อ.ดร.พจนา มาโนช;

ระบบต่างๆ ของสังคมได้ถูกกระบวนการคอร์รัปชั่นทำลายหรือทำให้หย่อนยานนั้น อาจอุปมาได้ดังระบบตาข่ายที่ออกแบบไว้ตามแนวคิดโครงสร้างนิยม (Structuralism) มีการเชื่อมโยงกันระหว่างกฎ ระเบียบ กฎหมาย ในฐานะปมข่าย  และการประพฤติตามกฎในฐานใยข่าย ดังภาพ 1 ซึ่งในการอุปมานี้จะเรียกว่า ตาข่ายแห่งระบบ (the net of the system) โดยนวยุคนิยม (Modernism) เชื่อว่าตาข่ายนี้ออกแบบไว้ดีแล้ว มีความแข็งแรง และเสมอภาค

แต่คอร์รัปชั่นทำให้ตาข่ายนี้เกิดปัญหา การทำลายระบบย่อมทำให้ตาข่ายเกิดขาดเป็นรู การปล่อยปละละเลยทำให้ใยข่ายหย่อนยาน ไม่อาจขึงได้ตรึง ดังนั้น จึงเกิดภาวะ ถี่รอดตาช้าง ห่างรอดตาเลน หรือ ภาวะ ตาข่ายดักปลาเล็ก ปลาใหญ่รอด ซึ่งนวยุคเน้นเพิ่มกฎ การเพิ่มกฎก็เหมือนกับผูกปมข่ายให้มากขึ้น เชื่อมเส้นใยที่ขาดหายไป ด้วยเชื่อว่าตาข่ายที่ถี่จะดักจับได้ดีขึ้น รวมไปถึงการอบรมหลักเหตุผลด้วยเชื่อว่าจะทำให้ใยข่ายตรึงขึ้น เหมือนชาวประมงซ่อมแหอวนของตนให้ไม่ขาดและ    ตาข่ายตรึงอยู่เสมอ แต่ผู้เขียนมองว่า หากยังมองตาข่ายตามแนวคิดปรัชญานวยุคก็จะไม่สามารถแก้ไขปัญหาคอร์รัปชั่นได้ คอร์รัปชั่นบางอย่างก็เหมือนปลาใหญ่ ใหญ่เกินกว่าตาข่ายจะดักไว้ได้ ปลาบางตัวก็รอดผ่านรูตาข่ายได้ ดังนั้น จึงควรเปิดโอกาสให้แนวคิดปรัชญาหลังนวยุคสายกลาง (Moderate Postmodernism) ได้เป็นพื้นฐานคิดเพื่อการแก้ไขปัญหาคอร์รัปชั่น ซึ่งก็คือ การปะชุนตาข่ายด้วยแนวทางใหม่ 

ตามหลักปรัชญาหลังนวยุคสายกลาง ถือว่า แนวทางการต่อต้านคอร์รัปชั่นที่ได้ประมวลขึ้นเป็นหลักธรรมาภิบาลนั้นใช้ได้ แต่จะต้องมองผ่านปรัชญาหลังนวยุคสายกลาง คือ จะต้องพิจารณาการประกอบร่วมกันขององค์ประกอบ 3 อย่าง คือ กฎหมาย จรรยาบรรณ และจริยธรรม (กีรติ บุญเจือ, 2556) ทั้งนี้ กฎหมาย  คือ ระเบียบการต่าง ๆ ที่บังคับพลเมืองทุกคนของแต่ละประเทศชาติให้ต้องปฏิบัติและถือตามอย่างเสมอหน้ากัน  หากมีกรณียกเว้นก็ต้องยกเว้นแก่ทุกคนที่อยู่ภายใต้เงื่อนไขเดียวกัน  เพื่อให้เป็นไปได้อย่างนี้จำเป็นต้องมีบทลงโทษผู้ฝ่าฝืนอย่างเสมอหน้ากันด้วย  หากมีการแก้กฎหมายจะใช้บังคับตั้งแต่มีการประกาศแก้อย่างเป็นทางการแล้ว  จะย้อนหลังไม่ได้ กฎหมายจะต้องมีมากพอที่จะป้องกันความเสียหายในสังคม แต่ไม่มากเกินจำเป็น เพราะจะเป็นการละเมิดสิทธิเสรีภาพของผู้ถือกฎ เช่นนี้จึงจะได้กฎหมายที่ดี เป็น justified law อย่างแท้จริง จรรยาบรรณคือ ระเบียบการเพิ่มเติมสำหรับบุคคลกลุ่มหนึ่ง ๆ ที่ทำประโยชน์แก่สังคมและได้ผลประโยชน์จากสังคม จึงมีฐานะเป็นกฎหมายเฉพาะกลุ่มเพื่อค้ำประกันความรับผิดชอบเพียงพอต่อสังคมให้ได้ผลประโยชน์สูงสุดและผู้รับผิดชอบได้ผลตอบแทนคุ้มกับความเสียสละที่ยอมรับใช้สังคมตามข้อตกลง  จรรยาบรรณจึงมีฐานะเหมือนกฎหมายแต่ใช้เฉพาะกลุ่ม คือ ต้องมีบทลงโทษผู้ฝ่าฝืนโดยมีการสอบสวนและลงโทษอย่างเสมอหน้าเฉพาะกลุ่ม และ จริยธรรม คือ การกระทำดีใด ๆ นอกเหนือไปจากกฎหมายและจรรยาบรรณ  ส่วนนี้มีบทลงโทษไม่ได้  ได้แต่ชักขวนเกลี้ยกล่อมด้วยการอบรมเสนอแนะ  แต่ก็มีความสำคัญต่อการถือและปฏิบัติกฎหมายและจรรยาบรรณอย่างเต็มใจและมีความสุขด้วย  จึงมีการให้รางวัลได้เพื่อเป็นกำลังใจและเชิญชวนโดยทั่วไป จริยธรรมและกฎหมายต่างก็เป็นเครื่องมือที่มนุษย์สร้างขึ้นมาเพื่อควบคุมพฤติกรรมของบุคคลในสังคม แต่เมื่อวิเคราะห์โดยส่วนลึก จริยธรรมเป็นการกระทำเกินกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้ เป็นการทำด้วยจิตสำนึกที่ปราศจากการบังคับ ซึ่งต่างจากกฎหมายที่มีสภาพบังคับ หากไม่กระทำตามจะมีบทลงโทษหรือให้รางวัล ทั้งสองอย่างมีความแตกต่างกันแต่มีบทบาทเสริมกันและกัน

หลักการสำคัญของปรัชญาหลังนวยุคสายกลางก็คือ การแก้ปัญหาแบบองค์รวม ไม่แยกส่วน เมื่อจะแก้ปัญหาคอร์รัปชั่นก็ต้องให้ความสำคัญกับทั้งสองส่วนควบคู่กันไปแบบคู่ขนาน เมื่อคอร์รัปชั่นทำให้ระบบถูกทำลายหรือทำให้ระบบหย่อนยานเนื่องจากถูกปล่อยปละละเลย ดังนั้น จึงต้องทำให้ระบบกลับมาเข้มแข็ง โดยถือว่าหลักนิติธรรมหรือกฎหมายเป็นเกณฑ์หลัก ส่วนการอบรมบ่มนิสัยด้วยจริยธรรมเป็นเกณฑ์เสริม สองส่วนทำงานประสานควบคู่กันไป และเน้นคนในการฟื้นคืนระบบที่ดีเป็นเกณฑ์สนับสนุน เพื่อให้ระบบกลับมาทำหน้าที่ของตนได้อย่างเต็มประสิทธิภาพโดยเน้น

1. กฎหมายเป็นเกณฑ์หลัก มุ่งทำให้เกิดระบบระเบียบในเชิงระบบที่เข้มแข็ง มีอำนาจหน้าที่และบทบาทที่ชัดเจน เพื่อให้การดำเนินกิจการทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และรัฐวิสาหกิจเป็นไปตามครรลองทางกฎหมาย หากผู้ใดหรือคนกลุ่มใดไม่ปฏิบัติตามก็มีบทลงโทษทางกฎหมาย ไม่มีข้อยกเว้น เป็นเรื่องของความเสมอภาคในสังคม อย่างไรก็ตาม นอกจากเรื่องความเสมอภาคแล้ว ควรส่งเสริมความเท่าเทียมเพื่อให้เกิดความยุติธรรมทางกฎหมายด้วย

2. จริยธรรมเป็นเกณฑ์เสริม มุ่งทำให้ระบบมีความรัดกุม คนในระบบรู้และเข้าใจบทบาทหน้าที่ของตนต่อระบบและส่วนรวม เพื่อให้การดำเนินกิจการทั้งส่วนภาครัฐ ภาคเอกชน และรัฐวิสาหกิจเป็นไปตามทำนองครองธรรม ทั้งในด้านการอบรมจริยธรรมของแต่ละบุคคล และความรับผิดชอบต่อสังคม

3. เน้นคนในการฟื้นคืนระบบที่ดีเป็นเกณฑ์สนับสนุน มุ่งการให้คนเข้ามาเป็นส่วนสำคัญในการการฟื้นคืนหรือการฟื้นตัวของระบบ การฟื้นคืนมาจากคำว่า resilience ซึ่งมีรากลาตินว่า resiliens แปลว่า เด้งกลับ หรือ กระดอนกลับ หมายถึง ความสามารถของระบบหรือองค์ประกอบของระบบที่จะกลับมาอยู่ในสภาพที่ปกติได้อย่างรวดเร็วจากการถูกถึงให้ยืดหรือหย่อนยาน ดังเช่นที่ คอร์รัปชั่นทำให้ระบบถูกปล่อยปละละเลย ระบบที่หย่อนยานลงไปแล้วนั้น หากปล่อยเลยไปก็จะหย่อนยานยิ่งขึ้น เมื่อจะใช้กฎหมายและจริยธรรมมาจัดระบบให้กลับมาดีแล้ว จะต้องใช้การสนับสนุนให้ระบบฟื้นคืนกลับมาได้ด้วยคนที่อยู่ในระบบนั้น ให้โอกาสแก่คนในระบบได้เป็นส่วนหนึ่งในการฟื้นคืนระบบที่ดี ไม่เอาโทษหรือเอาผิดจนสุดทาง ในความประพฤติผิดจากการปล่อยปละละเลยของระบบนั้น เป็นความผิดวินัย ไม่จำเป็นต้องลงโทษรุนแรง แต่ใช้การสนับสนุนให้เขากลับตัวเป็นคนดี เป็นผู้ร่วมมือในการฟื้นคืนระบบที่ดี

การสนับสนุนเช่นนี้จะทำให้การใช้กฎหมายเป็นเกณฑ์หลักดำเนินไปอย่างมีประสิทธิภาพ และการใช้จริยธรรมเป็นเกณฑ์เสริมทำให้ระบบมีความเข้มแข็งขึ้น สุดท้าย ระบบที่ฟื้นคืนตัวได้ (Re-Structuralism) นี้ก็จะมีความสามารถในการปรับตัวและสามารถยับยั้งหรือป้องกันกระบวนการคอร์รัปชั่นในรูปแบบต่าง ๆ ได้ เป็นความสามารถในการปรับตัวและคงความเป็นระบบที่ดีได้ ดังเช่นงานของ Lewis (2017) เรื่อง Social impacts of corruption upon community resilience and poverty ที่ชี้ว่าคอร์รัปชั่นเป็นความรุนแรงที่เงียบ (quiet violence) ซึ่งผลของมันรุนแรงแต่ไม่อาจประเมินได้ สังคมจะต้องเตรียมความพร้อมในการฟื้นคืนทั้งในระดับตนเอง (self-reliance) และร่วมกันทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเพื่อการพื้นคืนของระบบ (change in order to survive) โดยต้องมีการแก้ไขเรื่องการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ การลดความยากจน การลดความเสี่ยงต่อภัยธรรมชาติ และการฟื้นคืนของสังคม เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพ ความยั่งยืนและความน่าเชื่อถือของระบบต่างๆ อีกครั้ง


Leave a comment