิบัติคือ เราทำอย่างรอบคอบรอบรู้ ตรงนี้ในส่วนนี้มันคืออะไรกันแน่ ไม่ใช่มีความรู้เยอะๆ แล้วเรียกว่ารอบคอบ มันก็ไม่ใช่ ถ้าตรงส่วนนี้ได้ขยายก็จะทำให้คนเข้าใจประเด็นพวกนี้มากขึ้น เพราะว่าสังคมไทยเป็นสังคมที่เหมือนเป็นนักเรียนที่ชอบเลียนแบบ เราชอบไปดูงานแล้วเลียนแบบ เวลาที่มีต้นแบบมาอย่างที่ กอปร. ทำต้นแบบภาพปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง มันทำให้คนไทยไม่คิดต่อ การที่เราจะคิดเพิ่มเติมมันหายไปเลย กลายเป็นว่าเราไม่คิดต่ออะไรเลย เหมือนว่ามีผู้รู้เป็นนักปราชญ์ใหญ่ออกมาแล้ว แล้วก็จบ ไม่สามารถประยุกต์ต่อได้ เวลาลงไประดับประยุกต์แล้วมันหาย ตรงส่วนนี้ถ้าเราวิเคราะห์และวิจักษ์ได้เราจะพบว่ามีส่วนที่สำคัญอีกหลายตัว
เราจะเห็นภาพปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงในส่วนที่เป็นฐานของปรัชญา สมดุลพร้อมรับการเปลี่ยนแปลง ตรงนี้คือ คุณค่า เพราะว่าถ้าเราเรียนคุณวิทยา ในโลกที่ไม่สมบูรณ์พร้อม (imperfect world) คือโลกนี้เป็นโลกที่ไม่เพอร์เฟคท์ แต่ว่าเป้าหมายของปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงคือ ทำให้มันสมดุล ซึ่งคำว่าสมดุล (balancing) มันเป็นคุณค่าสำคัญของโลกที่ไม่สมบูรณ์นี้ โลกที่ไม่สมบูรณ์แบบนั้นเราทำอะไรมันก็ต้องมีผิดพลาดบ้าง เพราะฉะนั้นในปรัชญาของเศษฐกิจพอเพียงพูดคำว่า สมดุล ไว้ซึ่งอันนี้คือ ระบบคุณวิทยา แล้วในโลกที่ไม่สมบูรณ์นี้ด้วยความที่ว่ามีองค์ประกอบเยอะ จุดที่เราต้องมองถัดไปคือคำว่า ความกลมกลืน (harmony) ถ้าเราจะทำสมดุล มันต้องกลมกลืน ถ้ามันกลมกลืนปั๊บ มันจะทะลวงปัจจัยภูมิศาสตร์ เพราะความกลมกลืนมันเกิดขึ้นตามบริบทพื้นที่ เราทำให้สมดุลตามพื้นที่คือ เราทำให้สมดุลและกลมกลืน อันนี้ถึงจะเป็นคุณค่าสำคัญในการประยุกต์ใช้ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง
ส่วนที่อยากจะเน้นก็คือ ถ้าปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงเป็นปรัชญาจริยะ จริยก็คือ ความประพฤติ โดยที่มีความมุ่งหวังว่าเราจะประพฤติดีเพื่อความสุข คือ ทำดีแล้วเรามีความสุข ในส่วนนี้ปรัชญาตะวันตกที่พูดเรื่องนี้เยอะคือ ช่วงปลายของปรัชญากรีก-โรมัน พูดเรื่องปรัชญาความสุข 6 สำนัก เช่น การมีความสุขแบบพอเพียงแบบสโตอิก ซึ่งสมัยแรกๆ ถ้าจำกันได้ที่ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงเผยแพร่ออกมา ทุกคนจะมองว่าเศรษฐกิจพอเพียงเป็นเรื่องสันโดษ อยู่อย่างประหยัด ซึ่งแบบนี้คือ สำนักในปรัชญากรีก 6 สำนักช่วงท้าย ถ้าเราชี้ให้เห็นว่ามีปรัชญาความสุข 6 สำนักนี้อยู่ ทำให้เวลาใครฟังเรื่องนี้มันจะเกิดความคิดอยู่ 6 อย่าง คือ ความสุขจากการแสวงหาเพื่อให้แก่ตัวเองเต็มที่ ความสุขเกิดจากการพิจารณาแล้วว่าต้องให้ตนมีความสุขตลอดทั้งชีวิต เช่นทุกวันนี้เราพูดกันเรื่องเงินหลังเกษียณ พูดถึงว่าเราต้องมีเงินอีกกี่ล้านกว่าเราจะเสียชีวิต พวกนี้คือสำนัก Epicurean มันมีสำนักพวกนี้ ซึ่งพวกนี้มันเป็นฐานคิดของเศรษฐศาสตร์อีกทีนึง เพราะเศรษฐศาสตร์มีฐานของมันคือ จะอยู่อย่างมีความสุขอย่างไร มันก็มีแนวคิดอยู่ 6 ความสุข
แนวคิดอยู่ 6 สำนัก สำนักสโตอิกคือ อยู่อย่างอดทน อยู่อย่างประหยัด อยู่อย่างสันโดษ ซึ่งเป็นวิถีของพวกนักพรต สำนักแบบไซนิค (cynicism) มีเท่าไหร่ใช้หมดคือ แสวงหาเอาข้างหน้า มันมีคนคิดแบบนี้อยู่ในสังคมไทย คนบางคนนี่ไม่เก็บเลยมีก็ใช้ไปเรื่อยๆ เพราะเขาคิดว่าเขาแสวงหาได้ ใช้เพื่อสนองต่อความต้องการของตนเอง มีคนแบบนี้อยู่ในพื้นฐานของสังคม แล้วเขาก็คิดว่ามันถูกเลยใช้ชีวิตแบบนี้ การเสนอเรื่องเล่าแบบนี้มาก่อนจะอธิบายแนวคิดของเรา คนอ่านจะเข้าใจได้ว่ามันมีคนที่คิดแบบนี้ มีความสุขอยู่หลายแบบซึ่งมันมองง่าย ไม่ได้เป็นธรรมะแบบพุทธปรัชญา ซึ่งในพุทธก็พูดอยู่แต่ว่ามีศัพท์บาลีทำให้เข้าใจยาก ถ้าเราใช้ศัพท์ทั่วๆ ไปจะทำให้เห็นได้ว่าในมุมมองมนุษย์มีความสุขอยู่หลายแบบ แล้วก็ความสุขที่ปรัชญาพูด มันคือคำว่า happiness อย่างที่บอกว่าเป็นความสุขแบบใดกันแน่ สุขแบบเพลิดเพลินกายใจหรืออย่างไร happiness คือ ตอบตัวเองได้ว่ามีสุข กับความสุขที่เรียกว่า satisfaction ในทางจิตวิทยา satisfaction มันไม่ใช่ความสุขแต่เป็นการลดทอนความทุกข์ เพราะมนุษย์มีความต้องการจึงเกิดแรงบีบคั้น (tension) คือ ความกดดันในชีวิตทำให้เราต้องไปแสวงหา เช่น เราหิวเราก็ต้องไปหาอะไรกิน เพราะตราบใดที่เราไม่ได้กินเราก็จะหิว การที่เรากินไม่ใช่การที่เรามีความสุข มันทำให้เราไม่หิว เพราะฉะนั้นการใช้ชีวิตของเรา ตกลงเราแสวงหาความสุขแบบ happiness หรือเราแค่ลดทอนความทุกข์ ชีวิตมันจะดำเนินไป 2 แบบเลย คือ ใช้ชีวิตให้ดีเพื่อมีความสุขหรือใช้ชีวิตแค่ไม่ทุกข์ไม่เดือดร้อน เพราะหลายๆ คนมองปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง แค่ไม่ทุกข์ไม่เดือดร้อน ชีวิตที่ไม่เดือดร้อนมันก็ไม่มีความหมาย แค่ดำรงอยู่ไปรอวันตายหรือเปล่า ประเด็นนี้ต้องจุดขึ้นมาตั้งแต่ต้นว่าเราไม่ได้เกิดมาแค่รอวันตาย เพราะฉะนั้นแยกประเด็น happiness กับ satisfaction ออก ชี้ให้เห็นว่าเรากำลังมุ่งไปสู่เรื่อง happiness คือใช้ชีวิตให้ดีมีความสุข
ในประเด็นตรงนี้มีตัวย้อนอยู่ตัวหนึ่งคือสัญชาตญาณ 4 อย่าง ตัววิธีคิดของมันอาจจะต้องขยายเพิ่มเพราะว่าในระบบวิธีคิดมันคิดไว้คร่าวๆ ต้องขยายเพิ่ม คือ สัญชาตญาณเป็นสิ่งซึ่งไม่มีรูปลักษณ์ มันบอกไม่ได้ แต่มันเป็นพลังภายในที่เกิดจากการที่เรามีชีวิตอยู่ ถ้าไม่มีพลังนี้เราจะตาย เพราะฉะนั้นมันเป็นพลังในการมีชีวิตอยู่ สัญชาตญาณเป็นสิ่งซึ่งเขามองว่าเมื่อไหร่ที่เรามีชีวิตมันจะมีพลังนี้เป็นพื้นฐานเพื่อให้เราไม่ตาย แล้วสัญชาตญาณตรงนี้ก็คือ ตัวพื้นฐาน ดังนั้น การตอบสนองต่อพื้นฐานนี้เป็นแค่ satisfaction ซึ่งไปสอดคล้องกับทฤษฎีเรื่องความต้องการ คือ เราแค่ต้องการพื้นฐานตรงนี้เพื่อให้ไม่ตาย ดังนั้น ตัวสัญชาตญาณ 4 เองมันไม่ค่อยได้พูดเรื่อง happiness มันพูด satisfaction ก่อน แต่ตอบ satisfaction แล้วจึงจะไปเป็น happiness ได้ เพราะว่าถ้าเรายังทนใช้ชีวิตทนทุกข์ลำบากจะ happiness ยาก เราถึงต้องวิจักษ์คุณค่าที่นำไปสู่ความสุขให้ชัดเจนไม่ใช่แค่พิจารณาผ่านการวิเคราะห์ตามแนวคิดที่เราคิดว่าใช่เท่านั้น

