ผศ.(พิเศษ) ดร.เอนก สุวรรณบัณฑิต;

มนุษย์นับแต่โบราณสนใจที่จะเข้าใจตนเองในฐานะฉัน (I) ที่เป็นประธาน เป็นผู้ที่ไม่เปลี่ยนแปลง (unchangeable) ไม่เคลื่อน (unmovable) โดยนำตัวเองมาไตร่ตรองในฐานะวัตถุแห่งการคิด (object of thought) และพบว่า ฉันไม่อาจคิดได้ เราคิดได้แต่ตัวฉัน (self) โดยมองว่า จะต้องเข้าใจว่ามีตัวฉันอยู่จริง (exist) และตัวฉันนั้นมีสารัตถะ (essence) อย่างไร โดยมุ่งพิจารณาว่า มนุษย์เป็นความเป็นจริงที่จำกัด (limit-definite) จึงสามารถนิยามได้ (definition) ผ่านกรอบคำถามสามัญ 4 ประการ คือ

  1. ฉันเป็นใคร (who am I?)
  2. ฉันเป็นอะไร (what am I?)
  3. ฉันอยู่ที่ไหน (where am I?)
  4. เป็นฉันเมื่อไร (when am I?)

คำตอบเหล่านี้ทั้งในส่วนของ เป็น-ไม่เป็น (positive-negative definition) ล้วนนำไปสู่การสรุปรวบยอดว่า สารัตถะของมนุษย์ เป็นจิต/ เป็นสสาร /เป็นทวิสภาวะ คือ เป็นทั้งจิตและสสาร อย่างไรก็ตาม ในส่วนที่สำคัญที่มนุษย์ยอมรับผ่านการคิดนี้ก็คือ ตัวเรา (self) เป็นสิ่งที่พัฒนาได้ (development) โดยสมัยโบราณสนใจการพัฒนาจิตเป็นสำคัญ ต่อมาในยุคสมัยใหม่จึงสนใจการพัฒนาสสาร (กาย) เป็นสำคัญ สำหรับในแนวคิดองค์รวม มุ่งเน้นพัฒนาทั้ง 2 ด้านอย่างสมดุล

บทความนี้นำเสนอกระบวนการวิวัฒนาการของจิต (spirit) แม้จิตที่อยู่ในร่างกาย (corpse) เรียกว่า (soul) ตามนิยามของอริสโตเติล แต่ในบทความนี้จะใช้คำว่า spirit เพื่อสื่อถึงฉันที่เป็น I มากกว่าตัวฉันหรือ self

การที่จิตจะดำรงอยู่ได้จิตจะต้องปรับตัวให้เข้ากับสิ่งที่แวดล้อมกับตน ไม่ว่าจะเป็น คน สัตว์ สิ่งของ สภาพแวดล้อม โดยจิตจะปรับ (adjust) คือ เพิ่มเติม (ad) การดำรงอยู่ของตนให้เหมาะสมกับภาวะเวลานั้น ๆ (just) การเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยนี้จะขยับตามสภาพแวดล้อม จนถึงการเปลี่ยนแปลงอย่างมาก จากชั่วคราวไปจนถึงการเปลี่ยนแปลงไปอย่างถาวร การปรับตัวนี้มีขอบเขตกว้าง ๆ 4 ขั้นตอน ได้แก่

  1. การปรับตัวของจิต (spiritual adaptation) : จิตจะปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงของจิตที่ได้รับผลมาจากเวลา (temporal) เรียกว่า การเติบโต (growth) โดยมุ่งไปสู่ความเป็นจิตอย่างเต็มตัว (maturity) หรือจิตปรับตัวให้พ้นจากการกระทบต่าง ๆ เนื่องจากจิตต้องการหลีกเลี่ยง (avoidance) ความเสียหายที่อาจเกิดขึ้น หรือมีการบังคับให้เปลี่ยนไปสู่ระดับที่จําเป็นเพื่อหลีกเลี่ยงภัยคุกคามต่อจิตของตน
  2. การปฏิวัติของจิต (spiritual evolution) : จิตที่มีความเป็นจิตอย่างเต็มตัว จะเกิดความเต็ม (completion) ซึ่งการดำรงความเต็มนั้นจะนำไปสู่ความนิ่ง (inertia in emptiness) จิตที่รู้ตัวจะไม่ยอมอยู่นิ่ง เพราะต้องการให้ตนมีคุณภาพยิ่งขึ้น จึงมุ่งเข้าสู่สถานะของจิตในระดับคุณภาพใหม่ จึงต้องก้าวกระโดด (jump) ไปจากระดับเดิมของจิต เรียกว่า การปฏิวัติของจิต จิตจะเข้าสู่ระดับของการดํารงอยู่ที่สูงกว่าเดิม มีความเป็นจิตใหม่ที่ยิ่งใหญ่ขึ้น มีพลัง มีความรอบรู้ และอยู่เหนือรูปแบบของชีวิต (ดำรงอยู่กับชีวิต แต่ไม่คล้อยตามความอยากของชีวิต)
  3. ความสมบูรณ์แบบของจิต (spiritual perfection) : จิตที่ปฏิวัติตนแล้ว จะรู้ว่า ยังมีระดับคุณภาพที่สูงขึ้นไปอีก และตนจะต้องพัฒนาไปเรื่อย ๆ ไม่สิ้นสุด แต่ในระหว่างการพัฒนานั้น จะต้องทำให้แต่ละระดับของจิตมีความสมบูรณ์แบบ เรียกการพัฒนาในขั้นนี้ว่า การมุ่งความสมบูรณ์แบบของจิต โดยจิตจะมุ่งไปสู่ความบริสุทธิ์ (purity) และได้รับผลเป็นความสิ่งศักดิ์สิทธิ์ (sacred-ity) ในชั้นนี้จะนำไปสู่การเข้าใจหรือเข้าถึงเทวภาวะ
  4. จิตสัมบูรณ์ (absolute spirituality) : จิตที่สมบูรณ์แบบ บริสุทธิ์ จะเข้าสู่การทรงพลัง พลังและสภาวะนั้นมีความแน่นอน เป็นหนึ่งเดียว เป็นพลังที่สุดที่ขับเคลื่อนสิ่งอื่น มีความแข็งแกร่งทางจิต (การคิด) และส่งผลต่อชีวิตกายภาพได้

การฝึกฝนพัฒนาจิตวิญญาณเพื่อให้เกิดขั้นตอนต่าง ๆเหล่านั้น จะต้องมีการเชื่อมต่อตนเองในระดับของจิต โดยการฝึกฝนนั้นจะวางอยู่บนฐานของการมีรัศมีในตนของจิต และทำการสร้าง เชื่อมต่อรัศมี(Astral Bridging) ผ่านการฝึกฝนด้วยจินตภาพ (imaginization) และการเห็นภาพ (visualization) ถึงตนเองในฐานะแสง ดวงแสง ในช่วงแรกจะเป็นแสงที่มีความจำกัด (limit) และขยายไปเป็นแสงที่ไม่จำกัด (finite) เพื่อให้เกิดความเชื่อมั่นและเชื่อใจ (trust) ในโลกแห่งจิต (spiritual/immaterial world) จากนั้นการรับรู้อย่างรอบด้านจะเกิดกับโลกที่อาศัยอยู่ของร่างกายภาพนี้ และความเข้าใจในตนเองอย่างสมบูรณ์ก็จะเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง (continue perceive) ว่าตนทำอะไรไปเพราะคิด-เข้าใจอะไร อย่างไรอย่างแท้จริง ซึ่งเมื่อเข้าใจตนเองอย่างสมบูรณ์ได้แล้วก็จะนำตนไปสู่การเชื่อมต่อกับพรมแดนของชีวิตกับพรมแดนอื่น อันได้แก่ สิ่งสูงสุดในแต่ละศาสนา-ลัทธิที่ได้สืบทอดสอนกันมาตามที่ตนเข้าถึงได้

สมัยโบราณ ถือการว่าการพัฒนาทางจิตเช่นนี้ จะทำให้ตนได้รับการรู้ (knowing) ที่ไม่จำกัด เป็นเส้นทางแห่งการรู้ที่เหนือไปกว่าการคิด (thinking) ดังนั้น จึงส่งเสริมการพัฒนาจิต ผ่านแนวทางการเพ่งพินิจ/ปฏิบัติทางจิต (contemplation) เกิดเป็นกิจกรรมทางจิตต่าง ๆ ซึ่งปรากฎในศาสนา และเป็นขนบปฏิบัติในศาสนา รวมไปถึงในการไตร่ตรองคิด (reflection) ซึ่งได้ถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือ-วิธีในการเข้าใจตนเองของสาขาวิชาการต่าง ๆ ในปัจจุบัน เช่น ปรัชญา จิตวิทยา ศาสนวิทยา ศาสนศาสตร์ เป็นต้น

บทความนี้เสนอแนวคิดเรื่องการพัฒนาจิต เพื่ออาจใช้เป็นกรอบความคิดในการทำความเข้าใจการส่งเสริมการพัฒนาคุณภาพชีวิตตามแนวทางของ WHO ที่เสนอให้มีการพัฒนาคุณภาพชีวิตทั้งด้าน กาย (body) จิต (mind-mental) และจิตวิญญาณ (spirit-soul) สำหรับผู้ที่สนใจการพัฒนาคุณภาพชีวิตจะได้ใช้เป็นฐาน (fundamental thought) สำหรับรองรับความคิดสร้างสรรค์ต่างๆ ในการพัฒนาคุณภาพชีวิตได้อย่างรอบด้านต่อไป


Leave a comment