ดร.ยุทธภัณฑ์ พินิจ ปร.ด.ปรัชญาและจริยศาสตร์

จริยธรรมคริสเตียน มีผู้ให้ความหมายไว้อย่างสอดคล้องและมีทิศทางเดียวกัน โดยได้อธิบายความหมายไว้ว่า จริยธรรมคริสเตียน คือ จริยธรรมที่พระเจ้าทรงสำแดงไว้ในพระคัมภีร์ทรงเปิดเผยให้เห็นถึงน้ำพระทัยของพระองค์แก่มนุษย์ นั่นคือเป้าหมายสุดยอด คริสเตียนจึงต้องใช้วิจารณญาณตามคำสอนในพระคัมภีร์ ไม่ว่าจะเป็นการตีความหมาย การค้นหาน้ำพระทัยพระเจ้า พระประสงค์ของพระองค์ที่ให้มนุษย์ได้กระทำอย่างถูกต้อง หลักเกณฑ์ต่าง ๆ เพื่อการตัดสินใจกระทำอย่างรับผิดชอบ คริสเตียนยึดถือน้ำพระทัยของพระเจ้าเป็นหลัก (บารเนทท์, 1970, หน้า 3)

คำว่า จริยธรรมคริสเตียนปรากฎในพระคัมภีร์ซึ่งถูกแปลมาเป็นภาษาไทยในบริบทต่าง ๆ เช่น ในพระคัมภีร์ ลูกา 1:9 แปลว่า “ประเพณี” ในลูกา 22:39 แปลว่า “ตามเคย” ฮีบรู 10:25 แปลว่า “เหมือนอย่างบางคนที่ทำเป็นนิสัย” 1 โครินธ์ 15:33 แปลว่า “มารยาท ความประพฤติ หรือการปฏิบัติ” จริยธรรมคริสเตียนจึงหมายถึง การปฏิบัติหรือความประพฤติในชีวิตของคริสเตียนตามที่พระเจ้าทรงกำหนดไว้ในพระคัมภีร์ (วรรณา เรืองเจริญสุข, 2009, หน้า 2) ในพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิมจะมีลักษณะที่เข้มงวดและตึงเครียดสำหรับผู้เชื่อ แต่นับว่าเป็นมาตรฐานที่ดีเลิศ ที่ความเข้มงวดนั้นเต็มไปด้วยความเมตตา กรุณาและความรักที่สะท้อนพระลักษณะออกมาของพระเจ้า

ในภาคพันธสัญญาใหม่คำสอนหลักเป็นของพระเยซูคริสต์ที่ทรงรักและห่วงใยทุกคน จริยธรรมจึงไม่ใช่ข้อห้ามแต่เป็นการสำแดงความรักต่อพระเจ้าและผู้อื่น จริยธรรมคริสเตียนจึงตั้งอยู่บนรากฐานความเชื่อว่า พระเจ้าทรงสร้างมนุษย์ ทรงสำแดงพระองค์แก่มนุษย์ให้รับรู้ ทรงรักมนุษย์ พระองค์ทรงทราบว่ามาตรฐานชีวิตแบบใดเป็นสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับมนุษย์

โคลเบอร์ก ให้ความหมายว่า “จริยธรรมเป็นความรู้สึกผิดชอบชั่วดีเป็นกฎเกณฑ์และมาตรฐานของการประพฤติปฏิบัติในสังคม ซึ่งแต่ละบุคคลจะมีการพัฒนาขึ้นมาจนกระทั่งเป็นพฤติกรรมของส่วนตน โดยจะมีสังคมตัดสินการกระทำผิดหรือถูกด้วย” (Kolhberg, 1964, p.384) หากจริยธรรมมาจากคุณธรรมคริสเตียนนั่นแสดงให้เห็นว่า คุณธรรมคริสเตียนคือความดีงามที่เกิดขึ้นในจิตใจจากการปฏิบัติการปลูกฝังที่ก่อให้เกิดพฤติกรรมที่พึงประสงค์ เช่น ความรับผิดชอบ ความขยัน ความเสียสละ เป็นต้น

จริยธรรมคริสเตียน คือ หลักการประพฤติปฎิบัติของคริสตชนในฐานะของผู้เป็นคนที่ดีตามมาตรฐานแห่งคำสอนของพระเยซูคริสต์ตามคำสอนที่เปิดเผยผ่านพระคัมภีร์ (เชิดชัย เลิศจิตรเลขา, 2548) โดยเริ่มต้นที่มีความเชื่อว่าพระเจ้าทรงสร้างและทำพระสัญญาในการช่วยมนุษยชาติสู่ความรอดพ้นจากความตายนิรันดร์ผ่านทางพระเยซูคริสต์เจ้า รวมทั้งการถ่ายทอดแผนการช่วยให้รอดผ่านทางพระคัมภีร์ ซึ่งได้รับการตีความและอธิบายกรอบตามธรรมประเพณี และการสอนของคริสตจักร (วุฒิชัย อ่องนาวา, 2552, หน้า 37)

จริยธรรมหรือศีลธรรม (morals) จึงเป็นประมวลกฎเกณฑ์ความประพฤติของศาสนาใดศาสนาหนึ่ง โดยมีสิ่งที่ตรงกันข้ามคือ ผิดศีลธรรม คือ ความประพฤติที่ฝืนมโนธรรม ความประพฤติที่ผิดศีลธรรมเป็นความประพฤติผิดที่เลว ผลก็คือมีบาปอยู่ในจิตใจ หลักปฏิบัติที่นำไปสู่การปฏิบัติที่ผิดศีลธรรมเรียกว่า ทุศิล มักจะใช้กินความไปถึงความประพฤติที่ขัดกับจริยธรรมโดยทั่วไปด้วย  (กีรติ  บุญเจือ, 2551, หน้า 10) โดยกล่าวได้ว่าความรู้ที่แท้จริงแล้วก่อให้เกิดการพัฒนาหลายสิ่งหลายอย่างมากมาย และส่วนหนึ่งของความรู้ที่ต้องแสดงผลสุดท้ายของมันออกมาก็คือ การประพฤติปฎิบัติอย่างมีคุณธรรมในชีวิต ความรู้ทุกอย่างย่อมนำไปสู่คุณธรรม หากไม่ใช่ก็ไม่สามารถเป็นความรู้แท้ได้ นั่นคือผลสุดท้ายของการมีความรู้ทุกอย่างจึงถือว่าเป็นการปฏิบัติตามอย่างผู้มีศีลธรรมที่ดีงาม โดยท่านได้แบ่งหน้าที่ที่ต้องปฏิบัติ เป็น 3 ด้าน คือ หน้าที่ต่อพระเจ้า หน้าที่ต่อสังคม และหน้าที่ต่อตัวเอง โดยถือว่าหน้าที่ต่อตนเองมีความสำคัญที่สุดคือ การทำให้จิตใจสงบมีสมาธิเพื่อจะเป็นที่สถิตอยู่ของพระเจ้าและมีความพรักพร้อมในการบริการเพื่อนมนุษย์ (กีรติ  บุญเจือ, 2546, หน้า 65)

จริยธรรมคริสเตียน เป็นเรื่องของความดีความชั่ว ความผิดความถูกทางศีลธรรมตามแนวทางของคริสเตียน ซึ่งเป็นการกระทำที่สอดคล้องกับพระประสงค์ของพระเจ้า ที่สะท้อนออกมาในคำสอนและการดำเนินชีวิตที่เป็นแบบอย่างขององค์พระเยซูคริสต์ ตามที่บันทึกในไว้ในพระคัมภีร์ของคริสเตียน โดยมีหลักการ (ศิลป์ชัย เชาว์เจริญรัตน์, 2008, หน้า 10-12) ดังนี้

1) จริยธรรมคริสเตียนตั้งอยู่บนพระประสงค์และพระลักษณะของพระเจ้า เช่น ในพระคัมภีร์เลวีนิติที่เรียกร้องให้ประชาชนดำเนินชีวิตด้วยการกระทำตามอย่างพระเจ้าว่า “เจ้าต้องบริสุทธิ์ เพราะเราบริสุทธิ์” (เลวีนิติ 11:45) และคำสอนของพระเยซูคริสต์ที่ตรัสว่า “ท่านทั้งหลายจงเป็นคนดีรอบคอบเหมือนอย่างพระบิดาของท่านผู้ทรงสถิตในสวรรค์เป็นผู้ดีรอบคอบ” (มัทธิว 5:48) เป็นต้น

2) จริยธรรมคริสเตียนถือว่าความดีความชั่วมีกฎสากลตายตัว ไม่ใช่สิ่งที่ผันแปรไปตามความคิดของผู้คน  ด้วยว่าหลักจริยธรรมคริสเตียนตั้งอยู่บนน้ำพระทัยของพระเจ้าผู้ไม่ทรงเปลี่ยนแปลง (มาลาคี 3:6, ยากอบ 1:16-17) หมายถึงจริยธรรมอุดมคติของพระเจ้าไม่เปลี่ยนแปลงแต่พระองค์ทรงเปิดเผยแก่มนุษย์เพิ่มขึ้นหรือพัฒนาขึ้นเพื่อให้ใกล้ชิดพระองค์ตามยุคต่าง ๆ

3) จริยธรรมคริสเตียนตั้งอยู่บนการทรงสำแดงของพระเจ้า ซึ่งในพระคัมภีร์ได้ชี้ให้เห็นว่าพระเจ้าทรงสำแดงแก่มนุษย์ทางทั่วไปตามธรรมชาติ (โรม 1:19-20) เช่น ทรงสำแดงผ่านทางจิตใจของมนุษย์และมโนธรรมเพื่อให้เกิดความสำนึกถึงหลักการปฏิบัติที่สอดคล้องกับพระประสงค์ของพระเจ้า อันเป็นการบ่งบอกว่า หลักความประพฤติที่เป็นตามธรรมบัญญัตินั้นแท้จริงมีจารึกอยู่ในจิตใจของมนุษย์และมโนธรรมเป็นพยานร่วมด้วยแล้ว (โรม 2:14-15) และต่อมาทรงสำแดงพิเศษเหนือธรรมชาติ นั่นคือการตรัสผ่านมนุษย์โดยตรง และทรงประทานพระบัญญัติเป็นลายลักษณ์อย่างชัดเจน (โรม 2:12-13, อพยพ 20)

4) จริยธรรมคริสเตียนมีลักษณะเป็นคำสั่งที่ต้องทำตาม โดยพระเจ้าทรงกำหนดแนวทางการดำเนินชีวิตหรือขอบเขตที่สำคัญของการปฏิบัติในบางเรื่องไว้แก่มนุษย์ ซึ่งมีลักษณะเป็นข้อคำสั่งหรือกำหนดเพื่อให้ปฏิบัติตาม เหตุนี้จริยธรรมคริสเตียนจึงไม่เป็นเพียงข้อเสนอแนะ หรือข้อควรทำเท่านั้น (อพยพ 20, วิวรณ์ 21:8)

5) จริยธรรมคริสเตียนคำนึงถึงการะกระทำที่ต้องถูกต้องมากกว่าผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้นตามมา ซึ่งชี้ให้เห็นว่า ความดี เป็นการกระทำตามกฎที่ถือว่าเป็นความดีในตัวมากกว่าผลลัพธ์ที่ตามมา เพราะว่า ถือว่ากฎนั้นมาจากพระเจ้าผู้ประทาน หลักการนี้จึงไม่ใช้ผลลัพธ์มาเป็นมาตรฐานในการชี้ให้ทำความดีแทนความสำคัญของกฎที่ถือว่าเป็นสิ่งที่ดีแล้ว 

 เมื่อจริยธรรมเป็นความประพฤติที่มาจากมโนธรรมหรือจิตสำนึก ซึ่งคำนี้ปรากฎในพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่จำนวน 21 ครั้ง เพื่อเป็นการชี้ให้เห็นว่ามีบทบาทและมีผลต่อการดำเนินชีวิตของคริสเตียน คำนี้ได้มาจากภาษาลาติน สองคำ คือ คำว่า com มีความหมายว่า ด้วย หรือด้วยกัน และคำว่า scio หมายถึง ฉันรู้ ซึ่งกล่าวได้ว่า หมายถึงรู้ด้วยหรือรู้ด้วยกัน เป็นการรู้ด้วยกันกับตนเองและรู้ภายในใจตัวเอง จิตสำนึกจึงเป็นการรู้ภายในที่ช่วยให้ฉันรู้จักตัวของฉันเอง ในภาษากรีก มาจากคำว่า suneidesis ซึ่งมาจากคำว่า sun และคำว่า oida หมายถึง รู้ด้วยกัน ในพระคัมภีร์พันธสัญญาใหม่ จิตสำนึกผิดชอบถือว่าเป็นเรื่องธรรมดาที่ทุกคนเข้าใจได้ ด้วยว่าเป็นส่วนที่ทำให้ทราบว่าการกระทำของแต่ละคนนั้นผิดหรือถูกเป็นไปตามมาตรฐานแห่งจิตใจหรือไม่ จิตสำนึกเป็นส่วนของพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าที่ฝังอยู่ในส่วนของมนุษย์ จึงไม่ใช่กฎแต่รับผิดชอบเป็นพยานให้กับกฎบัญญัติที่มนุษย์ได้รับจากพระเจ้า (เวียร์สบี, 1996, หน้า 6-7)

หลักจริยธรรมคริสเตียนควรคำนึงถึง 3 สิ่ง ได้แก่

1) ความรู้ ด้วยว่าความรู้ทำให้มนุษย์เข้าใจชีวิตตามหลักการของพระเจ้า ก่อให้เกิดความประพฤติที่สำแดงปัญญาอย่างถูกต้องในการใช้ชีวิตได้

2) ความรัก ด้วยว่าความรักเป็นสิ่งที่มนุษย์สามารถปฏิบัติได้ เห็นแบบอย่างจากพระเจ้าผ่านพระเยซูคริสต์ และเป็นพระประสงค์ขององค์พระเยซูคริสต์ที่ให้มนุษย์ได้ตอบสนองในขณะที่การดำเนินชีวิตผ่านการกระทำของตน

3) การปฏิบัติตาม ด้วยว่าการเลียนแบบพระเยซูคริสต์ หรือเจริญรอยตาม ถือว่าเป็นการกระทำที่ดีมีมาตรฐาน และสร้างความเป็นหลักจริธรรมที่ดีของคริสเตียนได้ (กรุณา รัตนวิจารณ์, 1999, หน้า 22-23) ซึ่งสุดยอดของชีวิตมนุษย์คือการมีชีวิตพระเจ้าโดยมีความศรัทธาต่อพระเยซูคริสต์และคริสตจักร ซึ่งมีหน้าที่ปฏิบัติ 2 ข้อ คือ 1) กำหนดว่า อะไรคือ ความดีสูงสุด และ 2) แสดงถึงกฎเกณฑ์การปฏิบัติของมนุษย์ เพื่อจะปฏิบัติตามจนให้ถึงเป้าหมาย คือความดีสูงสุดได้ (เฮนลี เอ็ธ, บารเนทท์, 1970, หน้า 3)

และขณะเดียวกัน เวียร์สบี (1996, หน้า 17-27) ได้กล่าวถึงบทบาทของมโนธรรมหรือจิตสำนึกที่มีผลต่อชีวิตคริสเตียนไว้ดังนี้ 

(1) จิตสำนึกเป็นของประทานจากพระเจ้าสำหรับมนุษย์ ตามที่พระคัมภีร์ปฐมกาลได้บันทึกว่า มนุษย์ถูกสร้างให้เป็นตามพระฉายาของพระเจ้า (ปฐมกาล 1:27)  นั่นหมายถึง มนุษย์เป็นภาพสะท้อนพระลักษณะของพระเจ้าทั้งด้านความคิด ด้านปัญญา ด้านความรอบความรู้ เจตจำนง การตัดสินใจ และอื่น ๆ ซึ่งท่านออกัสตินกล่าวว่า “พระเจ้าทรงสร้างมนุษย์เพื่อพระองค์เอง และดวงใจของมนุษย์นั้นไม่มีความสงบสุขจนกว่าจะพบที่พักพิงในพระองค์” หากสังเกตจะพบว่า สังคมไม่ได้เป็นผู้ให้จิตสำนึก และจิตสำนึกก็ไม่ได้สร้างมาตรฐานของความจริงหรือความดี แต่เป็นเหมือนหน้าต่างที่ความสว่างส่องเข้ามาในห้อง ซึ่งไม่ได้เป็นแหล่งสร้างความสว่าง มนุษย์มีความแตกต่างกันจากบริบทหลากหลายแต่จิตสำนึกยังทำงานเหมือนกันแม้จะอยู่ส่วนไหนของโลกก็ตาม ขณะเดียวกันจิตสำนึกไม่ได้เกิดมาจากภูมิหลังหรือสิ่งแวดล้อมของมนุษย์เพราะหากเป็นเช่นนั้นมาตรฐานความดีงามย่อมไม่มีอะไรเหมือนกันเลย

(2) จิตสำนึกเป็นเครื่องชี้นำความประพฤติ จากคำสอนในพระคัมภีร์กิจการ 24:16 ชี้ให้เห็นว่า “ข้าพเจ้าอุตส่าห์ประพฤติตามที่จิตสำนึกเห็นว่าดีเสมอ มิให้ผิดต่อพระเจ้าและมนุษย์” ที่นี่ชี้ให้เห็นว่า ต้องมีการฝึกฝน อบรมเพื่อการปลูกฝังการใช้จิตสำนึกที่ดีอย่างสม่ำเสมอ เพื่อช่วยกระตุ้นให้ทำงานเพื่อจะสามารถตัดสินใจต่อการกระทำใดใดได้อย่างเสรีภาพแต่ถูกต้องเสมอได้ด้วยการเป็นพยานยืนยันการกระทำนั้นร่วมกับองค์พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า (โรม 9:1) เมื่อจิตสำนึกทำงานก็เท่ากับชีวิตมีเข็มทิศที่นำไปสู่แนวทางที่ตรงหรือสอดคล้องกับเป้าหมายของชีวิตตามการเปิดเผยของพระเจ้า

(3) จิตสำนึกผิดชอบเสริมกำลังให้กับผู้เชื่อเพื่อทำพันธกิจการรับใช้พระเจ้า  ตามที่คริสเตียนได้รับการสอนให้ตระหนักเสมอว่าชีวิตในขณะนี้ต้องแสวงหาการปรนนิบัติรับใช้พระเจ้าผ่านการสำแดงความสามารถที่ตนมีอยู่เพื่อช่วยให้ผู้คนเห็นพระเจ้า รักพระเจ้า และรักกันและกันได้ การรับใช้พระเจ้าจำเป็นที่ต้องฝึกให้ส่วนของจิตสำนึกให้สะอาดหรือบริสุทธิ์อยู่เสมอ ซึ่งจะสามารถเสริมกำลังทั้งภายในและภายนอกให้แก่ตัวผู้เชื่อได้ (1 ทิโมธี 1:5, 19, 3:9, 2 โครินธ์ 4:2, 5:11)

(4) จิตสำนึกผิดชอบเสริมสร้างการสามัคคีธรรม เมื่อคริสเตียนอาศัยอยู่ร่วมกันอาจจะมีความแตกต่างจนนำไปสู่ความแตกแยกได้ ต้องยอมรับความจริงว่า คริสเตียนมีบางคนมีจิตสำนึกที่เข้มแข็ง บางคนก็อ่อนแอ แต่ส่วนหนึ่งที่สำคัญคือ ทุกคนต่างได้รับการเสริมสร้างผ่านจิตสำนึกให้มุ่งหาการสามัคคีธรรมร่วมกัน ดูแลกันและกัน และเสริมสร้างกัน ในขณะที่คนหนึ่งอ่อนแอ อีกคนก็พยุงกันขึ้น (โรม 14-15, 1 โครินธ์ 8,9,10)

(5) จิตสำนึกผิดชอบสนับสนุนหรือเป็นพยานเกี่ยวกับเรื่องพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์ จากการศึกษาพระคัมภีร์และประวัติศาสตร์ของคริสตจักรพบว่า มีผู้เชื่อมากมายที่ได้ยอมอุทิศตนอย่างไม่ลดละเพื่อจะทำหน้าที่ของการเป็นพยานหรือพูดเรื่องราวของพระเยซูคริสต์ ผู้ช่วยให้พ้นจากบาป และไม่ว่าพวกเขาจะพบเจอสถานการณ์เลวร้ายก็ตามแต่ยังคงยืนหยัดอยู่ได้ด้วยจิตสำนึกที่ชัดเจนและกล้าหาญ ตามที่พระคัมภีร์ 1 เปโตร 2:19 กล่าวว่า “เพราะว่าผู้ที่ได้รับความเห็นชอบว่าดีนั้น ก็ต่อเมื่อเขาเห็นแก่พระเจ้าและยอมอดทนต่อความทุกข์ที่ไร้ความเป็นธรรม”

(6) จิตสำนึกผิดชอบช่วยในการอธิษฐานของผู้เชื่อที่มีต่อพระเจ้า การอธิษฐานของผู้เชื่อควรได้สื่อสารถ้อยคำจากการกลั่นกรองที่มาจากจิตสำนึกผิดชอบที่ดี ในพระคัมภีร์ 1 ยอห์น 3:19-22 ได้ชี้ให้เห็นว่า ถ้าใจไม่ได้กล่าวโทษตัวเองเมื่อไร ผู้นั้นจะรู้ว่าตนอยู่ฝ่ายสัจจะ เพราะพระเจ้าเป็นใหญ่กว่าใจเรา และเรามีความมั่นใจในพระเจ้ามากกว่าตนเอง หากจะขอสิ่งใดก็มั่นใจได้เพราะประพฤติตามพระบัญญัติของพระเจ้าและปฏิบัติตามชอบพระทัยของพระองค์แล้ว สอดคล้องกับคำสอนที่พระเยซูคริสต์ตรัสว่า “เหตุฉะนั้น ถ้าท่านนำเครื่องบูชามาถึงแท่นบูชาแล้วและระลึกได้ว่า พี่น้องมีเหตุขัดเคืองข้อหนึ่งข้อใดกับท่าน จงวางเครื่องบูชาไว้ที่หน้าแท่นบูชา กลับไปคืนดีกับพี่น้องผู้นั้นเสียก่อนแล้วจึงค่อยมาถวายเครื่องบูชาของท่าน” (มัทธิว 5:23-24)

(7) จิตสำนึกผิดชอบส่งผลต่อการเป็นพลเมืองที่ดี การอยู่ภายใต้การปกครองของกฎหมายบ้านเมืองยอมเป็นสิ่งที่มนุษย์ทุกคนต้องให้ความเคารพและปฏิบัติตาม จิตสำนึกของคริสเตียนย่อมยอมรับในอำนาจที่ดีต้องมาจากพระเจ้า ตามที่พระคัมภีร์ โรม 13:5 กล่าวว่า “เหตุฉะนั้นท่านจะต้องอยู่ในบังคับบัญชา มิใช่เพราะเกรงพระอาชญาสิ่งเดียว แต่เพราะจิตที่สำนึกผิดชอบด้วย”

(8) จิตสำนึกผิดชอบช่วยสร้างบุคลิกภาพที่ดีแก่ผู้เชื่อ การดูแลจิตสำนึกให้ได้รับการปลูกฝังหรือกระตุ้นให้ทำงานด้วยสิ่งที่ดี จะส่งผลต่อการสร้างบุคลิกภาพที่ดีของผู้นั้น ยิ่งได้รับการต่อเติมก็ยิ่งทำให้เกิดพัฒนาตนจนเป็นภาวะของผู้ใหญ่ที่สามารถมีลักษณะที่ดีในการตัดสินใจเพื่อการกระทำในทุกสิ่ง ตามที่พระคัมภีร์ ฮีบรู 5:13-14 กล่าวว่า “เพราะว่าทุกคนที่ยังกินน้ำนมนั้นยังไม่เข้าใจในเรื่องความชอบธรรม เพราะเขายังเป็นผู้เยาว์ อาหารแข็งเป็นอาหารสำหรับผู้ใหญ่ สำหรับผู้ที่ได้รับการฝึกหัดอบรมให้สามารถรู้จัดผิดชอบชั่วดีแล้ว” การสร้างจิตสำนึกที่ดีเป็นการช่วยให้จิตใจปราศจากสภาพมัวหมองแต่เป็นความกระตือรือร้นในชีวิตและมีบุคลิกภาพที่น่าสนใจแก่ผู้คนรอบข้าง

อย่างไรก็ตาม คนรุ่นใหม่ไม่ค่อยจะเข้าใจถึงแก่นคำสอนหรือหลักจริยธรรมคริสเตียน จึงควรต้องหาวิธีการอธิบายหลักจริยธรรมคริสเตียนให้เหมาะสมและน่าสนใจมากขึ้นสำหรับผู้นับถือคริสต์ศาสนาในปัจจุบัน ด้วยว่ามีจำนวนมากที่ไม่ให้ความสนใจในหลักศีลธรรมของศาสนา บางคนมองว่าเป็นเรื่องโบราณ ไม่มีส่วนให้ชีวิตดีขึ้นได้ บางคนมองเป็นการจำกัดเสรีภาพของชีวิต และบางคนมองเป็นการทำให้มนุษย์ถูกมอมเมาจนไม่สามารถเลือกให้สิทธิได้อย่างตามใจ และยิ่งกว่านั้นคนยุคนี้ให้ความสำคัญกับการค้นหาข้อเท็จจริงที่เป็นหลักฐานเชิงประจักษ์ มีเหตุผลที่สนับสนุนหรือพิสูจน์ได้ จึงเป็นหน้าที่ของครูสอนศาสนาและผู้นำคริสตจักรที่ควรพิจารณาว่า ยังจะรักษาวิธีการเดิม ๆ และแก่นคำสอนที่แตะต้องไม่ได้เลยอีกต่อไป หรือจะสร้างความต้องการให้เรียนรู้และยอมรับการปลูกฝังจริยธรรมแบบคริสเตียนเพื่อสร้างคุณภาพแห่งชีวิตที่ดีขึ้นได้อย่างเหมาะสมกับความเชื่อศรัธาในองค์พระเยซูคริสต์เจ้า

ส่วนหนึ่งของ ยุทธภัณฑ์ พินิจ (2564). การปลูกฝังหลักจริยธรรมคริสเตียนตามกระบวนทรรศน์ปรัชญาหลังนวยุคสายกลาง: การศึกษาเชิงวิเคราะห์ วิจักษ์ และวิธาน. วิทยานิพนธ์ปรัชญาดุษฎีบัณฑิต. กรุงเทพฯ, มหาวิทยาลัยราชภัฎสวนสุนันทา.


Leave a comment