ดร.สุทธิณีย์ ทองจันทร์

การใช้บริการตามมาตรฐานด้านสุขภาพเป็นความพอเพียงด้านสุขภาพ เนื่องจากความ มีมาตรฐานบ่งบอกถึงคุณภาพขั้นพื้นฐานที่ประชาชนพึงได้รับตามสิทธิและหน้าที่ด้านสุขภาพที่จำเป็นตามหลักสิทธิมนุษยชน โดยเป้าหมายของสิทธิด้านสุขภาพ คือ บุคคลทุกคนมีสุขภาวะ ซึ่งไม่จำกัดเฉพาะการเข้าถึงบริการสาธารณสุขเท่านั้น แต่ครอบคลุมถึงปัจจัยอื่น ๆ ที่มีผลต่อสุขภาพด้วย โดยรัฐมีหน้าที่จัดสวัสดิการ สร้างสภาวะหรือเงื่อนไขที่เอื้ออำนวยให้เกิดผลสำเร็จตามเป้าหมายให้ครอบคลุมและทั่วถึง คำนึงถึงกระบวนการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน และความสอดคล้องกับบริบทด้านต่าง ๆ ของสังคม ที่รัฐต้องเคารพสิทธิด้านสุขภาพของบุคคล และมีหน้าที่ปกป้อง คุ้มครอง ส่งเสริมและสนับสนุนให้บุคคลได้รับสิทธิด้านสุขภาพโดยไม่เลือกปฏิบัติ และปฏิบัติตามพันธกรณีของกฎหมายระหว่างประเทศด้านสุขภาพและด้านสิทธิมนุษยชนที่ไทยเป็นภาคี (สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ, 2560, น. 54-55)

มาตรการเสริมสร้างภูมิคุ้มกันในตัวที่ดีด้านสุขภาพ เป็นการเสริมสร้างภูมิต้านทานด้านสุขภาพที่พอเพียงและสมเหตุสมผล เป็นการเสริมสร้างสุขภาพร่างกาย จิตใจ จิตสังคม จิตวิญญาณ สติปัญญา และสิ่งแวดล้อม ดังจะอธิบายต่อไปนี้


1) การเสริมสร้างภูมิต้านทานด้านสุขภาพกายอย่างเพียงพอและสมเหตุสมผล หมายรวมทั้งการปกป้องร่างกายไม่ให้เชื้อโรคไม่ให้เข้าก่อตัวภายในร่างกายได้ และการรู้จักป้องกันและหลีกเลี่ยงสภาวะที่อาจก่อให้เกิดโรค รวมถึงการคัดกรองโรคให้พบระยะเริ่มแรกเพื่อรับการรักษาที่ทันท่วงทีด้วย และการเสริมสร้างภูมิต้านทานด้านสุขภาพกายอย่างเพียงพอ เป็นการได้รับการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันตามมาตรฐานการควบคุมป้องกันโรคที่เป็นชุดสิทธิประโยชน์ ส่วนการเสริมสร้างภูมิต้านทานด้านสุขภาพกายอย่างสมเหตุสมผล เป็นการสร้างเสริมสุขภาพที่เกินกว่ามาตรฐานกำหนด ซึ่งขึ้นอยู่กับความสมัครใจ และความเต็มใจที่จะจ่ายส่วนที่นอกเหนือจากที่ชุดสิทธิประโยชน์ ซึ่งถือได้ว่าเป็นการพึ่งตนเองด้านสุขภาพอย่างหนึ่ง


การสร้างเสริมภูมิคุ้มกันด้านร่างกาย เป็นการทำให้ร่างกายมีภูมิคุ้มกันมากขึ้น แบ่งออกได้เป็น 2 วิธี ได้แก่
(1) การให้ภูมิคุ้มกันจากคน หรือ สัตว์ที่สร้างมาก่อนแล้ว (passive immunization) โดยเรียกสารที่ให้นี้ว่า เซรุ่ม หรือ ซีรั่ม (serum) มักจะใช้ในกรณีที่ได้รับหรือสัมผัสกับสิ่งแปลกปลอมมาแล้ว ตัวอย่างของเซรุ่ม ได้แก่ เซรุ่มแก้พิษงู เซรุ่มแก้พิษสุนัขบ้า เป็นต้น
(2) การกระตุ้นให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันเอง (active immunization) โดยเรียกสารที่ให้นั้นว่า วัคซีน (vaccine) ซึ่งมักจะใช้ในกรณีป้องกันก่อนสัมผัสสิ่งแปลกปลอม ตัวอย่างของวัคซีน ได้แก่ วัคซีนป้องกันหัดเยอรมัน วัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ วัคซีนป้องกันไวรัสโคโรนา 2019 เป็นต้น รวมถึงการควบคุมป้องกันด้านต่าง ๆ ที่เกี่ยวเนื่องกันในทุกมิติ ทั้งมิติด้านร่างกาย จิตใจ สังคม จิตวิญญาณ สติปัญญา และด้านสิ่งแวดล้อม


2) การเสริมสร้างภูมิต้านทานด้านสุขภาพจิตใจอย่างเพียงพอและสมเหตุสมผล สุขภาพ องค์รวมบนพื้นฐานจิตวิทยา เป็นการให้ความสำคัญต่ออภิปรัชญาและญาณวิทยาที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมทางปัญญาและการอธิบายสาเหตุของพฤติกรรม สนใจหาความสัมพันธ์ระหว่างสภาวะทางจิตใจกับสภาวะทางสมอง อาทิเช่น กิจกรรมอาชีวบำบัด (occupation therapy) เพื่อส่งเสริมด้านอาชีวะต่าง ๆ เช่น ทำกระเป๋า เย็บผ้า การจัดสวนหรือทำอาชีพอื่น ๆ เพื่อกระตุ้นการสร้างศักยภาพตนเอง เพราะนอกจากจะป้องกันด้วยวัคซีน เทคโนโลยี หรือเทคนิคต่าง ๆ ทางการแพทย์แล้ว การป้องกันความเจ็บป่วยทางจิตใจ ก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่ควรทำควบคู่กันไปด้วย


3) การเสริมสร้างภูมิต้านทานด้านจิตสังคมที่พอดีและเหมาะสม เป็นการประสานความสัมพันธ์อันจะส่งผลต่อการมีสุขภาวะที่ดีและการดูแลสุขภาพร่างกายและจิตใจควบคู่ไปกับการเรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกันในสังคม โดยเริ่มจากการเรียนรู้สิ่งที่เป็นธรรมชาติที่สุด เช่น การนอน การกิน การมีชีวิตรอด การใช้ชีวิต การใช้ชีวิตคู่ การอยู่ร่วมกันในครอบครัว ชุมชนและสังคมแเพื่อให้มีความมั่นคง ในจิตใจ เพราะมนุษย์เป็นสัตว์สังคม การพึ่งพิงและการพึ่งพาเพื่อการอยู่รอดไม่ว่าจากเพื่อนมนุษย์ด้วยกันหรือจากสิ่งอื่นทั้งที่มีและไม่มีชีวิตในธรรมชาติจึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ George Herbert Mead (ค.ศ. 1863 – 1931) นักสังคมวิทยาชาวอเมริกัน กล่าวไว้โดยสรุปว่า เพราะความอ่อนแอทางร่างกาย ทำให้มนุษย์มาอยู่รวมกันในสังคม การรวมกันทำให้เกิดความแข็งแกร่งและเอาชีวิตรอดได้ (อ้างถึงใน สัญญา สัญญาวิวัฒน์, 2550, น. 161) นอกจากนั้น มนุษย์ยังสามารถใช้สังคมเป็นที่สร้าง รักษา ส่งเสริม ความรู้ความสามารถและการกระทำต่อกันของคนในสังคมที่ส่งต่อและสืบทอดให้ชนรุ่นหลังได้โดยรู้จักใช้ปัญญา ความคิด แยกแยะว่าสิ่งใดมีประโยชน์หรือโทษ เรียนรู้ที่จะปรับตัวเพื่อการอยู่รอด


4) การเสริมสร้างภูมิต้านทานด้านสุขภาพจิตวิญญาณอย่างเพียงพอและสมเหตุสมผล เป็นการดูแลสุขภาพจิตวิญญาณตามความเชื่อและความศรัทธาส่วนบุคคลหรือกลุ่มบุคคล เป็นการดูแลสุขภาพทั้งฝ่ายกายและฝ่ายจิตควบคู่ไปกับการทำความเข้าใจจิตเดิมแท้หรือจิตดั้งเดิมของมนุษย์ภายใต้เงื่อนไขการมีตัวตนทั้งในโลกนี้และโลกหน้า พื้นฐานด้านจิตวิญญาณมีทั้งความเชื่อที่ว่าบุคคลเคยเป็นมนุษย์ที่มีร่างกายและจิตวิญญาณในโลกนี้อย่างไรเมื่อไปอยู่ในโลกหน้าก็ยังคงเป็นจิตวิญญาณที่ได้ชื่อว่าเป็นจิตดวงเดิมที่เคยอาศัยอยู่ในโลกนี้ที่ไปอาศัยสังขารใหม่ในโลกหน้า เป็นความเชื่อเรื่องภพชาติ และในขณะเดียวกันก็มีความเชื่อที่ว่าการดำรงชีวิตมีเพียงโลกนี้เท่านั้น โลกหน้าไม่มี


5) การเสริมสร้างภูมิต้านทานด้านสติปัญญาอย่างเพียงพอและสมเหตุสมผล เป็นการดูแลสุขภาพตามความรู้ ความเข้าใจ ความมั่นใจ ความมีเหตุมีผล ความมีระเบียบวินัยอย่างเป็นธรรมชาติ ไม่สุดโต่งไปด้านใดด้านหนึ่ง รู้จักสร้างภูมิคุ้มกัน รู้วิธีการดำเนินชีวิตไปตามหลักเหตุผล และการทำหน้าที่ของชีวิตให้สมบูรณ์ มีการดำเนินชีวิตที่ดี มีสุขภาพดี มีอารมณ์ดี ตามหลักความดีของมนุษย์ทั้ง 3 ชนิด คือ ความดีภายนอก ความดีทางวิญญาณ และความดีทางร่างกาย คือการมีความสมบูรณ์ของสุขภาพ


6) การเสริมสร้างภูมิต้านทานด้านสิ่งแวดล้อมอย่างเพียงพอและสมเหตุสมผล เป็นการดูแลสุขภาพด้านร่างกาย จิตใจ จิตสังคม จิตวิญญาณ และสติปัญญาไปพร้อม ๆ กันกับการดูแลสรรพสิ่งที่เกื้อหนุนและเกื้อกูลกันด้านสุขภาพอย่างสมดุลและกลมกลืน


จากที่กล่าวมาแสดงให้เห็นว่า การใช้และการจัดบริการตามมาตรฐานด้านสุขภาพเป็นความพอเพียงและสมเหตุสมผล และเป็นมาตรการเสริมสร้างภูมิคุ้มกันในตัวที่ดีด้านสุขภาพ ซึ่งการเข้าใจในเรื่องนี้จะส่งเสริมสุขภาพองค์รวมตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ระยะที่ 2 แสดงถึงการที่บุคคลมีความเข้าใจเกี่ยวกับสุขภาพองค์รวมตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงเพิ่มมากขึ้น ระบบสุขภาพองค์รวมตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงจะมีความสมบูรณ์มากขึ้น บุคคลจะสามารถปฏิบัติตามหลักสุขภาพองค์รวมตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงได้อย่างสมดุล กลมกลืน และมีจริยธรมในการดูแลภายใต้ภูมิสังคม ภูมิวัฒนธรรม และภูมิประเทศของแต่ละท้องถิ่นเพิ่มขึ้น มีชีวิตความเป็นอยู่ที่สมดุล กลมกลืน และมีจริยธรรมในการดูแลในระดับบุคคล ระดับครอบครัว และระดับชุมชนเพิ่มขึ้น หากแต่ยังไม่ถึงระดับสังคมและระดับรัฐ


Leave a comment