ผศ.(พิเศษ) ดร.เอนก สุวรรณบัณฑิต
ชาติรัฐสมัยใหม่จำนวนมากได้รับความเป็นชาติในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 โดยเฉพาะหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 จึงมีความพยายามที่จะเสริมสร้างความเป็นชาติ โดยมีเบื้องหลังเป็นลัทธิชาตินิยม (Nationalism) เพื่อปลุกใจให้คนรักชาติ รักประเทศ โดยวันสำคัญประจำชาติที่แต่ละประเทศกำหนด จะได้แก่ วันชาติ ซึ่งจะถือว่าเป็นวันก่อตั้งรัฐ (statehood) หรือดินแดน (nationhood) หรือเป็นวันสถาปนาประเทศ (Republic/Federation) หรือวันที่มีเอกราชในรัฐ หรือได้รับเอกราชคืนจากเจ้าอาณานิคมหรือผู้ยึดครอง (Independence day) สำหรับประเทศอีกจำนวนหนึ่ง วันชาติจะเป็นวันระลึกถึงกษัตริย์ หรือนักบุญหรือผู้ปกครองคนสำคัญ ซึ่งจะพิจารณาจากวันเกิด วันขึ้นครองราชย์ (อำนาจ) โดยทั่วไปจะมีพิธีการและการเฉลิมฉลองในระดับต่าง ๆ ทั้งนี้ มักจะมีนัยของศาสนาอารยะของรัฐ (civic religion) ซึ่งรุซโซ ( Jean-Jacques Rousseau) ได้ชี้ว่า รัฐมักจะมีระบบศีลธรรมและรากฐานทางจิตวิญญาณ (spiritual foundation) ของผู้คนของชาตินั้น ๆ เชื่อถือ และจะสะท้อนออกมาในวันสำคัญผ่านพิธีการสาธารณะ สัญลักษณ์ เช่น ธงชาติ และมีพิธีกรรมที่จัดขึ้นในวันสำคัญและสถานที่สำคัญ เช่น อนุสาวรีย์ สนามรบ หรือสุสานแห่งชาติ พิธีการหรือพิธีกรรมเหล่านี้จะช่วยให้ประเทศมีความเป็นเอกภาพ และเสมือนประชาชนได้มอบอำนาจอันศักดิ์สิทธิ์ให้แก่รัฐเพื่อว่ารัฐจะยึดถือและธำรงรักษาไว้
วันสำคัญของชาติอีกส่วนหนึ่ง มาจากวันสำคัญในอารยธรรมประจำชาติ ซึ่งสอดรับกับวันสำคัญทางศาสนาหลัก/ประจำของชาตินั้น โดยจะมีพิธีกรรมทางศาสนาตามวัฒนธรรมประจำชาติ/ดินแดน ร่วมด้วย
พิธีการหรือพิธีกรรมสำคัญของวันสำคัญของชาติที่ได้รับความนิยมจะคล้ายคลึงกันได้แก่
- การร้องเพลงประจําชาติในที่ประชุมสาธารณะ
- การยืนตรงเคารพธงชาติ
- ขบวนพาเหรดธงชาติ หรือการประดับธงประจําชาติ
- การจัดพิธีกรรม หรืองานเฉลิมฉลอง หรือกิจกรรมพิเศษเฉพาะของวันสำคัญของชาตินั้น โดยภาครัฐ หรือโดยการสนับสนุนของภาครัฐ
- การอ่านคําสาบานความจงรักภักดีในพิธีเข้ารับตําแหน่งประธานาธิบดีหรือ การมีปฐมบรมราชโองการในการขึ้นครองราชย์ของกษัตริย์
- การทบทวนหรือเผยแพร่ตํานานที่เกินจริง (exaggerate) หรือเรียบง่าย (simplification) ของผู้ก่อตั้งรัฐหรือผู้นําในอดีต หรือเหตุการณ์สําคัญ ๆ เช่น การต่อสู้ การอพยพขนาดใหญ่
- การสร้างอนุสาวรีย์ที่ระลึกถึงผู้นําที่ยิ่งใหญ่ในอดีต หรือเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์
- การสร้างอนุสาวรีย์เพื่อระลึกถึงทหารที่เสียชีวิต หรือพิธีประจําปีเพื่อรําลึกถึงทหารผ่านศึก
- พิธีการแสดงความเคารพต่อรัฐธรรมนูญของประเทศ หรือกษัตริย์ หรือประมุขแห่งรัฐ
- การส่งเสริมความสามัคคีกับบุคคลที่ถือว่าเป็นเพื่อนร่วมชาติที่อาศัยอยู่ในประเทศเดียวกัน และคนของชาตินั้นแต่อาศัยอยู่ในต่างประเทศ
- การแสดงความเกลียดชังต่อประเทศอื่นหรือกลุ่มชาติพันธุ์ที่เชื่อว่าเคยเป็นศัตรูของประเทศและ/หรือเคยทําร้ายและดูถูกประเทศในอดีต
- การจัดการพิธีศพของผู้นำประเทศหรืออดีตผู้นำประเทศ
ศาสนาอารยะของรัฐเป็นสิ่งที่ถูกสร้างขึ้น (constructed) และมีฐานะเป็นแหล่งกำเนิดคุณธรรมของพลเมือง (artificial source of civic virtue) รัฐจึงมักบังคับใช้จากบนลงล่าง และประชาชนมีส่วนร่วมโดยถือว่าเป็น “การบูชาตนเอง” นั่นคือ เมื่อยกย่องพิธีการ พิธีกรรมหรือสัญลักษณ์ ก็เท่ากับเป็นการยกย่องตนในฐานะพลเมืองของชาตินั้น และตนเป็นผู้รักชาติด้วย
วันสำคัญของชาติอีกส่วนเช่น วันพ่อ วันแม่ วันเด็ก ซึ่งตามประวัติศาสตร์โลก วันแม่ได้รับการเฉลิมฉลองมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 17 โดยมีการให้ดอกไม้แก่ผู้เป็นแม่ ต่อมาในสหรัฐอเมริกาได้มีการรณรงค์สิทธิของแม่ในฐานะแม่ผู้ทำงานหนัก และจัดฉลองวันแม่ ในช่วงปลายศตวรรษที่ 19-ต้นศตวรรษที่ 20 ต่อมาอีก 2-3 ปี จึงมีวันพ่อ โดยเป็นการรำลึกถึงพ่อผู้เสียสละ และสำหรับวันเด็กได้รับการประกาศโดย UN หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เพื่อการสร้างการตระหนักในสิทธิเด็กและส่งเสริมสวัสดิภาพของเด็ก
ภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก (Dilemma) เป็นภาวะที่อยู่ปรากฎอยู่ร่วมในแต่ละเหตุการณ์ที่มีภาวะเกินจำเป็นร่วมด้วย ทำให้คนบางกลุ่มได้อภิสิทธิ์ หรือบางกลุ่มด้อยสิทธิ์มากยิ่งขึ้น ความเห็นต่างในเรื่องของวันสำคัญของชาติจากฝ่ายก้าวหน้า (Progressives) หรือเสรีนิยม (Liberals) ซึ่งได้รับอิทธิพลจากแนวคิดสังคมสมัยใหม่ที่เน้นมนุษยนิยม และการพิทักษ์สิทธิ์ของปัจเจกบุคคล จึงมีกระแสต่อต้านการบังคับใช้กฎอันเกี่ยวเนื่องด้วยศาสนาอารยะของรัฐ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนของพิธีการ พิธีกรรม ซึ่งรัฐมักจะมีแนวปฏิบัติที่เคร่งครัดตามจารีตธรรมเนียม บางพิธีการเชื่อมโยงกับจิตวิญญาณแห่งยุคสมัย (zeitgeist) อันเป็นค่านิยมในยุคริเร่มพิธีการนั้น และมีผลต่อคนในสังคมเป็นวงกว้างด้วยเชื่อว่าเป็นจารีตธรรมเนียมที่ดี จึงเกิดการบังคับปฏิบัติ ปิดกั้นความสร้างสรรค์ หรือความเห็นต่างหรือการเสนอให้แก้ไข ภาวะเหล่านี้มักจะได้รับการต่อต้านจากฝ่ายอนุรักษ์นิยม (Conservatives) ซึ่งจะมีการพยายามที่จะเชื่อมไปสู่ระบบศีลธรรมของศาสนาหลักของชาติด้วย การไม่เห็นด้วยหรือต่อต้าน เท่ากับเป็นผู้ไม่นับถือศาสนาหรือผู้บูชาเทพเจ้าอื่น ซึ่งเป็นภาวะต้องห้ามของศาสนา ดังนั้นในศาสนาอารยะของรัฐ คนเหล่านี้ก็จะถูกจำกัดหรือทอนสิทธิ์ลงไป และในอีกมุมมองหนึ่งก็คือ ผู้ต่อต้านรัฐ ไม่ว่าจะใช้เหตุผลเชิงสังคมวิทยา จิตวิทยา เข้ามารองรับความเห็นต่างหรือไม่เห็นด้วยในพิธีกรรมเหล่านี้ ก็จะมีฝักฝ่ายที่ยอมรับและไม่ยอมรับอยู่เสมอ ผู้ชอบวิพากษ์วิจารณ์ก็ย่อมมีพื้นที่ในการวิจารณ์ได้เพิ่มขึ้น ผู้ไม่ชอบวิพากษ์วิจารณ์ก็จะเก็บงำไว้เป็นความไม่พอใจภายในตน ซึ่งอาจนำไปสู่ความไม่พอใจความเป็นชาติของตนได้เช่นกัน และจุดอ่อนนี้ฝ่ายอนุรักษ์นิยมก็รู้เช่นกัน แต่ยังไม่มีทางออกร่วมกันที่เป็นไปในทางสันติ ภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกนี้จึงอยู่ในช่วงทน ๆ กันไป (tolerance)
สำหรับวันสำคัญ เช่น วันพ่อ วันแม่ วันเด็ก ในชาติต่าง ๆ ก็ได้มีการจัดงานพิธีการหรือพิธีกรรมที่เกี่ยวเนื่องกับวันสำคัญเหล่านี้ โดยมีการจัดที่แตกต่างกันไปตามอารยธรรมและประเพณีของแต่ละประเทศ ในบางประเทศมีการเชื่อมโยงวันสำคัญเหล่านี้กับวันสำคัญประจำชาติ จึงได้รับผลเป็นภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกร่วมไปด้วย เช่น พิธีการในวันแม่ วันพ่อ วันครูที่จัดกัน บางสถานที่เน้นการย้อนพิธีการโบราณ บางสถานที่เน้นความร่วมสมัย และบางสถานที่ไม่จัดพิธีการ ทั้งนี้ขึ้นกับเหตุผลเชิงสังคมวิทยาหรือจิตวิทยา ด้วยแต่ละฝ่ายจะมีการรับฟังและมีการประนีประนอมเกิดขึ้น เพื่อให้เกิดการปฏิบัติในระดับพิธีการที่เหมาะสมตามยุคสมัยได้ต่อไป

