ดร.ใจกลั่น นาวาบุญนิยม
แนวแนวทางว่า ศาสนาจะช่วยให้พ้นทุกข์ ย่อมปรากฎในชีวิตที่มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับวัดโดยตลอด ไม่ว่าจะเป็นวันพระ หรือวันสำคัญทางศาสนา นอกจากการไปวัดเป็นประจำ ถือศีล 5 หลายคนย่อมถือศีลห้ามาตั้งแต่เด็ก ๆ และรู้สึกว่าทำได้โดยไม่ยากไม่ลำบาก ต่อมาย่อมเริ่มรู้จักการทำสมาธิ ยิ่งรู้สึกว่าชอบ ก็จะเข้าใจว่าย่อมจะทำให้ตนเกิดปัญญา ได้ชีวิตที่มีความสุข มีความสงบและความสุขในการนั่งสมาธิ
แต่ก่อนจะสงบในสมาธิ ก็ต้องต่อสู้กับความเจ็บปวดร่างกายในการอยู่นิ่งๆ ทั้งปวดทั้งชา วุ่นวายไปหมด แต่เมื่ออดทน ทนได้ อาการเหล่านั้นก็หายไป น่าแปลกจริง ๆ นอกจากทนอาการภายนอกแล้วยังต้องทนกับความฟุ้งซ่านในจิตอีกด้วย ในที่สุดก็ทนได้
การไปวัดย่อมได้เรียนรู้ว่า พระพุทธเจ้าสอนให้ถือศีล 5 สอนสมาธิให้ทำจิตใจให้สงบชัดเจน แต่ปัญญานั้นต้องหาเอาเองตอนที่จิตสงบตอนที่นั่งสมาธิ คำว่า “ศีล สมาธิ ปัญญา” มีความเข้าใจได้ตามประสาว่า “ชาวพุทธที่ดี ต้องมี ศีล สมาธิ ปัญญา” และเข้าใจว่า ชาวพุทธทุกคนอยากเข้าถึงพระนิพพาน ทั้ง ๆ ที่จริงต่างก็ไม่รู้ว่าอยากได้นิพพานหรือเปล่า ไม่รู้ว่านิพพานคืออะไรด้วยซ้ำ ได้แต่ได้ยินและคิดตามการสอนการเทศนาไป และอธิษฐานให้ได้นิพพานตอนใส่บาตร ทำบุญ จากการได้ถูกอบรมเรื่องศีลย่อมจะดำเนินชีวิตโดยไม่เกี่ยวข้องกับการฆ่าสัตว์มากนัก ศีลข้อที่ 2 ไม่ลักทรัพย์ ข้อ 3 ก็พึงรักษาไว้ ข้อที่ 4 มักเป็นข้อที่ยากสำหรับหลายคนเพราะมีเรื่องบางอย่างที่ตนก็ไม่อยากให้คนอื่นรู้ ไม่อยากให้คนอื่นมายุ่ง ก็ต้องโกหกปกปิดไปบ้าง บางเรื่องก็เล่าเกินจริงกลายเป็นเรื่องการพูดเฟ้อเจ้อ อาจมีส่อเสียดร่วมด้วยได้ง่าย ข้อที่ 5 ก็วางใจให้พ้นไปจากอบายมุข การฝึกถือศีลย่อมสามารถกระทำได้เรื่อย ๆ จนเป็นปกติของ ชีวิต
การศึกษาศาสนาพุทธอย่างจริงจัง อ่านหนังสือที่เกี่ยวกับพุทธศาสนา และได้ศึกษาเรื่อง “ไตรสิกขา” ย่อมพบรายละเอียดของคำว่า ศีล สมาธิ ปัญญา ในหนังสือสมาธิพุทธ และหนังสือเล่มต่าง ๆ หากได้ทดลองอ่านหนังสือของทุกสำนักอย่างตั้งใจก็จะเป็นส่วนสำคัญในการค้นหาว่าตนควรจะมีทิศทางแห่งตนไปทางใด ผู้วางใจที่ชัดย่อมจะปฏิบัติศีลอย่างเคร่งครัด และย่อมมีปัญญาเล็งได้ว่า ศีล สมาธิ ปัญญา เป็นหลักการสำคัญของพระพุทธศาสนา
ในทางพระพุทธศาสนามีคำว่า ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ และย่อมมีผู้เข้าใจว่า ศีลเป็นเบื้องต้นของการศึกษาปริยัติ และการศึกษาสมาธิเป็นการปฏิบัติ ส่วนปัญญานั้นเป็นปฏิเวธ แต่เมื่อศึกษามากขึ้นจึงเกิดความเข้าใจความหมายของศีลว่า ศีลไม่ได้หมายถึงแค่ศีลห้า ศีลแปด เท่านั้น ศีลเป็นหลัก เป็นวินัย เป็นสิ่งที่ตกลงกัน เหมือนคำกล่าวของพระพุทธองค์ที่ได้กล่าวว่า “นี่ก็เป็นศีลของเธออีกประการหนึ่ง” และเข้าใจความหมายของสมาธิมากขึ้นว่า สมาธิไม่ได้หมายถึงการนั่งนิ่ง ๆ เพื่อฝึกสมาธิ การเดินจงกรม การเคลื่อนไหวร่างกายช้า ๆ แล้วระลึก ก้าวหนอ ย่างหนอ เหยียบหนอ เพียงเท่านั้น แต่สมาธิมีความหมายกินความไปถึง จิตใจที่ตั้งมั่น จิตที่สงบ จิตที่ปราศจากกิเลสในขณะนั้น ๆ นอกจากนั้นยังเข้าใจความหมายของปัญญามากขึ้น และรู้ว่าปัญญาเกิดได้อย่างไร ทำอย่างไรจึงเกิดปัญญา และพึงใช้ปัญญาในการแก้ปัญหาต่าง ๆ
ปัญญาเกิดขึ้นเองได้จากการอ่านย้อนทบทวนสิ่งที่ทำและการบอกสอนตนเอง อบรมตนเองเมื่อมีอารมณ์โกรธ อารมณ์โลภ รวมถึงถามตนเองบ่อย ๆ ว่าเราหลงอะไรอยู่ หลักที่จะต้องเอาไปปฏิบัติคืออะไร ต้องปฏิบัติจริง ๆ ต่อเนื่องอย่างไร ค้นหาเพื่อจะได้ค้นพบข้อบกพร่องของตนเองด้วย
สังคมในขณะนี้ขาดแคลนเรื่องศีลเป็นลำดับแรก ดังนั้นแต่ละคนจึงควรฝึกฝนตนเองให้มีศีล มีวินัย มีหลักปฏิบัติที่เคร่งครัด เป็นอันดับแรกเรียนว่า “ศีลสิกขา” จึงเป็นส่วนที่มีน้ำหนักมาก รองลงมาคือ ให้น้ำหนักของสมาธิสิกขา ซึ่งคำว่าสมาธินั้น สมาธิที่สัมมานั้นเกิดจากการปฏิบัติตามมรรคมีองค์แปดคือ ปฏิบัติสัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตระ สัมมาอาชีวะ สัมมาวายามะ สัมมาสติ เมื่อปฏิบัติได้ครบ พร้อมถึงพร้อมแล้ว จะเกิดสัมมาสมาธิตามมาและพึงต้องเป็นสมาธิที่ที่เกิดขึ้นจากการงาน การใช้ชีวิตในปัจจุบัน มีงานเป็นเครื่องอาศัยให้เกิดสมาธิ ให้ใช้ทุกขณะที่ปฏิบัติงาน ทำกิจวัตร กิจกรรม กิจการทุกชนิดเพื่อให้เกิดการรู้เท่าทันอารมณ์ทุกขณะโดยเฉพาะในขณะที่เกิดผัสสะในการทำงาน และลำดับสุดท้ายคือ การส่งเสริมการเจริญปัญญา การส่งเสริมความรู้สามัญ รวมถึงความรู้ในการปฏิบัติงาน และความรู้ในไตรสิกขา หมายถึง ปัญญาที่ได้จากการการเรียนรู้วิชาชีวิตหรือวิถีชีวิต เป็นสิ่งที่จะต้องเกิดเป็นผลตามมา
การปฏิบัติงานโดยใช้ธรรมะในการปฏิบัติงาน ทำให้ประสบผลสำเร็จในการทำงานได้ ทำงานได้ง่าย ทำงานด้วยความเข้าใจ และมีความสุขในการทำงาน และเกิดการเป็นคนปล่อยวางเก่งทำให้มีความทุกข์น้อย ทุกข์ไม่นาน การเริ่มต้นด้วยศีล สมาธิ และปัญญานั้นเป็นหลักการที่ทำให้ผู้ประพฤติธรรมมีความมั่นใจในการกระทำ การพูด การคิด เพราะมีหลักไตรสิกขา มีการตรวจสอบตนเองว่า สิ่งที่ตนทำนั้นถูกต้องตามศีล ตามสมาธิ ตามปัญญาหรือไม่ เกิดการไตร่ตรองตนเองอย่างเป็นกลาง การวางตัวเป็นกลางหมายถึง การทำความเข้าใจกับสิ่งอื่นเรื่องอื่นที่เราไม่ได้สนใจ รับฟังและยอมรับกับอีกฝ่ายหนึ่ง ไม่แบ่งฝ่าย อนึ่งการทำตัวเป็นกลางนั้นทำให้เข้าใจทุกฝ่าย และทำให้ได้รับความรู้อย่างมากมายไม่มีขีดจำกัดจากทุกฝ่าย ทำให้ครูบาอาจารย์ และเพื่อน ๆ สบายใจในการบอก การแนะนำ อยากสอนสิ่งดี ๆ ให้รับรู้ ตนได้ฝึกการระลึกรู้ตัวทั่วพร้อม พร้อมวางตัวเป็นกลางอยู่เสมอ อุเบกขาอยู่เสมอ ยุติธรรมอยู่เสมอ ซึ่งต้องฝึกจริง ๆ สำหรับการปฏิบัติเช่นนี้ก็คือ การปฏิบัติธรรมนั่นเอง

