อ.ดร.รวิช ตาแก้ว

ความงามนั้นเป็นเรื่องการประเมินค่าวัตถุว่า มีค่าทางด้านจิตใจอยู่มากน้อยเพียงใด ซึ่งเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับสุนทรียศาสตร์ และก่อนประเมินค่าวัตถุว่ามีคุณค่าต่อจิตใจมากน้อย ควรพิจารณาคำถามถึงสุนทรียธาต์ (Aesthetic element) ก่อนว่า “สุนทรียธาตุมีจริงหรือไม่”  ซึ่งมีคำตอบที่เป็นไปได้ 2 คำตอบ คือ มีจริงและไม่มี  สำหรับกลุ่มที่เชื่อว่ามีจริง มี 2 แนวคิด คือ สุนทรียธาตุตามแนวคิดของอัตวิสัยนิยม และสุนทรียธาตุตามแนวคิดของวัตถุวิสัยนิยม แนวคิดทั้งสองมีกรอบความคิดที่แตกต่างกัน

                        แนวคิดอัตวิสัยนิยม (Subjectivism) มีความเห็นว่าสุนทรียธาตุมิได้มี จริง ๆ แต่มนุษย์กำหนดกันขึ้นมาเอง มาตรการตัดสินสุนทรียธาตุจึงไม่ตายตัว แล้วแต่ว่าคนใดจะมีรสนิยมอย่างไรก็กำหนดเอาอย่างนั้น ผู้ที่มีความคิดเห็นเช่นนี้ ในยุคแรกคือ เหล่าโซฟิสต์ในยุคกรีกโบราณที่ถือหลักการว่า “คนเป็นมาตรการวัดทุกสิ่ง” (Man is the measure of all things) เพราะฉะนั้นความงามและสุนทรียธาตุอื่น ๆ ย่อมขึ้นกับรสนิยมของแต่ละบุคคล ซึ่ง รีชาร์ด (I.A.Richards 1893 – 1979) ซันเทอยาเนอ (George Santayana 1863 – 1952) และออร์เตกา (Jose Ortegay Gasset 1883 – 1955) ต่างก็ยืนยันทรรศนะเช่นนี้ กลุ่มนี้เชื่อว่ามี “ความงาม” อยู่ในความคิดของมนุษย์

            ริชาร์ด (I.A.Richards) กล่าวว่า หน้าที่โดยตรงของศิลปะก็คือทำให้เกิดสุขภาพจิตแก่ผู้ที่สามารถมีประสบการณ์ทางสุนทรียศาสตร์ นั่นคือ มีหน้าที่ตอบสนองความต้องการทางจิตวิทยาของผู้ชม ผู้ชมมีความต้องการอะไร ศิลปะก็มีหน้าที่จะตอบสนอง หรือพูดอย่างรัดกุมได้ว่าศิลปกรรมก็คืองานสร้างสรรค์ของมนุษย์ที่สามารถตอบสนองความต้องการของผู้ชมในแต่ละกาละและเทศะ ซึ่งแสดงให้เห็นว่ามาตรการตัดสินสุนทรียธาตุไม่ตายตัว แต่ขึ้นอยู่กับความต้องการทางจิตวิทยาของผู้ชม

            ซันเทอยาเนอ (George Santayana) นิยามความงามว่าเป็นความรู้สึกพึงพอใจที่แสดงออกมาในวัตถุ “The feeling of beauty objectified” นั่นคือลักษณะอัตวิสัยของศิลปะสำหรับซันเทอยาเนอขึ้นอยู่กับจิตวิทยาของศิลปิน

             ออร์เตกา (Jose Ortegay Gasset) กล่าวว่า สุนทรียธาตุถือได้ว่าเป็น “สิ่งเหนือธรรมดา” (ultra-object) นั่นคือ เป็นความเป็นจริงของผู้มีประสบการณ์สุนทรียะของแต่ละคน

ในทรรศนะนักปรัชญาตะวันตก กลุ่มที่เชื่อว่าความงามมีจริง มี 2 แนวคิด คือ กลุ่มที่เชื่อว่ามีจริงอยู่ในความคิดของมนุษย์ทุกคน แต่ละคนมีความงามอยู่ในสมองที่ไม่เหมือนกัน ดังนั้นต้องหาความงามร่วมกันของสังคม ซึ่งต้องหาข้อสรุปร่วมกัน ในระยะแรกภาระนี้ถูกมอบหมายให้แก่ผู้ที่มีความสามารถในการรับรู้ที่ดีและมีวิธีการนำเสนอที่ดีกว่าทุกคน ซึ่งบุคคลผู้นี้อาจเป็นผู้ที่มีความสามารถพิเศษหรือพรสวรรค์พิเศษเป็นผู้นำเสนอแนวคิดของกลุ่มที่จะสร้างสรรค์หรือชักนำความงามตามแนวคิดที่กลุ่มต้องการ ในระยะแรก ๆ ความงามในลักษณะนี้เกี่ยวเนื่องกับความศรัทธาที่มีต่อพิธีกรรมหรือขนบธรรมเนียม ประเพณี และศาสนาที่แต่ละกลุ่มยอมรับนับถือ อีกทรรศนะหนึ่งเป็นทรรศนะที่เชื่อว่า ความงามเป็นอัตวิสัยได้เพราะเกิดมาจากประสบการณ์ในการรับรู้จากภายนอกของแต่ละบุคคล ซึ่งแนวคิดนี้ สิ่งแวดล้อมภายนอกเป็นเพียงปัจจัยเสริมส่วนหนึ่งที่ช่วยให้แต่ละคนสามารถพัฒนาอัตวิสัยของตนได้

                        แนวคิดวัตถุวิสัยนิยมหรือปรวิสัย (Objectivism) ถือว่าสุนทรียธาตุมีจริงโดยไม่ขึ้นกับความคิดของมนุษย์สุนทรียธาตุมีมาตรการตายตัวแน่นอนในตัวเอง แม้ไม่มีใครรู้มาตรการนั้นเลย สุนทรียธาตุก็ยังเป็นสุนทรียธาตุอยู่นั่นเอง การที่มนุษย์เราตัดสินไม่เหมือนกันในเรื่องสุนทรีย์ ก็เพราะว่ามีการตัดสินผิดพลาดกันอยู่มาก มาตรการที่แท้จริงจะต้องมีมาตรการเดียว ในเมื่อคนหลายคนตัดสินความงามไม่ตรงกันนั้น อาจจะเป็นได้ว่าไม่มีใครตัดสินถูกเลย ถ้าจะมีมาตรการที่ถูกต้องก็จะต้องมีมาตรการเดียวเท่านั้น มาตรการอื่น ๆ ล้วนแต่ผิดพลาดทั้งสิ้น ซึ่ง เพลโต (Plato 423 – 347 BCE) อาริสโตเติล (Aristotle 384 – 322 BCE) และเฮเกล (Georg Wilhelm Friedrich Hegel 1770 – 1831) ต่างก็ยืนยันทรรศนะนี้

                         เพลโต(Plato) เชื่อว่าความงามมาตรฐานมีอยู่อย่างปรนัยในโลกแห่งมโนคติ ศิลปินมีความสามารถในการระลึกถึงความงามมาตรฐานได้ใกล้เคียงมากเป็นพิเศษ จึงพยายามถ่ายทอดโดยใช้สื่อต่าง ๆ กัน เมื่อผู้ชมได้ชมศิลปกรรมจะระลึกความงามมาตรฐานเดียวกันนั้นในระดับต่าง ๆ กัน อย่างไรก็ตามเพลโทว์ให้แยกสุนทรียธาตุออกจากมายาหลอนประสาทที่ช่างเทคนิคใช้ล่อใจให้หลงใหลติดใจ เพลโทว์เชื่อว่า สิ่งเหล่านี้เป็นอุปสรรคต่อการอบรมศึกษาพัฒนาตนเพราะเมื่อขัดข้องทางเทคนิคแล้วจะไม่สนใจเข้าถึงโลกแห่งมโนคติ

            อาริสโตเติล (Aristotle) เชื่อว่าความงามอยู่ที่ความกลมกลืนของสัดส่วน  ต่าง ๆ เพราะสัดส่วนทำให้เกิดการผ่อนคลายของประสาทและอวัยวะต่าง ๆ ความยิ่งใหญ่ของศิลปินจึงอยู่ที่ความสามารถค้นพบความกลมกลืนนี้มาถ่ายทอดลงในสื่อ

             เฮเกล (Georg Hegel) เชื่อว่าความงามเป็นลักษณะของจิตอสัมพัทธ์ ผู้ใดได้ฝึกสมรรถภาพทางจิตให้สุขุมก็จะสามารถล่วงรู้ถึงความงามของจิตได้

ในทรรศนะนักปรัชญาตะวันตกกลุ่มที่เชื่อว่า “ความงามเป็นปรวิสัย” นั้น ในระยะแรกมองโลกและชีวิตมนุษย์ที่ไม่มีความสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน ในระยะต่อมาจึงมีผู้เสนอความคิดเห็นว่า โลกและชีวิตมีความสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน กลุ่มนี้จึงเชื่อว่า ความงามมีอยู่จริง ซึ่งปรากฎอยู่ภายนอกสมองมนุษย์ มนุษย์บางคนมีความสามารถในการรับรู้ความงามนั้น จึงถ่ายทอดความรู้สึกที่รับรู้ให้ผู้อื่นรับรู้ด้วย แต่ด้วยเหตุที่แต่ละคนรับรู้และรู้สึกในเรื่องความงามไม่เท่ากัน จึงทำให้การถ่ายทอดความงามแตกต่างกัน อย่างไรก็ตามแม้ว่า ไม่มีมนุษย์คนใดรับรู้ความงามในธรรมชาติได้ ความงามนั้นก็ยังปรากฏให้เห็นในธรรมชาติ ซึ่งเป็นความงามที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ ถ้าไม่มีความงามในลักษณะเช่นนี้ มนุษย์ก็ไม่สามารถรับรู้เรื่องความงามได้

                        


Leave a comment