ผศ. (พิเศษ) ดร.เอนก สุวรรณบัณฑิต
แนวคิดปรัชญานักพรตนี้ เป็นฝ่ายลี้ลับ เป็นแนวคิดที่ผสมผสานหลักการหลายอย่างเข้าไว้ โดยสืบทอดมาจากความรู้ของเหล่านักพรต นักบวช (Hermit & Priest) ในยุคโบราณ โดยเชื่อว่า เป็นกฎที่กำกับโลก ผู้ถือพรตได้ยึดหลักการเหล่านี้แตกต่างกัน กำหนดเป็นทางในการปฏิบัติตน และการสอนเพื่อฝึกฝนจิตเป็นสำคัญ
ในการสืบต่อมา ได้มีการประมวลเป็น Hermetic Philosophy ถือว่าเป็นปรัชญาที่นำเสนอแนวคิดที่เกี่ยวข้องกับความรู้ไสยศาสตร์ ในศตวรรษที่ 16 ได้สร้างคำว่า hermetic จากภาษาละติน hermeticus ที่มาจากชื่อของเทพกรีก Hermes เทพเจ้าแห่งวิทยาศาสตร์และศิลปะ ทั้งนี้ชาวเพลโตใหม่ (Neoplatonism) นักรหัสญาณ และนักไสยศาสตร์ ได้พิจารณาร่วมกับเทพเจ้าอียิปต์ Thoth เป็น Hermes Trismegistos หรือ Thrice- Great Hermes มีความหมายถึง การปิดผนึกอย่างสมบูรณ์
แนวคิดที่เป็นศูนย์กลางของปรัชญาลี้ลับมีอยู่ 12 ข้อ ที่ถือว่าเป็น กฎสากล ในทางญาณปรัชญามองได้ว่าเป็นข้อเชื่อที่ไม่ต้องการพิสูจน์ (axiom) และกฎทั้งหลายอยู่ร่วมกันในลักษณะสมนัย (correspondence) กฎทั้งหลายวางอยู่บนแรกสุด และกฎอื่นๆ วางอยู่บนกฎเหล่านี้ และสหนัย (coherence) กฎมีความสอดคล้องกันไปมา ไม่หักล้างกัน
กลุ่มที่นำแนวคิดนี้มานำเสนอใหม่ในยุคปัจจุบันคือ กลุ่ม New Thought ที่เกิดตั้งแต่ต้นศตวรรษที่ 19 สืบทอดมา โดยถือว่าจิตอยู่เหนือสสาร (mind over matter) และ ความคิดนำไปสู่ทุกอย่างได้ ซึ่งถือว่าเป็นต้นคิดของวิชาจิตวิทยาในปัจจุบันและการแพทย์องค์รวมด้วย กลุ่มนิวธอทจึงสนใจการปฏิบัติทางจิตวิญญาณ (spiritual practice) โดยนำวิธีปฏิบัติโบราณต่าง ๆ มาใช้ อาจสนใจคำสอนศาสนาหรือไม่ก็ได้ แต่ต่างก็เข้าใจในพื้นฐานของกฎสากลบางข้อในขอบเขตที่ตนสนใจ
1.กฎเอกภาพอันศักดิ์สิทธิ์ (Law of Divine Oneness)
กฎข้อแรกและพื้นฐานที่สุดของจักรวาลคือ กฎของความสัมพันธ์อันศักดิ์สิทธิ์ซึ่งเน้นการเชื่อมต่อของทุกสิ่ง แนวคิดนี้เชื่อว่า ความคิด การกระทำ และเหตุการณ์มีการเชื่อมต่อกัน และเกี่ยวข้องกับสิ่งอื่นที่อยู่สูงกว่าในระดับหนึ่ง ทั้งนี้ การเชื่อมต่อนี้ที่อยู่นอกเหนือประสาทสัมผัสของเรา เราเข้าถึงได้ด้วยการหยั่งรู้ (intuition)
เมื่อเข้าใจกฎนี้ ผู้ฝึกฝนจะต้องวางจิตไว้ที่การเห็นอกเห็นใจผู้อื่นและตระหนักว่าเราเป็นหนึ่งเดียวกัน
2. กฎการสั่นสะเทือน (Law of Vibration)
ในระดับจุลภาค ทุกสิ่งอยู่ในพื้นที่และเวลา ทุกสิ่งจึงมีการเคลื่อนที่ (motion) ไปเรื่อย ๆ และมีสั่นสะเทือน (vibration) ด้วยความถี่ที่เฉพาะเจาะจง (Lamor frequency) ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในฝ่ายสสาร และในส่วนของสิ่งประกอบร่วม เช่น มนุษย์แต่ละคน ต่างก็ความถี่เป็นความถี่เฉพาะของสิ่งนั้นในองค์รวมด้วย ไม่มีสิ่งใดที่มีความถี่เดียวกัน เพราะทุกสิ่งล้วนมีความประกอบร่วมที่แตกต่างกัน ในการใช้ชีวิตของเรา เรามีประสบการณ์ชีวิต เราก็จะได้รับรู้ความถี่ที่แตกต่างกัน นำไปสู่การปรับแต่งความถี่ให้เหมาะสมกับตน หรือปรับตนให้มีความถี่ที่เหมาะสมกับสิ่งแวดล้อมนั้น
เมื่อเข้าใจกฎนี้ ผู้ฝึกฝนจึงเน้นการฝึกฝนกาย เช่น ฝึกโยคะ การใช้คลื่นเสียง การฝึกปราณ การฝึกจักระ เป็นต้น
3. กฎความสอดคล้อง (Law of Correspondence)
รูปแบบต่าง ๆ ในธรรมชาติล้วนเกิดซ้ำไปซ้ำมา ทั้งในระดับจักรวาลและในระดับบุคคล ความเป็นจริงเปรียบเหมือนกระจกเงาของสิ่งที่เกิดขึ้น สิ่งที่เกิดขึ้นภายในตัวเราในขณะนั้นก็เป็นรูปแบบที่มีอยู่ภายนอกตัวเรา เป็นความสอดคล้องต้องกัน (correspondence) หากชีวิตเราวุ่นวายและหวาดกลัว นั่นเป็นเพราะว่าภายในมีความสับสนวุ่นวายและความกลัวอยู่ภายใน ถ้าชีวิตเราดูสงบและมีเหตุผล นั่นก็เพราะเรารู้สึกสงบภายใน นั่นคือ สิ่งใดที่เราพบภายนอก ก็แสดงว่า มีสิ่งนั้นอยู่ภายในตัวเราเช่นกัน
เมื่อเข้าใจกฎนี้ ผู้ฝึกฝนจึงเน้นการสำรวจภายในตน (inner self) เพื่อหารูปแบบที่สอดคล้องกันที่ปรากฎภายนอก เมื่อฝึกฝนเช่นนี้ จึงทำให้กำหนดและปรับภายในตนให้เหมาะสมกับสภาวะต่าง ๆ ให้เหมาะสมในการฝึกฝนจิตวิญญาณตามแนวทางของตน
4. กฎแรงดึงดูด (Law of Attraction)
เมื่อเรามองว่าจิตเป็นศูนย์กลาง มีอำนาจเหนือสสาร การที่เราคิดอะไร ก็ย่อมมีอำนาจเหนือสิ่งภายนอกต่าง ๆ ให้เกิดขึ้นได้ตามกฎการสั่นสะเทือน และกฎความสอดคล้อง ดังนั้น สิ่งที่เรามุ่งสนใจ เราก็จะได้สิ่งที่เราสนใจ แต่เป็นไปในรูปแบบที่เหมาะสมพอดีกับเรา นั่นคือ เราต้องเชื่อ (trust) ว่าสิ่งที่เราแสวงหานั้นเป็นไปได้ที่จะได้รับ
เมื่อเข้าใจกฎนี้ ผู้ฝึกฝนจึงเน้นที่จะมุ่งความสนใจผ่านการคิดอย่างมุ่งมั่น (intention) และต้องสร้างความเชื่อใจ (trust) ในตนต่อการที่เราจะดำรงอยู่ร่วมกับสิ่งนั้นได้ด้วยความสมดุลและกลมกลืน
5. กฎการกระทำบนแรงบันดาลใจ (Law of Action Inspired)
แรงบันดาลใจ (inspire) ประดุจลมหายใจ ทุกชีวิตต้องหายในเข้าและหายใจออก จึงดำรงความมีชีวิตอยู่ใด และในการใช้ชีวิต ทุกสิ่งที่เกี่ยวกับการดำเนินเหล่านี้ ต้องวางอยู่บนขั้นตอนที่เป็นจริงและสามารถปฏิบัติได้เพื่อนำสิ่งที่เราต้องการมาสู่ชีวิตของเรา
เมื่อเข้าใจกฎนี้ เราจะตรึกตรองตนเองในกระทำสิ่งต่าง ๆ ช้าลง อยู่บนความเงียบสงบ และสร้างพื้นที่สำหรับคำแนะนำภายในตน ลงในรายละเอียด จัดวางความต้องการไว้ในการจัดการและควบคุมว่าสิ่งต่าง ๆ จะเป็นไปอย่างไร วางใจเปิดกว้างต่อความเป็นไปได้ทั้งหมด แต่ไม่ใช่การวางแผนที่ชัดเจน
6. กฎการเปลี่ยนแปลงพลังงาน (Law of Perpetual Transmutation of Energy)
ในสรรพสิ่งล้วนมีพลังงานในตน ทำให้เกิดวิวัฒนาการ (evolution) หรือความผันผวน (fluctuation) อย่างต่อเนื่อง พลังงานย่อมมีความแรกเริ่มนั่นคือ การคิด เรามีความคิดก่อนการกระทําทุกครั้ง ความคิดย่อมทำให้เกิดการสั่นสะเทือนและเกิดการสะท้อนไปสู่โลกของวัตถุ เกิดเป็นความเป็นจริงในโลกกายภาพ การแปลงพลังงานความคิดไปสู่ความเป็นจริงสสารนั้นจะต้องวางอยู่บนกฎพลวัตของพลังงานที่จะต้องมีการแปลงพลังงานสมบูรณ์ และต้องรักษาพลังงานไว้ในระบบได้อย่างเหมาะสม
เมื่อเข้าใจกฎนี้ ผู้ฝึกฝนจึงเน้นที่จะสร้างความคิดเชิงบวก เพื่อให้มีพลังงานเชิงบวกแผ่ออกไป และมีการปรับเปลี่ยนพลังงานเชิงลบรอบตัวเราให้อยู่ในสมดุล โดยการรักษาความคิดและการกระทําที่เป็นบวกให้กำกับพลังงานลบได้อย่างสมดุลกัน
7. กฎสาเหตุและผล (Law of Cause and Effect)
ในสิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นย่อมมีความสัมพันธ์โดยตรงระหว่างการกระทำและเหตุการณ์ นั่นคือ มีสาเหตุและผลของสาเหตุนั้น การเกิดความสัมพันธ์นี้จะวางอยู่บนการมีปฏิกิริยาต่อกัน การมีการตอบสนองต่อกัน มีสิ่งที่จะเกิดในลำดับขั้นตอนของการเกิดและผลของการเกิดขึ้นนั้น
เมื่อเข้าใจในกฎนี้ ย่อมฝึกฝนการประเมินขั้นตอนและผลว่า ดีหรือไม่ดี และฝึกฝนการยอมรับผลที่เกิดขึ้นด้วยความเต็มใจ
8. กฎการชดเชย (Law of Compensation)
สิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น ย่อมมีพลังที่จำเป็นต้องใส่ลงไป เช่น ความพยายาม ซึ่งเมื่อลงทุนย่อมจะได้รับผลตอบแทน (invest-harvest) และย่อมจะเชื่อว่าตนจะได้รับผลตอบแทนในเชิงบวกเสมอ แต่ถ้าไม่ได้ผลเช่นนั้น ระบบย่อมจะต้องเปลี่ยนแปลงพลังงานมาชดเชยในส่วนที่เกิดการขาดนั้น
เมื่อเข้าใจกฎนี้ ผู้ฝึกฝนจะต้องพิจารณาว่าต้องการอะไร จำเป็นต้องเข้าไปมีส่วนร่วมกับเป้าหมายนั้นไม่ในทางใดทางหนึ่ง และเกิดการทํางานร่วมกัน มีการดึงดูดหรือชดเชยขึ้นในส่วนที่เราชอบและส่วนที่เราต้องการความช่วยเหลือนั้นอย่างเหมาะสม
9. กฎของความสัมพันธ์ (Law of Relativity)
สิ่งต่าง ๆ ล้วนไม่ได้อยู่โดดเดียว เมื่ออยู่ร่วมกันจึงเกิดการเปรียบเทียบ แล้วกำหนดเป็นสูง-ต่ำ ซ้าย-ขวา แต่ในความเป็นจริงแล้วทุกอย่างเป็นกลางต่อกัน เป็นแต่เพียงมีความสัมพันธ์ต่อกันผ่านการเชื่อมต่อ แต่การรับรู้ของเราสร้างมุมมองที่แตกต่างกัน เพราะเรามีการเปรียบเทียบโดยตัวเราเป็นศูนย์กลาง
เมื่อเข้าใจในกฎนี้ ผู้ฝึกฝนจะพิจารณาการจัดการของเรากับการจัดการของผู้อื่นว่าจัดการสิ่งต่าง ๆ อย่างไร กำหนดตำแหน่งและความสัมพันธ์กันอย่างไร และชื่นชม (appreciate) ในสิ่งที่เรามีโดยไม่เปรียบเทียบกับสิ่งอื่น
10. กฎความเป็นขั้ว (Law of Polarity)
สิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น ย่อมมีการรักษาสมดุลในตน จึงมีด้านตรงกันข้าม (opposite) เพื่อให้กลไกแห่งสมดุลได้ทำงาน ไม่นิ่งเฉื่อย เช่น ความดีและความชั่ว ความรักและความหวาดกลัว ความอบอุ่นและความหนาว ความเป็นชายและความเป็นหญิง ความมีและความขาด ประดุจเหรียญที่มี 2 ด้าน
เมื่อเข้าใจในกฎนี้ ผู้ฝึกฝนจะปรับตนให้เข้ากันได้/เข้าใจในสิ่งตรงกันข้ามโดยกำหนดให้ตนไปยืนอยู่ในจุดนี้ เพื่อให้ตนสามารถเปิดเผยมุมมองหรือบทเรียนใหม่ได้ เพื่อการพัฒนาตน
11. กฎจังหวะ (Law of Rhythm)
วัฏจักรเป็นองค์ประกอบตามธรรมชาติของจักรวาล ทุกสิ่งวนเป็นวงจรและเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง เป็นจังหวะของสรรพสิ่ง เป็นร่อยรอยที่เกิดเป็นรูปแบบในธรรมชาติ ซึ่งสรรพสิ่งล้วนดำเนินไปตามร่องรอยเหล่านี้
เมื่อเข้าใจกฎนี้ ผู้ฝึกฝนจึงต้องใส่ใจกับจังหวะของธรรมชาติ และสำรวจจังหวะภายใน (inner rhythem) ของตน และปรับจังหวะเพื่อให้เกิดการร่วมกัน สอดประสานกัน ไม่ขัดแย้งกันกับจังหวะของธรรมชาติ
12. กฎแห่งเพศ (Law of Sex)
สรรพสิ่งดำรงอยู่ในฐานะคู่ตรงข้าม และมีการชดเชยสอดประสานกัน กลุ่มของพลังเหล่านี้ จำแนกออกได้เป็นพลังความเป็นชาย (masculine) และพลังความเป็นหญิง (feminine) ที่มีอยู่ในทุกสิ่ง เพื่อรักษาความประกอบร่วมไว้ให้เกิดความสมดุลในตนเอง
เมื่อเข้าใจกฎนี้ ผู้ฝึกฝนจึงต้องสำรวจภายในตนเอง เข้าใจกลุ่มของพลังในตนและรักษาสมดุลระหว่างความเป็นชายและความเป็นหญิงในตน ให้เหมาะสมสอดคล้องกับธรรมชาติ เข้าถึงความพอดีในตนเอง เพราะจะได้ปฏิบัติตนให้เหมาะสมกับงานที่จะกระทำเพื่อเป้าหมายของตนได้
ปรัชญาของนักพรตเหล่านี้ได้รับการสืบทอดมา มีข้อถกเถียงในความเป็นกฎเหล่านี้ และพยายามเปิดเผยความลี้ลับและสร้างคำอธิบายที่เป็นรูปธรรมขึ้น นำไปสู่หลักการและการประยุกต์ โดยมีการพยายามนำมาใช้ในการชี้แนะการดำเนินชีวิตในโลกปัจจุบัน เพื่อให้แต่ละคนได้ชีวิตที่ดี มีความสงบสุข มีความเข้าใจในตนเองและดำรงตนอยู่ได้ร่วมกับผู้อื่นอย่างเหมาะสมกลมกลืนกัน

