ผศ.(พิเศษ) ดร.เอนก สุวรรณบัณฑิต
แนวคิดของจิตนั้นมีความซับซ้อนและหลากหลาย เราสามารถเข้าใจได้หลายแง่มุม ดุจดั่งมองดูลูกแก้วที่มีหลายเหลี่ยม เราจะมองเห็นแต่ด้านที่เรามองไปตรงๆ แต่ด้วยสมองของเรา ทำให้เรารวมภาพต่างๆ เข้าไปจนเห็นเห็นภาพ 3 มิติ เช่นเดียวกัน เราถ้ามองเรื่องจิตจากด้านต่าง ๆ เราก็จะเสมือนมองเห็นจิตในทุกด้าน แต่กระนั้นพึงเข้าใจว่า เราเห็นเป็นด้านๆ ไป และจะมีด้านหลังที่เราไม่เห็น แม้ลูกแก้วนั้นจะโปร่งแสง เรามองเห็นทะลุไปด้านหลัง แต่เราก็ไม่ได้เห็นด้านหลังอย่างแท้จริง ต่อให้เราเดินไปดูรอบๆ ลูกแก้ว เราคิดว่าเราเห็นลูกแก้วทุกด้านแล้ว แต่เราจะเห็นลูกแก้วครบทุกด้านจริงก็ต่อเมื่องลูกแก้วหยุดนิ่ง แต่ถ้าลูกแก้วหมุนตามเราหรือหมุนเร็วกว่าที่เราเดิน เช่นนั้น เราก็แทบจะไม่ได้เห็นลูกแก้วรอบด้านอย่างแท้จริงเลย กระนั้น การเห็นในบางด้านก็พอให้ข้อมูลแก่เราได้บ้าง การเข้าใจเรื่องจิตอย่างปรัชญาจึงมีพื้นที่น่าสนใจที่จะมองผ่านด้านต่างๆ ตามบริบทและวัฒนธรรมของพื้นที่และกลุ่มชนต่าง ๆ ซึ่งมีแง่มุมให้สนใจได้ เช่น
1. บริบททางศาสนาหรือจิตวิญญาณ จิต อาจหมายถึง การมีอยู่ของสิ่งที่ไม่มีร่าง (incorporal) เช่น ผี เทวดา หรือเทพเจ้า การไม่มีร่างนี้ ต้องเข้าใจว่า หมายถึง การไม่อาจจำแนกองค์ (organ) ที่มาประกอบว่าเป็นอะไร เช่น เป็นหัว เป็นตัว เป็นแขนเป็นขา เป็นตาหูจมูกปาก เป็นต้น หรือไม่มีตัว ทั้งนี้ มักเข้าใจว่า จิตเป็นสิ่งไม่ตาย (immortal) แต่ความไม่ตายนั้นเป็นอย่างไรเป็นสิ่งที่ต้องเข้าใจบทพื้นฐานความคิดที่แตกต่างกันไป การไม่ตายคือดำรงอยู่นิรันดร์ ไม่เปลี่ยนแปลง หรือว่าเปลี่ยนแปลงได้ ไม่คงตัว (การเปลี่ยนสภาวะ) หรือ ไม่ตายในลักษณะที่นอนลงไปตาย (lie down) เช่น การสลายไป (dissolve) เช่น เมื่อมนุษย์ตาย จิตจะไปอยู่ในนครวิญญาณ จิตในระบบคิดของกรีกนี้จะหายไปเมื่อหมดเวลา เวลาของจิตนั้นได้มาจากการมีคุณธรรม (virtues) มีคุณธรรมมากจิตก็จะมีเวลาดำรงอยู่นาน มีคุณธรรมน้อยจิตก็จะมีเวลาน้อย ดังนั้น สังคมกรีกจึงเน้นการมีคุณธรรม
2. จิต หมายถึง ธรรมชาติแท้/สารัตถะ (essence) ของมนุษย์ หรือการดำรงอยู่ภายในของบุคคลซึ่งมักจะอธิบายว่าเป็นวิญญาณ (soul) หรือบุคลิกภาพของพวกเขา ซึ่งจิตวิญญาณที่อยู่กับร่างกายนี้ ต้องเข้าใจในฐานะของตัวตน (self) โดยอาจมองเป็น จิตเป็นนาย กายเป็นบ่าว หรือ จิตกับกายอยู่ด้วยกันอย่างเท่าเทียมแบบ Decartes ก็ได้
3. จิต ในความหมายทั่วไป อาจหมายถึง ภาคแสดงของจิต อันได้แก่ อารมณ์ อันเป็นเรื่องคุณภาพ เช่น ความสุข ความใจดี ความกระตือรือร้น ความกล้าหาญ ความมุ่งมั่น อันเป็นสิ่งที่บุคคลมีในการดำรงอยู่ของเขา หรือเป็นแรงที่ขับเคลื่อนบุคคลให้มุ่งไปข้างหน้า
4. จิต ยังสามารถใช้เพื่ออธิบาย ผลร่วมกันของพลังของจิตที่อยู่ร่วม ๆ กัน ของตนเอง (กาย+จิต (จิต อนุจิต มหอนุจิต) หรือในทำนองของความสามัคคีภายในกลุ่มที่ประกอบด้วยคนหลายคน เช่น “spirit of team” เป็นต้น
5. จิตยังใช้ในเชิงภาษา โดยอิงนัยถือระดับที่สูงส่ง ดังเช่น สุรา หรือวิสกี้ที่ทำจากธัญพืชหรือ บรั่นดีที่ทำมาจากผลไม้กลั่น โดยมีนัยว่า มีระดับของการบ่มเพาะที่ยาวนาน จึงมีความบริสุทธิ์และสูงส่ง เป็นต้น
อริสโตเติลเชื่อว่ามีจิต (spirit) ที่มีอยู่ได้โดยไม่จำเป็นต้องมีร่างกาย เช่น เทพ แต่เทพก็คือเทพ มนุษย์ไม่อาจเป็นเทพได้ จิตของมนุษย์จึงไม่ใช่จิตเทพ แต่เป็นจิตที่จำเป็นต้องมีร่างกายเสมอ เรียกว่า จิตวิญญาณ (soul) โดยมีหน้าที่ทำให้เกิดการขยับเคลื่อนไหวได้ (anime) จิตวิญญาณเป็นส่วนจริงแรกของร่างกายที่มีชีวิตตามธรรมชาติ คือ เป็นตัวแบบ (form) หรือสารัตถะ (essence) ที่ทำให้สิ่งมีชีวิตเป็นสิ่งมีศักยภาพ (potency) โดยที่ธรรมชาติของจิตวิญญาณนั้นปรากฎในสิ่งต่างๆ ทั้งนี้ อริสโตเติลได้แสดงว่าไว้ จิตวิญญาณไม่มีในสสาร จึงไม่มีจิตวิญญาณแทรกอยู่กับดิน หิน น้ำ แต่จิตวิญญาณจะเริ่มมีในพืช นั่นคือจิตวิญญาณแห่งการเติบโต (nutritive soul) ระดับถัดมาคือจิตวิญญาณในระดับสัตว์ ซึ่งจะมีจิตวิญญาณแห่งผัสสะ (sensitive soul) เพื่อรับความรู้สึกและจิตวิญญาณแห่งความหิวกระหาย/มีความต้องการ (appetitive soul) และ จิตวิญญาณแห่งการเคลื่อนที่ไป (locomotive soul) ทำให้เกิดการเคลื่อนไหว การย้ายถิ่นฐาน สุดท้ายในมนุษย์จะมีจิตวิญญาณแห่งเหตุผล (rational soul) ซึ่งเป็นจิตวิญญาณที่มีในมนุษย์เท่านั้น และมนุษย์ก็มีจิตวิญญาณในระดับรองต่างๆ ร่วมอยู่ด้วย โดยบางครั้งบางทีบางคนจะมีจิตวิญญาณรองที่มีศักยภาพเหนือกว่าจิตวิญญาณหลัก(จิตเหตุผล) ได้

จิตเมื่อกระทำการ จะมี 2 สมรรถนะ (faculty) คือ ปัญญา (intellect) กับเจตจำนง (will) โดยสมรรถนะปัญญาแบ่งเป็น ปัญญากัมมันต์ (active intellect) หรือปัญญากระทำการ นั่นคือ กระทำการคิดโดยทำการระลึกถึงมโนคติต่างๆ สร้างเป็นความคิด (thought) และได้ผลผลิตเป็นความรู้ (knowledge) และ ปัญญากษานต์ (passive intellect) หรือปัญญาฝ่ายรับ เป็นปัญญาส่วนที่จัดเก็บและเรียบเรียงความรู้ต่างๆ ไว้เป็นหมวดหมู่ จิตในส่วนนี้ทั้งหมดจะเรียกรวมกันว่า จิตคิด (mind)
เมื่อจะเข้าใจจิต จึงต้องพิจารณาในภววิทยาว่า จิตมีอยู่จริง โดยจิตมีอยู่ในพื้นที่หนึ่ง spirit is exist (in space) เมื่ออยู่กับกายจะเรียกว่า soul เป็นจิตในพื้นที่จำกัด soul is exist (in body/form/dimension) ทั้งนี้ การเชื่อมต่อสื่อสารกับจิตจะเรียกว่า spiritual (connect to spirit) นั่นคือ เราสามารถติดต่อกับจิตได้

คนโดยทั่วไป มีสมรรถนะปัญญาและเจตจำนงปกติ อาจแทนเป็น 1:1 แต่สำหรับคนที่ใช้ความคิดมาก มีปัญญามาก อาจแทนเป็น 2:1 มักเป็นคนที่คิดมาก วิจารณ์มาก แต่ไม่ค่อยลงมือทำ ส่วนคนที่มีเจตนาดี แต่อาจไม่ฉลาด และมักผิดพลาดได้ง่าย จะแทนด้วย 1:2 สำหรับผู้ฝึกฝนปฏิบัติตนมีปัญญาและเจตจำนงที่ดีกว่าปกติ จะแทนด้วย 2:2 เป็น smart man เป็นคนที่ใช้ปัญญาคิดไตร่ตรองมากขึ้น และลงมือทำมากขึ้น สุดท้ายคือ การพัฒนาตนจนเกิดเป็นพฤติกรรมประจำที่สังคมยอมรับได้ (mores) แทนด้วย 3:3 ซึ่งก็คือ อภิมนุษย์ตามแนวคิดของนิชเช่ (Nietzsche) เป็น super-human ซึ่งจะเป็นเลิศในการใช้ปัญญาคิดวิเคราะห์ วิจักษ์และวิธาน และมีเจตจำนงที่เน้นเป้าหมายสูงสุดของชีวิต (final goal)
แต่การที่มนุษย์จะพัฒนาสมรรถนะปัญญาและเจตจำนงนั้น ไม่ใช่ว่าอยู่ดีๆ ก็จะพัฒนา จะต้องมีพลังกระตุ้นที่จะทำให้มุ่งไปข้างหน้า พลังนี้เรียกว่า e’lan vital (vital spark) เป็นพลังทำให้เรารู้สึกว่า “เอ๊ะ” เราอยู่เฉยๆ ไปเรื่อยๆ เช่นนี้ไม่ได้ เราต้องพัฒนาคุณภาพชีวิต ดังนั้น ด้วยพลังนี้จะทำให้เราเกิดสำนึกจำเป็นต้องทำในบางสิ่ง (vitalism) ทั้งนี้ แรงตรงนี้ทำให้เราเกิดเจตนา (intention) ที่จะมุ่งไป ซึ่งอาจเป็นฉันทะ (ความชอบ) ในเรื่องต่างๆ หรือ ได้รับแรงกระตุ้นจากจินตนาการที่ได้จากเรื่องเล่า นิทาน ตำนาน นิยาย ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญในการบ่มเพาะเจตจำนงที่ดี (good will) ด้วยพลังที่จะมุ่งไปทำให้เกิดอารมณ์ (emotion) ที่จะต้องพัฒนาตนเอง ถ้าไม่พัฒนาตนเองก็จะรู้สึกแปลกแยก รู้สึกว่าไม่ใช่ตนเอง (alienation) ซึ่งเราต้องเข้าใจในตนเอง (self) ว่าเราเป็นอย่างไร กายเป็นอย่างไร จิตเป็นอย่างไร แล้วเราก็จะรู้จักตัวเองตามความเป็นจริง ณ ขณะนั้น (self-actuality) เป็นการมองตนเองผ่าน reality at moment และไม่วาดภาพของตนไว้แต่สิ่งที่เป็นภาพฝันหรือภาพอุดมคติที่ตนจะเป็น เพราะจะวางตนอยู่บนความจะเป็น (becoming) และไม่เข้าใจถึงตนเองว่าต้องการอะไรกันแน่ใจชีวิต มีเป้าหมายในชีวิตเป็นอย่างไร
ในประเด็นนี้ มนุษย์จึงสนใจถึงสารัตถะของเจตจำนง (essence of will) ว่าเป็นอะไร กระบวนทรรศน์นวยุค (modern paradigm) มองว่า สารัตถะของมนุษย์ก็คือ ความเป็นมนุษย์ (humanity) ซึ่งก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 มองความเป็นมนุษย์ผ่านความต้องการ ความพอใจ ความพึงพอใจในชีวิต เป็นการให้ความสำคัญกายเป็นสำคัญ (body dominance) แต่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 โลกได้หันมาใส่ใจในเรื่องของจิตในบริบทของอารมณ์และความเป็นผลร่วมของผู้คนมากขึ้น จึงได้มองว่า มนุษยนิยมนี้ หมายถึง การอยู่รวมกันของมนุษย์โดยมีคุณธรรม (virtues) เป็นพื้นฐาน จนเกิดเป็นความประพฤติดี (good conduct) ซึ่งหมายถึง ลักษณะนิสัยที่มันจะเป็น วิถีชีวิต (way of life) และทางสายกลาง (golden means) ซึ่งเป็นวิถีที่มีปัญญามาพิจารณาสิ่งต่างๆ ในการดำเนินไปของชีวิตอย่างเหมาะสม (ถูกต้องบนเวลาและสถานที่ (right is upon to time and space) ไม่ใช่การเลียนแบบหรือทำตามๆ กัน ความหลากหลายของผู้คนจึงเป็นกระแสแห่งยุคสมัย
จิตยังเป็นส่วนสำคัญในการพิจารณาว่าเราคิดตัดสินใจอย่างไร มีมิติและทิศทางอย่างไร จิตที่ดีไม่ได้ยึดติด (free from attach) จากการตัดสินใจตามกฎ (laws) เพราะถ้ายึดแต่กฎจะไม่สนใจเงื่อนไข (conditions) และเวลากับสถานที่ คือ ถือว่าถูก-ผิด ไปตามกฎนั้น อย่างสมบูรณ์ แต่ธรรมชาติของจิตที่ดีจะรับรู้ปรากฎการณ์/เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แล้วพิจารณาว่าอะไรคือ เหมาะสม (appropriate) นั่นคือ ประมาณว่าใช่ ใช่โดยประมาณการ ไม่ต้องตัดสินถูกผิดอย่างชัดเจน แต่ให้เข้าใจว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นตรงตามเงื่อนไขและเวลากับสถานที่ สิ่งนั้นเป็นชะตา (fate) ที่เกิดขึ้นบนเส้นทางของจิตเพื่อการพัฒนาตนให้บริสุทธิ์ และเป็นจิตเสรี (free will/ self-liberation)

