อัครกาญจน์ วิชัยดิษฐ์ นักศึกษา ปร.ด.ปรัชญาและจริยศาสตร์

ปัญหาเป็นสิ่งที่มีอยู่กับมนุษย์อยู่ในทุกๆ วัน แค่ตื่นขึ้นมาก็มีปัญหาแล้ว แค่ว่าจะกินอะไร ก็เป็นปัญหา การใช้ชีวิตทั่วไป ๆ รวมไปถึงการทำงานก็มีปัญหา แต่ปัญหาเหล่านี้เราพอที่จะมองหาคำตอบได้ จะกินอะไรก็แค่คิด แล้วก็จะนึกได้ว่าจะกินอะไร มีคำตอบในใจได้ง่าย แต่จริงๆ แล้ว เราไม่รู้ว่า ที่เราอยากกินอันนั้นเป็นความอยากจริงๆ ของเรา หรือเป็นความต้องการจริงๆ หรือเปล่า

เราแค่ตอบได้ว่าเราจะกินอะไร แต่เราลืมที่จะถามตัวเองว่า เราจะกินเพราะอะไร กินเพราะว่าหิว กินเพราะว่าเขาบอกว่าต้องกิน หรือกินเพราะว่าอาหารเป็นประโยชน์กับร่างกาย ความไม่คิดเช่นนี้ทำให้มนุษย์ละเลยปัญหาจำนวนมากในชีวิตของตน เพราะแค่ตอบไปตามคำถาม แต่ไม่ได้มองเห็นว่ามีปัญหาอะไรอยู่เบื้องหลังคำถามเหล่านั้น เราตอบตามความเคยชิน แต่เป็นความเคยชินที่ทำให้ไม่เห็นปัญหาที่ปิดตาของเราไว้จากความเข้าใจในตนเอง

 โลกชอบวางกฎเกณฑ์และมนุษย์จะมักยึดติดกับกฎเกณฑ์ เอากฎเกณฑ์เป็นไม้บรรทัดวัดทุกอย่าง วัดตามเกณฑ์แล้วก็มองว่าถูกหรือผิดไปตามเกณฑ์เหล่านั้นที่ตนสมมติขึ้น เห็นว่าถูกตามเกณฑ์ก็ว่าดี ผิดไปจากตามเกณฑ์ก็ว่าไม่ดี สุดท้ายมนุษย์ก็ไม่ได้ตอบปัญหาตามความเป็นจริง แต่เป็นการตอบตามความเคยชิน ตอบไปตามเกณฑ์ แล้วก็ติดอยู่ในระบบถูกผิด ระบบดีชั่ว อันเป็นเกณฑ์ของโลก แล้วระบบเหล่านี้ก็ครอบงำมนุษย์ ครอบงำสังคมเอาไว้ ใครไม่อยู่ในระบบเหล่านี้ก็เป็นพวกนอกคอก เป็นตัวปัญหา เป็นตัวแปลก เมื่อมองจนกระจ่างก็จะเห็นว่า มันมีความยึดมั่นถือมั่นในกฎและเกณฑ์อยู่เบื้องหลังระบบเหล่านี้ เราคิดไปเองว่าระบบจะทำให้ทุกอย่างดีได้ แต่มันไม่เคยดีได้ถึงที่สุด มันดีได้แค่บางส่วน หลายอย่างก็ไม่ได้ถูกต้องตรงตามเกณฑ์ แต่เราก็จะเห็นว่ามันก็ดี สร้างสรรค์ดี แปลกดี ถ้าเราเอาแต่เกณฑ์มาตั้ง เอาระบบมาครอบ สิ่งเหล่านี้ก็คงจะหมดไป แต่ถ้าเราเปิดพื้นที่ว่างให้สิ่งเหล่านี้ได้แสดงตน เราไม่ยึดในเกณฑ์เสียบ้าง เราก็อาจจะได้เห็นอะไรดีๆ ที่มีประโยชน์แก่ตน แก่คนอื่น แก่สังคมได้

เกณฑ์เฉพาะตนก็เป็นอีกอย่างที่น่าสนใจที่จะคิด เพราะแต่ละคนเติบโตมาไม่เหมือนกัน เรียนรู้สิ่งต่างๆ มีประสบการณ์แตกต่างกัน แต่ละคนก็จะมีเกณฑ์ในเรื่องต่างๆ เฉพาะของตน และเราก็จะเอาเกณฑ์ของเรานั่นแหละมาใช้วัดคนอื่นว่าเป็นอย่างไร เกณฑ์เฉพาะของตนนี้เป็นความยึดติดอย่างหนึ่งที่เราต้องมองให้ออกว่าเรายึดติดในเกณฑ์จริงๆ หรือว่า เกณฑ์นี้เป็นเกณฑ์ที่ถูกต้องในทุกมิติจริงๆ นั่นคือ ถ้าผิดไปจากเกณฑ์นี้ก็ไม่ใช่สิ่งดีสำหรับเรา สำหรับตัวเขาและสำหรับคนอื่นด้วย เช่น การทำร้ายร่างกาย มองจากเกณฑ์ไหนก็คงไม่ดี แต่ถ้าเป็นการสู้รบในสงคราม มันยิ่งกว่าการทำร้ายร่างกาย จะเอาเกณฑ์ตัดสินการทำร้ายร่างกายไปวัดก็คงไม่ได้ ดังนั้น จะใช้เกณฑ์อะไรก็คงต้องดูด้วยว่าเป็นเรื่องอะไร สถานการณ์ไหน ไม่ใช่ว่าจะใช้เกณฑ์เช่นนั้นได้ในทุกสถานการณ์ ถ้าเกณฑ์ไม่เหมาะสมก็ต้องปรับ หรือถ้าเกณฑ์ไม่ครอบคลุมก็ต้องปล่อยไปเช่นนั้น แล้วค่อยมาคิดกันใหม่ว่า ทำไมเกณฑ์ถึงไม่ครอบคลุม จริง ๆแล้วเกณฑ์อย่างนั้นมันเป็นสากลหรือเป็นเกณฑ์ที่ใช้เฉพาะเรื่องๆ ไป แต่ที่น่าสนใจจริงๆ คือ เรารู้จักเกณฑ์แค่ไหน และจะใช้เกณฑ์นั้นอย่างไร ถ้าใช้ไม่เป็นยังจะเป็นเกณฑ์อยู่หรือไม่

หรือเราจะอยู่เหนือกฎเกณฑ์เสียเลย เหมือนดังเทพเจ้า เทวดา ที่เป็นสิ่งที่คุ้นชินในความคิดของคนไทย เรามีแนวคิดอย่างนี้กันมา เชื่อกันมาว่ามีเบื้องบนที่มีฤทธิ์ มีอำนาจ เป็นผู้ควบคุม ดูแลโลก ดูแลสิ่งต่างๆ ผู้คนพากันกราบไหว้บูชากันทั่วไป แต่ใจลึกๆ แล้วมองว่า เบื้องบนนั้นน่ากลัว หากทำอะไรไม่ถูกใจก็จะถูกลงโทษ ถ้าทำอะไรที่ท่านชอบท่านก็จะโปรด เราก็จะได้สิ่งดีๆ การมองอย่างโบราณว่า มนุษย์จะพ้นภัยธรรมชาติได้ต้องเอาใจเบื้องบนนั้นในสมัยนี้ไม่ค่อยได้คิดอย่างนี้แล้ว คนสมัยนี้มุ่งแต่ว่าอยากได้อะไร ถ้าการทำงานไม่ทำให้ได้มาได้ง่าย ก็จะพึ่งพาเบื้องบน มองว่าใครเอาใจเบื้องบนได้อย่างถูกใจ เบื้องบนก็จะโปรดปราน ทำอะไรก็จะพลอยดีไปหมด ขออะไรก็จะได้อย่างนั้น ขอหวย ขอโชค ขอลาภ แม้กระทั่งหน้าที่การงาน ความก้าวหน้าในตำแหน่งก็ขอจากเบื้องบนได้

เผื่อเหลือเผื่อขาดก็ต้องรู้จักวิธีเอาใจเบื้องบนเอาไว้ ต้องรู้ว่าเทพองค์นั้นชอบอะไร ต้องไหว้อย่างไร ถ้าไหว้แล้วได้ คนก็จะนับถือเรา มองว่าเราโชคดี เบื้องบนโปรดปรานเมตตาเรา และเมื่อเป็นที่โปรดปรานของเบื้องบนแล้วก็ดูเหมือนจะช่วยชี้นำคนอื่น รวมไปถึงฝากฝังคนอื่นแก่เบื้องบนได้อีกด้วย อาจจะแนะนำให้คนอื่นรู้จักเอาใจเบื้องบนให้ถูกใจก็ได้ กลายเป็นผู้รู้ เจ้าสำนัก เจ้าพิธีกันก็มีมากมาย ใครที่ไม่รู้ใจเบื้องบนว่าเบื้องบนชอบอะไรและเอาใจเบื้องบนไม่ถูกก็จะต้องพึงอาศัยผู้ที่เบื้องบนโปรดปรานเหล่านี้ บางคนก็ใช้วิธีเอาใจผู้ที่เบื้องบนโปรดปรานอีกทีหนึ่ง เพื่อที่เขาจะได้ช่วยให้ได้อะไรดีๆ ร่วมกันไปด้วย มีอะไรดีๆก็ชอบที่จะเอามาถวายให้ทั้งเบื้องบน ก็เลยกลายเป็นทั้งบนบานศาลกล่าวและสำหรับผู้ที่เบื้องบนโปรดปราน เราก็ต้องมองว่าจะให้อะไรดีด้วยเช่นกัน คิดอย่างนี้ก็มองเห็นว่าเบื้องบนอีกความหมายหนึ่งก็หมายถึงเจ้านาย ผู้มีอำนาจ นั้นก็คือเบื้องบนในการทำงาน เบื้องบนของระบบสังคม ที่เราก็ต้องรู้จักเอาอกเอาใจเช่นกัน แทนที่จะทุ่มเททำงานงานหนักแล้วไม่ได้อะไรหรือถ้าได้ก็ได้ตามงาน ซึ่งมันก็น้อย สู้เอาเวลามาคิดวิธีเอาใจเบื้องบนดีกว่า เมื่อเจ้านายโปรด ทำดีก็ยิ่งดี ทำผิดก็ดีได้ เลื่อนขั้นเลื่อนตำแหน่งก็ได้ง่าย ได้หน้าที่หรืองานที่ตนชอบ ไม่ลำบาก มองไปมองมาก็ล้ำหน้าเพื่อนร่วมรุ่นไปไกล ที่สำคัญถ้าเจ้านายนับถือเทพเบื้องบนองค์เดียวกัน ก็ยิ่งคุยกันง่าย หลายครั้งที่ลูกน้องนำพาเจ้านายไปไหว้เทพ กลับมาลูกน้องก็ก้าวหน้า เจ้านายก็ก้าวหน้าเช่นกัน และดูเหมือนเบื้องบนไม่ว่าจะเป็นเทพ หรือเจ้าสำนักบูชาเทพ ก็มักจะโปรดปรานเบื้องบนที่เป็นคน โดยเฉพาะคนที่มีทรัพย์มาก ศรัทธามาก เพราะจะยิ่งบูชาเทพได้ยิ่งใหญ่ และทำให้คนอื่นๆ มาทำตามได้มากยิ่งๆ ขึ้น สิ่งเหล่านี้ก็พบเห็นกันได้ทั่วไป

คนทุกวันนี้มีปัญหาซึมเศร้า แต่ปัญหาซึมเศร้ามาจากไหน ก็มาจากการที่เราไม่รู้จักตนเอง ไม่รู้ใจตัวเองว่าชอบหรือไม่ชอบอะไร ไม่รู้ว่าตัวเองมีศักยภาพหรือไม่อย่างไร เรารู้สึกเบื่อหน่ายอะไร รู้สึกตื่นเต้นกับอะไร หรือว่าเราจะลุกจากเตียงนอนเพราะอะไร เราแค่ทำตามความเคยชิน ทำตามที่ได้ใช้ชีวิตมา ทำตามเกณฑ์ที่คนอื่นบอกว่าดี ทำตามๆ กันไป โดยไม่ได้ถามไถ่ตัวเองว่าจริงๆ แล้ว เราเป็นอย่างไร ปัญหาเหล่านี้พบได้ตั้งแต่เด็ก เด็กที่โตมาโดยการมีผู้ใหญ่ชี้บอกให้ทำตามก็จะยิ่งมีปัญหาเพราะปัญหาและอุปสรรคบางอย่างก็ได้พ่อแม่จัดการแก้ไขให้โดยไม่ต้องไปแก้ไขเอง ทำให้ไม่รู้ว่าจะมองปัญหาอย่างไร จะแก้ไขอย่างไร รอแต่พึ่งพิงคนอื่น แม้กระทั่งพึ่งเทพ พึ่งเทวดา เพราะมุ่งแต่ผลที่จะได้ สุดท้ายก็ละเลยและมองไม่เห็นปัญหาเหล่านั้น แต่เด็กที่มีอิสระ รู้จักคิด รู้จักมองสิ่งต่างๆ เขาจะมองปัญหาที่มีอยู่รอบตัว ทำไมต้องตื่นเช้า ทำไมต้องไปโรงเรียน ทำไมต้องมีเพื่อน ทำไมต้องตั้งใจเรียน ทำไมต้องไหว้พระ ทำไมต้องไหว้เจ้า ทำไมต้องทำงาน ทำไมต้องเป็นตนดี ปัญหาเหล่านี้เหมือนจะมีคำตอบสำเร็จรูป แต่จริง ๆ แล้วเราเอามาคิดให้เห็นปัญหาที่ซ่อนอยู่ว่า เราทำสิ่งต่างๆ เหล่านี้ไปเพราะอะไร เราก็จะเห็นปัญหาที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังได้ และถ้าเราหาคำตอบให้ตนเองได้ คำตอบอาจจะถูกหรือผิดก็ได้ แต่คำตอบนั้นจะทำให้เรามองเห็นปัญหาได้ชัดขึ้นอย่างแน่นอน และเราจะรู้ว่า เราเบื่อหน่ายอะไรในชีวิต ถ้าเราเริ่มรู้ตรงนี้ เราก็คงจะไม่ซึมเศร้านานนัก และจะมีแรงที่จะใช้ชีวิตต่อไปได้


Leave a comment