ดร.อุบาสิกา ณัฐสุดา เชี่ยวเวช ปร.ด.ปรัชญาและจริยศาสตร์

การรักษาศีล 8 ตีความด้วยปรัชญากระบวนทรรศ์ยุคกลาง มีความสมเหตุสมผลที่พึงพิจารณาด้วยแยบคาย ได้แก่ ศีล 8 เป็นเรื่องของศาสนาและเป็นข้อประพฤติของผู้รักษาพรหมจรรย์คือ ตัดแล้วซึ่งความสุขในโลกนี้ โดยมุ่งโลกหน้า มีพรหมโลกขึ้นไป

ความเป็นมาของศีล 8 หรืออุโบสถศีล สืบเนื่องจากสมัยก่อนพุทธกาลนั้นมีความเกี่ยวข้องกับแนวคิดว่าด้วยโลกหน้า มีปรากฏในชาดกและอรรถกถาชาดกต่าง ๆ เช่น ใน มฆเทวสูตร (ม.ม. 13/457/320) พระพุทธเจ้าทรงเล่าเรื่องพระเจ้านิมิราช ผลจากการที่พระเจ้านิมิราชทรงประพฤติธรรมและรักษาอุโบสถศีลทุกวัน 14 ค่ำ 15 ค่ำ และวัน 8 ค่ำแห่งปักษ์ เรื่องลือดังไปถึงสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ทำให้เหล่าเทพเทวดาทั้งหลายปรารถนาอยากจะเห็นพระองค์ จนท้าวสักกะจอมเทพต้องให้มาตลีเทพนำราชรถไปรับพาไปชมสวรรค์และนรก ทรงเสวยทิพย์สมบัติอยู่ในเทวโลกด้วยอัตตภาพมนุษย์ นานนับตามปีของมนุษย์ได้ 700 ปี ทรงเบื่อหน่ายทิพย์สมบัติขอกลับมายังโลกมนุษย์ ทั้งที่ท้าวสักกะขอให้อยู่เสวยสุขในหมู่เทพชั้นดาวดึงส์ ทรงตรัสว่าสิ่งใดที่ได้มาเพราะเหตุที่ผู้อื่นให้ สิ่งนั้นเปรียบได้กับยานพาหนะที่ยืมเขามา พระองค์ไม่ปรารถนา บุญทั้งหลายที่ทำเองจะเป็นทรัพย์เฉพาะตน ขออยู่ในหมู่มนุษย์จะทำกุศลให้มากด้วยการให้ทาน ประพฤติธรรมให้สม่ำเสมอ การสำรวมและการฝึกฝนอินทรีย์เป็นกรรมที่บุคคลทำแล้วมีความสุขและไม่ทำให้เดือดร้อนในภายหลัง และจะได้รักษาอุโบสถทุกวัน14 ค่ำ 15 ค่ำ และ 8 ค่ำแห่งปักษ์ต่อไป

ด้วยผลนี้เป็นเหตุให้เห็นคุณค่าของการรักษาศีล 8 ต่อมาได้มีการอธิบายขยายความให้เห็นคุณค่ายิ่งกว่า นั่นคือ การรักษาศีล 8 เป็นการรักษาศีลที่มีนัยยะว่า ต้องการบรรลุธรรมในขั้นพระอนาคามีและพระอรหันต์ พึงสังเกตได้จากศีลข้อที่ 3 ในศีล 8 ที่กล่าวว่า “อพฺรหฺมจริยา เวรมณี” เป็นอาการละเว้นจากการประพฤติที่ไม่เป็นพรหม กล่าวคือ การละเว้นจากการประพฤติที่ไม่ประเสริฐ แต่ให้ประพฤติในสิ่งที่ประเสริฐ

ศีลข้อ 3 นี้ได้บัญญัติออกมาในรูปแบบของการห้ามประพฤติที่ไม่เป็นพรหม การประพฤติที่ไม่ประเสริฐ ในที่นี้ไม่ได้หมายเอาการไม่มีเพศสัมพันธ์ระหว่างผู้ชายกับผู้หญิง ผู้หญิงกับผู้หญิง ผู้ชายกับผู้ชายเท่านั้น แต่ยังหมายถึงผู้หญิงผู้ชายที่มีเพศสัมพันธ์กับสัตว์อื่น หรือผู้หญิงผู้ชายที่สำเร็จความใคร่ด้วยตนเองด้วย กระนั้นก็มิได้หมายรวมถึงการถูกบังคับร่วมเพศหรือการมีเพศสัมพันธ์โดยไม่เจตนา นอกจากนี้แล้ว ในความหมายเชิงคุณค่ายังหมายถึง “การประพฤติพรหมจรรย์” ด้วย

ศีลข้อ 6 เป็นการบำเพ็ญพรตในด้านความอยากกิน เรื่องของการกินดื่มถือว่าเป็นความสุขที่สำคัญของมนุษย์ที่พึงได้รับในภพชาติปัจจุบัน แต่การยอมอยู่ในข้อจำกัดทั้งด้านเวลาของการกินอาหาร และชนิดของเครื่องดื่มที่ถูกตีกรอบเอาไว้ เป็นสิ่งที่ยากยิ่งของผู้ที่ไม่ได้ปรารถนาความสุขในโลกหน้า เพราะไม่รู้ว่าจะทรมานตนเองไปเพื่ออะไร อยากกินอะไรก็ไม่ได้กิน อยากดื่มอะไรตามใจตนเองก็ไม่ได้ ผู้ที่พร้อมใจในการสละความสุขในโลกปัจจุบันเช่นนี้ได้นั่นก็เพราะมีความเชื่อความศรัทธาอย่างแน่วแน่ว่าโลกหน้ามีอยู่จริง

ศีลข้อ 7 เป็นการบำเพ็ญพรตในด้านความอยากบันเทิงใจ เรื่องของดนตรี การขับร้อง การดูการแสดงละคร การฟ้อนรำ จัดว่าเป็นความสุขที่มนุษย์มีร่วมกัน เป็นสิ่งที่ประดิษฐ์สร้างออกมาจากความสร้างสรรค์ ก่อเกิดเป็นวัฒนธรรม ประเพณี แสดงออกด้วยการแต่งตัว การใช้เครื่องหอมประเทืองผิว การประดับตกแต่งให้เกิดความงดงาม ล้วนเป็นความสุขที่น่าหลงใหล เป็นการแสดงออกถึงรสนิยมที่มนุษย์แต่ละคนจะได้แสดงออกซึ่งตัวตน แต่การยอมสละความสุขถึงขั้นนี้เป็นเพราะมีความคาดหวังในโลกหน้าที่มีความสุขที่เหนือกว่าหรือสูงกว่า

ศีลข้อ 8 เป็นการบำเพ็ญพรตในด้านความอยากสบาย ความสุขจากการได้นอนย่อมเป็นความสุขที่คฤหัสถ์โดยทั่วไปปรารถนากัน ต่างก็ต้องหาที่นอนดี ๆ ที่นอนนุ่ม ๆ สบาย กว้าง บางคนชอบที่นอนสูงใหญ่ ดูดีมีระดับ มีราคา ดูยิ่งใหญ่ บางคนชอบที่นอนที่ประดับงดงาม ดูน่ารัก เพื่อสนองความสุขสบายให้มากที่สุด การที่ใครยอมเสียสละความสุขเหล่านี้ลงไปได้ เหตุเดียวก็คือ เขาทั้งหลายเหล่านั้นล้วนมีความสุขในโลกหน้าเป็นเป้าหมาย

บางคนอาจสงสัยว่า ผู้รักษาศีล 8 นั้น ไม่ได้ออกบวชถือพรตเหมือนกับพระภิกษุภิกษุณีสงฆ์ แล้วจะเป็นพระอริยะได้อย่างไร ผู้รู้ได้อธิบายเรื่องนี้ไว้ว่า การออกบวชถือพรตนั้นเป็นการตัดความกังวลออกจากจิตใจ ตัดความวุ่นวาย อำนาจหน้าที่ เครื่องพันธนาการทั้งหลายที่คอยร้อยรัดจิตใจของมนุษย์ให้ลุ่มหลงติดอยู่ ยึดมั่นถือมั่นมากอยู่ ยิ่งจะทำให้วุ่นวายมากไปกว่านี้ กิเลสทั้งหลายล้วนเป็นสิ่งที่ทำให้จิตใจต่ำลง แต่การออกบวชถือพรตนั้นเป็นหนทางที่จะชักนำไปสู่ความหลุดพ้น ในทางพุทธศาสนาเรียกการประพฤติเช่นนี้ว่า “เนกขัมมะ” ซึ่งเป็นบารมีที่สำคัญอย่างหนึ่ง เนกขัมมะนั้นไม่จำเป็นต้องบวชอย่างเดียว เนกขัมมะตามความหมายในทางพระวินัยนั้น เป็นการบำเพ็ญตนตามหลักของศีลซึ่งมีทั้งเนกขัมมะสำหรับคฤหัสถ์และเนกขัมมะสำหรับพระภิกษุสงฆ์

เนกขัมมะสำหรับคฤหัสถ์ หมายถึง การออกจากเรือนหรือการเว้นจากกิเลสกามและวัตถุกามชั่วคราวเพื่อบำเพ็ญเนกขัมมะ หรือในปัจจุบันที่พบเห็นประจำทุกวันพระ 8 ค่ำ 14 และ15 ค่ำ คือ การรักษาอุโบสถศีลหรือที่เรียกว่า ศีล 8 นั่นเอง

การประพฤติพรหมจรรย์ในศีล 8 ยังสอดคล้องกับแนวทางของมงคลสูตร เป็นมงคลข้อที่ที่ 32 เพื่อเน้นให้ผู้ปฏิบัติธรรม เห็นโทษของกาม และการมักมากในกามารมณ์ เพื่อประพฤติงดเว้นเป็นครั้งคราวในวันพระ โดยสมาทานศีลอุโบสถ งดเว้นการบริโภคกาม เพราะกามนั้นเป็นต้นเหตุของความเสื่อมและความอยากได้ในสิ่งอื่นๆ ไม่มีที่สิ้นสุด ตลอดจน การแสวงหาทุกชนิดเพื่อตอบสนองกามารมณ์

ผู้รักษาศีล 8 ถือพรหมจรรย์ บำเพ็ญเนกขัมมะ จึงมิได้จำกัดที่อายุ แต่ขึ้นอยู่กับปัญญาพิจารณาความเป็นจริงของชีวิต ผู้ที่อยู่ในวัยเรียนย่อมมีปัญญาตามวัย ควรระลึกโทษของกามและความรักในวัยเรียนอันจะเป็นทางทำให้เสียอนาคตได้ สำหรับผู้ครองเรือนย่อมมีปัญญาแห่งวัย วัยผู้ใหญ่ วัยอาวุโส พึงประพฤติพรหมจรรย์ บำเพ็ญเนกขัมมะ เพื่อยกระดับตนเองให้พ้นจากบ่วงร้อยรัดแห่งกาม และควรมีความพอใจในคู่ครอง ไม่มักมากในกามารมณ์ ดังพุทธพจน์ กล่าวไว้ดังนี้ “กามทั้งหลายมีโทษมาก มีทุกข์มาก มีความพอใจน้อย เป็นบ่อเกิดแห่งความทะเลาะ วิวาท ความชั่วเป็นอันมาก

ผู้ถือกระบวนทรรศน์ยุคกลางต่างเห็นพ้องกันว่า ความสุขในโลกนี้มีเพียงความสุขทางกาม เป็นสิ่งชั่วคราว เป็นทางแห่งความเสื่อม ผู้มีปัญญาจึงพึงแสวงหาความสุขที่เหนือกว่านั้น ซึ่งมีอยู่ในโลกหน้า ศาสนิกชนจะต้องฝึกฝนปฏิบัติ บำเพ็ญพรต ยอมสละความสุขชั่วคราวในโลกนี้ เพื่อความสุขยิ่งกว่าในโลกหน้าอย่างไม่มีเงื่อนไขใด ๆ เพราะความสุขในโลกนี้ไม่เป็นที่ปรารถนาอย่างแท้จริงในใจของมนุษย์ มันไม่สามารถเติมเต็มความต้องการได้จริง เพราะเป็นความสุขชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้น ความสุขนิจนิรันดร์มีแต่ในโลกหน้าเท่านั้น ด้วยความสมเหตุสมผลดังที่กล่าวมาข้างต้น การรักษาศีล 8 จึงพึงเข้าใจอย่างลึกซึ้งด้วยกระบวนทรรศน์ยุคกลางย่อมน้อมนำให้ผู้เข้าใจมุ่งฝึกฝนตน บำเพ็ญพรตด้วยความเพียร อันยังไปสู่เป้าหมายในขั้นกว่าแห่งชีวิตทั้งในโลกนี้และโลกนี้

ส่วนหนึ่งจาก ณัฐสุดา เชี่ยวเวช. (2563). อรรถปริวรรตการรักษาศีลแปดตามหลักปรัชญาหลังนวยุค: การศึกษาเชิงวิเคราะห์ วิจักษ์และวิธาน. วิทยานิพนธ์ปรัชญาดุษฎีบัณฑิต. มหาวิทยาลัยราชภัฎสวนสุนันทา.


Leave a comment