คุณ สิอร เวสน์
ผศ.(พิเศษ) ดร.เอนก สุวรรณบัณฑิต

เมื่อย้อนไปในประวัติศาสตร์ยุคใกล้ สมัยของจอมพล ป. พิบูลสงคราม (สมัยที่ 1; 2481-2487) ได้มีการสร้างอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยเพื่อเป็นอนุสารณ์ของการเปลี่ยนแปลงการปกครองขึ้น โดยทำพิธีเปิดในวันที่ 24 มิถุนายน 2483 ซึ่งเป็นวันชาติสมัยนั้น พร้อมกันนี้ยังได้มีการขยายถนนราชดำเนินให้ใหญ่โตขึ้นเพื่อเป็นถนนสาย “สง่างาม” สำหรับการจัดกระบวนแห่ต่างๆ อย่างในต่างประเทศ ให้มีเสาไฟฟ้าโคมหงส์ติดตั้งอย่างสวยงามเป็นคู่ๆ พร้อมกันนี้ได้จัดสร้างตึกแถวสมัยใหม่ขึ้นเรียงรายเต็มสองฟากถนนเพื่อเป็นย่านการค้า กับทางเท้าที่หน้าตึกให้มีขนาดกว้างพอสำหรับการมา “ชุมนุม” ของประชาชนเพื่อดูงานสำคัญต่างๆ ของชาติที่จะจัดขึ้นบนถนนสายนี้ ออกแบบโดยนายจิตรเสน อภัยวงศ์ สถาปนิกที่จบการศึกษามาจากประเทศฝรั่งเศส สถาปนิกผู้นี้ได้ออกแบบงานสำคัญๆ ไว้มากมาย เช่น ตึกโดมของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เป็นต้น

ศิลปะ เป็นเรื่องใกล้ตัว

สิอร เวสน์

ศิลปะคืออะไร อย่างไรถึงเรียกศิลปะ

ประเด็นที่น่าสนใจคือความเห็นของผู้คนกลุ่มหนึ่งที่ตั้งคำถามว่า
‘งานแบบนี้น่ะหรือคือศิลปะ?’ และนั่นย่อมทำให้เกิดคำถามตามมาว่า
‘หากไม่ใช่ศิลปะ แล้วศิลปะคืออะไร งานแบบไหนเราจึงเรียกมันว่าศิลปะ’ แน่นอนว่าประเด็นเกี่ยวกับเรื่องนี้เป็น
‘คำถามโลกแตก’ (Controversy)
พอๆ กับไก่กับไข่อะไรเกิดก่อนกัน และการที่จะตอบคำถามดังกล่าวได้นั้น
เราอาจจะต้องไปดูประวัติศาสตร์ศิลปะกันเสียก่อนว่า
ศิลปะแต่ละยุค ทำหน้าที่อะไร

ศิลปะในบริบทยุคดึกดำบรรพ์ (PRIMITIVE ERA)

ดำรงชีพภายใต้เงื่อนไขของธรรมชาติ

ยุคแรกสุดของศิลปะที่เคยได้มีการบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ และมีบทบาทต่อสังคมมนุษย์นั้นคงต้องย้อนกลับไปยังยุคหินเก่า (Paleolithic Era) ก่อนช่วงเวลาของประวัติศาสตร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วง 15,000-10,000 มานั้น มนุษย์ได้เขียนภาพสี และขูดขีดบนผนังถ้ำและเพิงผา เป็นภาพสัตว์ การล่าสัตว์และภาพลวดลายเรขาคณิต โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อแสดงออกเกี่ยวกับวิถีชีวิตประจำวัน และแสดงความสามารถในการล่าสัตว์ศิลปะทำหน้าที่ -บันทึกเรื่องราวประจำวัน/แสดงออกทางความคิด ความรู้สึก -พิธีกรรม ความเชื่อ ความเคารพ

ศิลปะในบริบทยุคโบราณ (ANCIENT ERA)

ศิลปะบนความก้าวหน้าทางอารยธรรม

มนุษย์มีการเรียนรู้ที่จะประดิษฐ์ ‘ตัวอักษรเขียน’ ขึ้นมาเป็นครั้งแรกของโลก ทำให้การใช้ภาพวาดในเชิงสื่อสารมีความจำเป็นน้อยลง ศิลปะทำหน้าาที่ -เครื่องมือแสดงฐานะ บอกเล่าถึงความยิ่งใหญ่ของอารยธรรม -ถูกใช้ในทางศาสนา ศิลปะ จึงต้องมีความประณีต รุ่มรวย ยิ่งใหญ่

ชาวอียิปต์มีงานจิตรกรรมที่เน้นให้เห็นรูปร่างแบน ๆ มีเส้นรอบ นอกที่คมชัด จัดท่าทางของคนแสดงอิริยาบถต่าง ๆ ในรูปสัญลักษณ์มากกว่าแสดงความเหมือนจริงตามธรรมชาติ มักเขียนอักษรภาพลงในช่องว่างระหว่างรูปด้วย และเน้นสัดส่วนของสิ่งสำคัญในภาพให้ใหญ่โตกว่าส่วนประกอบอื่น ๆ เช่นภาพของกษัตริย์หรือฟาโรห์จะมีขนาดใหญ่กว่ามเหสี และคนทั้งหลาย นิยมระบายสีสดใส บนพื้นหลังสีขาว งานสถาปัตยกรรมมีตั้งแต่ของประชาชนธรรมดาไปจนถึงกษัตริย์ ซึ่งจะมีความวิจิตร พิสดาร ใหญ่โต ตามฐานะและอำนาจของผู้สร้าง

ชาวกรีกมีความเชื่อว่า “มนุษย์เป็นมาตรวัดสรรพสิ่ง” ซึ่งความเชื่อนี้เป็นรากฐาน ทางวัฒนธรรมของชาวกรีก เทพเจ้าของชาวกรีกจะมีรูปร่างอย่างมนุษย์ ประติมากรรมส่วนมากเป็นเรื่องศาสนา ซึ่งสร้างถวายเทพเจ้าต่าง ๆ ในสมัยแรก ๆ รูปทรงยังมีลักษณะคล้ายรูปเรขาคณิต อยู่ต่อมาในสมัยอาร์คาอิก เริ่มมีลักษณะคล้ายกับมนุษย์มากขึ้น เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับ เทพเจ้า รูปนักกีฬา รูปวีรบุรุษ รูปสัตว์ต่าง ๆ ในยุคหลัง ๆ รูปทรงจะมีความเป็น มนุษย์มากขึ้น แสดงท่าทางการเคลื่อนไหวที่สง่างาม มีการ ขัดถูผิวหินให้เรียบ ดูคล้ายผิวมนุษย์ มีลีลาที่เป็นไปตามธรรมชาติมากขึ้น ทำให้ ประติมากรรมกรีก จัดเป็นยุคคลาสสิก ที่ให้ความรู้สึกในความงามที่เป็นความจริงตามธรรมชาตินั่นเอง

ชาวโรมันมีจิตรกรรมฝาผนังที่สร้างองค์ประกอบด้วย แผงรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ซึ่งมักเลียนแบบหินอ่อน เป็นภาพทิวทัศน์ ภาพคน และภาพเกี่ยวกับสถาปัตยกรรม มีการใช้แสงเงา และกายวิภาคของมนุษย์ชัดเจน ชาวโรมันใช้คอนกรีตอย่างกว้างขวางในงานสถาปัตยกรรมและพัฒนารูปแบบออกจากระบบเสาและคาน ไปสู่ระบบโครงสร้างวงโค้ง หลังคาทรงโค้ง หลังคาทรงกลมลอยได้ และหลังคาทรงโค้งกากบาท มีการนำสถาปัตยกรรมที่สำคัญของกรีกทั้ง 3 แบบ มาเปลี่ยนแปลงและปรับปรุงให้วิจิตรบรรจงขึ้น

ศิลปะในบริบทยุคกลาง (MEDIEVAL ERA)

ศาสนจักรเรืองอำนาจ

ศิลปะถูกผูกขาดไว้อยู่กับศานา ศิลปะทำหน้าที่ -รับใช้ศาสนา เครื่องบูชา/พิธีกรรม/เผยแผ่ เนื่องจากมียุคกลางการศึกษาของคนยังไปไม่ทั่วถึงมีคนจำนวนน้อยที่อ่านหนังสือได้จึงต้องใช้ศิลปะ เป็นสื่อกลางในการสื่อสาร อาณาจักรไบแซนไทน์เน้นการเขียนภาพแบบที่เรียกว่า “รูปสัญลักษณ์” (icon) รูปคนกำลังสวดมนต์ และภาพปาฏิหาริย์ตอนสำคัญของพระผู้เป็นเจ้าที่นำมาจากพระคัมภีร์ ศาสนามองว่า ศิลปะควรจะสิ่งที่สื่อสารเรื่องศาสนาโดยใช้วิธีจูงใจและสะเทือนอารมณ์ผู้ดูโดยตรง ในขณะเดียวกันอภิชน (Aristocracy) ก็เห็นว่าแบบศิละบารอก (ฺBaroque) เป็นศิลปะที่สร้างความประทับใจให้กับผู้ดู เป็นศิลปะที่แสดงความถึงความมีอำนาจของเจ้าของ

งานสถาปัตยกรรม จะเน้นเสารายแบบโรมัน เสาก่ออิฐ หลังคาทรงโค้ง แผนผังอาคารมี 2 แบบ คือ แบบชนิดตามยาว และแบบชนิดศูนย์กลาง อาคารที่มีแนวยาวเหมาะสำหรับขบวนพิธีการที่สง่างาม อาคารชนิดมีศูนย์กลาง สำหรับเป็นสถูปสถานของนักบุญคนสำคัญ แต่ต่อมานิยมสร้างโบสถ์แบบมีศูนย์กลางกันมาก อาคารแบบมีศูนย์กลางอาจมี หลายรูปทรง เช่น ทำเป็นรูปทรงไม้กางเขนกรีก อยู่ภายในรูปจัตุรัส หรือไม่ก็รูปวงกลม โบสถ์ที่มีผังชนิดมีศูนย์กลางมักทำหลังคาทรงโค้ง หรือทรงกลมด้วย อิฐหรือหิน อาคารทรงเรือนโถงขนาดใหญ่มักทำเครื่องบนหลังคาด้วยไม้ท่อน

ศิลปะในบริบทยุคสมัยใหม่ (MODERN ERA)

Standard of art

ยุคแห่งการเปลี่ยนทางศิลปะและวิทยาการ คำว่า modern ที่ใช้ในปัจจุบัน หากหมายเอาถึงยุคสมัยทางศิลปะ ยังใช้ในความหมายว่า สมัยใหม่ได้หรือไม่? ลัทธิคลาสสิกใหม่ (neoclassicism, neo-classicism) เป็นขบวนการทางวัฒนธรรมของศิลปะการตกแต่ง ทัศนศิลป์ วรรณคดี การละคร ดนตรี และสถาปัตยกรรมที่มาจากศิลปะคลาสสิกและวัฒนธรรมซึ่งส่วนใหญ่มาจากกรีกโบราณหรือโรมันโบราณ ขบวนการเหล่านี้มีความนิยมระหว่างกลางคริสต์ศตวรรษที่ 18 จนถึงปลายคริสต์ศตวรรษ 19

อย่างไรก็ตาม นวยุคภาพเคร่งในเรื่องจำกัดวงของสไตล์ต่าง ๆ รสนิยมจะปะปนกันไม่ได้ ผิดระเบียบและผิดการแบ่งประเภทไม่ได้ จะเอารสนิยมตะวันตก/ตะวันออกมาปะปนกันไม่ได้ ถือว่าขาดรสนิยมอันดีงาม/ถูกต้อง นวยุคนิยมยังคิดเกณฑ์วัดความงาม และวางความงามไว้ที่ศิลปะคลาสสิค

ศิลปะในบริบท ยุคหลังสมัยใหม่ (POST-MODERN ERA)

Less is bore

แนวคิดที่ขบถต่อความจำกัดของนวยุคได้นำไปสู่ศิลปะที่แตกต่าง นั่นคือ ศิลปะที่เน้นอารมณ์ ได้แก่ ศิลปะโรแมนติก ศิลปะอิมเพรสชั่น ศิลปะเอกซ์เพรสชั่น

ลัทธิประทับใจ หรืออิมเพรสชันนิซึม (อังกฤษ: impressionism) เป็นขบวนการศิลปะที่เกิดขึ้นในคริสต์ศตวรรษที่ 19 ซึ่งเริ่มต้นจากการรวมตัวกันอย่างหลวม ๆ ของจิตรกรทั้งหลายที่มีนิวาสถานอยู่ในกรุงปารีส พวกเขาเริ่มจัดแสดงงานศิลปะในช่วงทศวรรษที่ 1860 ลักษณะของภาพวาดแบบลัทธิประทับใจคือ การใช้พู่กันตวัดสีอย่างเข้ม ๆ ใช้สีสว่าง ๆ มีส่วนประกอบของภาพที่ไม่ถูกบีบ เน้นไปยังคุณภาพที่แปรผันของแสง (มักจะเน้นไปยังผลลัพธ์ที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของเวลา) เนื้อหาของภาพเป็นเรื่องธรรมดา ๆ และมีมุมมองที่พิเศษ

ลัทธิประทับใจยุคหลัง (post-impressionism) เป็นคำที่คิดขึ้นในปี ค.ศ. 1910 โดยรอเจอร์ ฟราย (Roger Fry) ศิลปินและนักวิจารณ์ศิลปะชาวอังกฤษ เพื่อบรรยายศิลปะที่วิวัฒนาการขึ้นในฝรั่งเศสหลังสมัยเอดัวร์ มาแน จิตรกรลัทธิประทับใจยุคหลังยังคงสร้างงานศิลปะลัทธิประทับใจ แต่ไม่ยอมรับความจำกัดของศิลปะลัทธิประทับใจ จิตรกรสมัยหลังจะเลือกใช้สีจัด เขียนสีหนา ฝีแปรงที่เด่นชัดและวาดภาพจากของจริง และมักจะเน้นรูปทรงเชิงเรขาคณิตเพื่อจะบิดเบือนจากการแสดงออก นอกจากนั้นการใช้สีก็จะเป็นสีที่ไม่เป็นธรรมชาติและจะขึ้นอยู่กับสีที่จิตรกรต้องการจะใช้

ในชั้นหลัง ถือว่ารสนิยมไม่มีพรมแดน การผสมระหว่างสไตล์ทำให้ได้รสชาติใหม่ๆแปลก ๆ ทำไมจะต้องหวงห้ามกีดกัน เรื่องรสนิยมเป็นเรื่องที่มนุษย์ตั้งกฎเกณฑ์ขึ้นมาถือเองก็ควรจะแก้ไขหรือยกเลิกเองได้ แนวโน้มที่แพร่หลายไปนี้เน้นที่ความคิดริเริ่มเป็นสำคัญ ลักษณะสำคัญของงานศิลปะจึงเป็นปฏิกิริยาที่ศิลปินแต่ละคนแสดงออกต่อโลกรอบตัว การค้นหาอาณาจักรความฝันเฟื่องของแต่ละคน การสร้างโลกทัศน์ใหม่ของตัวเองจากวัสดุและเทคนิควิธีการที่แปลกใหม่ไปจากเดิม แต่ในขณะเดียวกันก็ยังมีความสนใจในศิลปวัฒนธรรมแบบดั้งเดิมและได้รับอิทธิพลจากศิลปะในแบบดั้งเดิมอีกด้วย โดยสร้างเป็นรูปแบบเฉพาะของศิลปินแต่ละคนเน้นความเป็นตัวของตัวเองของศิลปินแต่ละกลุ่มซึ่งมีมากมายหลายกลุ่ม แต่ละกลุ่มก็มีแนวคิดเทคนิค วิธีการที่แตกต่างกันออกไปอย่างหลากหลาย บ้างก็สะท้อนสภาพสังคม บ้างก็แสดงมุมมองบางอย่างที่แตกต่างออกไป บ้างก็แสดงภาวะทางจิตของศิลปินและกลุ่มชน บ้างก็แสดงความประทับใจในความงามตามธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม

ในยุนี้ได้มีการนำเอาวัสดุอุปกรณ์แบบใหม่ ๆ รวมถึงเครื่องจักรกลเข้ามาใช้ในการสร้างสรรค์งานมากขึ้น จึงนำไปสู่ ศิลปะสกุลอนาคต (futurism) ชื่นชอบในความก้าวหน้าของวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชื่นชอบในความก้าวหน้าของอุตสาหกรรม โรงงาน และความเป็นเมือง ศิลปะสกุลรูปบาศก์ (cubism) ที่เน้นความเป็นเหลี่ยม ด้าน เรขาคณิต เพื่อแทนความเป็นจริง รวมไปถึง ศิลปะสกุลความคิดวอร์ทิซิซัม (Vorticism) (Vortex= กระแสลมหมุน / กระแสน้ำหมุน)   คือ ศิลปะที่เน้นความเป็นรูปแบบเหลี่ยม/ด้าน (cube) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของความเป็นจริงที่จินตนาการออกมาได้ โดยวางฐานอยู่บนความเป็นจักรกลและความเป็นเมือง กระแสนี้เป็นแนวทางศิลปะล้ำอนาคต (Avant-garde) ของสายอังกฤษ เป็นปรากฎการณ์ที่สะท้อนความเป็นอังกฤษแท้ (purely English phenomena) เริ่มในปี 1914 โดยผสานแนวคิดศิลปะรูปบาศก์ (cubism) และศิลปะอนาคต (futurism) เพื่อสะท้อนถึงอารมณ์ที่ยิ่งว่าศิลปะสื่ออารมณ์ (impressionism) ทั้งนี้ มีสุนทรียธาตุสำคัญคือ ความเป็นพลวัต (dynamism) ความเฉียบคม (sharpness) และมุมองศา (angularity) เพื่อสะท้อนถึงการเคลื่อนไปของโลกในงานศิลปะ โดยที่การเคลื่อนไหวนั้นมุ่งสู่ศูนย์กลาง คล้ายภาพการปั่นของเครื่องปั่น ซึ่งนักศิลปะอนาคตชาวอิตาลี Umberto Boccioni มองว่างานศิลปะเชิงสร้างสรรค์ทั้งหมดล้วนเกิดจากการล้นออกมาของอารมณ์ที่หมุนวน (emotional vortex) แต่กระนั้นศิลปะนี้ก็ได้ถูกวิพากษ์อย่างรุนแรง อย่างไรก็ตาม ศิลปะสกุลนี้ได้เสนอว่าความเป็นอุตสาหกรรมมีผลในทางไม่ดีต่อบุคลิกภาพของมนุษย์

การบริโภคศิลปะหรือการสนับสนุนงานศิลปะ ไม่จำกัดอยู่ที่ชนชั้นสูง ขุนนาง หรือผู้ร่ำรวยอย่างแต่ก่อนเท่านั้น แต่ยังตอบสนองต่อประชาชนทั่วไปอีกด้วย ไม่เพียงแต่รูปแบบที่หลากหลายทางศิลปะเท่านั้นที่เกิดขึ้น รูปแบบศิลปะสมัยดั้งเดิมก็ยังได้รับความนิยมและสืบทอดต่อกันมาจนถึงสมัยปัจจุบันด้วย

ศิลปะจึงถือได้บรรจุเรื่องราว ทั้งมิติทางสังคม การเมือง มนุษยวิทยา เทคโนโลยีฯลฯ เรียกได้ว่าไม่สามารถแยกกับตัวงานศิลปะได้เลย เพียงแต่เราต้องรู้ที่มาที่ไปของศิลปะ เพื่อใช่เป็นฐานข้อมูลในการเปิดทัศนะของเราในการมองศิลปะอีกมุมที่แตกต่างไปจากเดิม

ย้อนกลับมาที่คำถามว่าผลงานของนักศึกษาที่ถูกทิ้งไป เป็นงานศิลปะหรือเปล่า หากดูว์ช็องยังมีชีวิตอยู่และได้มาเห็นก็ตอบได้ทันทีเลยว่า ‘เป็น’ แน่นอนร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ไม่ได้หมายความว่าชาวเน็ตที่มีความเห็นตรงข้ามจะเป็นฝ่ายผิด เพราะหากย้อนไปในยุคเรเนซองส์ หรือแม้กระทั่งยุคอิมเพรสชันนิสม์ งานชิ้นนี้ไม่น่าจะถูกนับว่าเป็นศิลปะเหมือนกัน แต่ว่าเพียงเพราะเขาไม่ได้สัมผัสถึงสุนทรียะหรือแนวคิดของงานชิ้นดังกล่าว ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาผิด เพราะจากความหมายของศิลปะที่มีการเปลี่ยนแปลงมาตลอดพันๆ ปี แต่สิ่งหนึ่งที่ยังคงไว้อยู่คือ ‘การสื่อสาร’ ดังจุดเริ่มต้นของตัวศิลปะเองที่เคยเกิดขึ้นในยุคหินเก่า หากมีใครเพียงซักคนที่สามารถรับรู้ถึง ‘แนวคิด’ หรือ ‘สิ่งที่จะสื่อ’ ก็นับว่าผลงานชิ้นนั้นได้ทำหน้าที่อย่างสมบูรณ์แบบแล้ว

ศิลปะคืออะไร เป็นคำถามปลายเปิดที่ถกเถียงกันไม่จบสิ้น แต่สิ่งที่น่าสนใจคือ “เสรีภาพในการออกความเห็น” ความเห็นที่เห็นต่าง ยังคงถูกกัดทับด้วยอำนาจ แต่ถ้าดูจากประวัติศาสตร์ก็จะพบร่องรอยที่แสดงว่าสักวันสิ่งที่ถูกกดทับก็จะมีหนทางในการแสดงออก และถูกยอมรับในที่สุด


Leave a comment