ผศ.(พิเศษ) ดร.เอนก สุวรรณบัณฑิต;

วันวาเลนไทน์มีรากฐานจากนักบุญวาเลนไทน์ (St.Valentine 226-269) ซึ่งเป็นนักบวชในศาสนาคริสต์ ในกรุงโรม ช่วงศตวรรษที่ 3 ในสมัยจักรพรรดิคลอดิอุสที่ 2 (Claudius II) ซึ่งปกครองด้วยความเข้มงวดและเชื่อว่าทหารโสดมีประสิทธิภาพในการรบมากกว่าทหารที่แต่งงานแล้ว ดังนั้นจักรพรรดิจึงออกกฎหมาย ห้ามชายหนุ่มแต่งงาน เพื่อให้พวกเขาอุทิศตนให้กับกองทัพ

วาเลนไทน์ไม่เห็นด้วยกับกฎหมายนี้ เพราะเขาเชื่อว่าความรักเป็นของขวัญจากพระเจ้าและการแต่งงานเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เขาจึงแอบทำพิธีแต่งงานให้คู่รักอย่างลับ ๆ เมื่อจักรพรรดิคลอดิอุสที่ 2 รู้เรื่องนี้ วาเลนไทน์ถูกจับกุมและขังคุก ท่านถูกประหารชีวิตเมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 269 หลังจากวาเลนไทน์เสียชีวิต พระศาสนจักรคาทอลิกได้แต่งตั้งให้เขาเป็น เซนต์วาเลนไทน์แห่งโรม (Saint Valentine of Rome) และวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ถูกกำหนดให้เป็นวันฉลองนักบุญวาเลนไทน์ (Feast of Saint Valentine)

วันวาเลนไทน์ยังมีความเชื่อมโยงกับ เทศกาล Lupercalia ซึ่งเป็นเทศกาลโรมันโบราณที่จัดขึ้นในช่วงกลางเดือนกุมภาพันธ์เพื่อเฉลิมฉลองความอุดมสมบูรณ์และความรัก ต่อมา เมื่อศาสนาคริสต์แพร่หลาย พระสันตะปาปาเกลาซิอุสที่ 1 (Pope Gelasius I 492-496) ได้เปลี่ยนเทศกาลนี้ให้กลายเป็นวันนักบุญวาเลนไทน์แทน

อย่างไรก็ตาม ในประวัติศาสตร์ มีนักบุญที่ชื่อ วาเลนไทน์มากกว่าหนึ่งคน ซึ่งอาจทำให้เกิดความสับสน ตัวอย่างของนักบุญวาเลนไทน์ที่เป็นที่รู้จัก ได้แก่ เซนต์วาเลนไทน์แห่งแตร์นี (Saint Valentine of Terni) บิชอปวาเลนไทน์แห่งแตร์นี ในตำนานเล่าว่า ท่านไม่เห็นด้วยกับกฎหมายนี้และได้ แอบทำพิธีแต่งงานให้คู่รักชาวคริสต์ เพื่อสนับสนุนความรักและศรัทธาในคริสต์ศาสนา วาเลนไทน์ถูกเฆี่ยนตีและตัดศีรษะ ซึ่งทำให้เขาได้รับการยกย่องเป็นมรณสักขี (Martyr) ของศาสนาคริสต์

เนื่องจากตำนานใกล้เคียงกัน นักประวัติศาสตร์บางคนจึงเชื่อว่า Saint Valentine of Terni และ Saint Valentine of Rome อาจเป็นบุคคลเดียวกัน เนื่องจากทั้งสองคนถูกกล่าวถึงในช่วงเวลาใกล้เคียงกัน และถูกประหารชีวิตในกรุงโรมในวันที่ 14 กุมภาพันธ์เช่นกัน แต่ข้อมูลจากเอกสารบางฉบับระบุว่า Saint Valentine of Terni เป็นบิชอปและมีภารกิจเผยแพร่ศาสนาอย่างแข็งขันในเมืองแตร์นี ซึ่งหลักฐานใหม่ระบุว่าท่านเสียชีวิตเนื่องจากพยายามทำให้คนหนุ่มสาวเปลี่ยนมานับถือศาสนาคริสต์ และถูกประหารเมื่อ ค.ศ.347 ในขณะที่ Saint Valentine of Rome ก็เป็นนักบวชที่ช่วยเหลือคริสเตียนที่ถูกข่มเหงในกรุงโรม ซึ่งถูกประหารในปี ค.ศ.269 จึงน่าจะเชื่อว่าเป็นบุคคลที่แยกกัน ไม่ใช่คนเดียวกัน แต่เอกสารใหม่กลับไม่อาจระบุได้ว่า ท่านใดเป็น Valentine ในตำนานกันแน่

ในยุคกลาง (Medieval Period) แนวคิดเรื่องความรักได้รับอิทธิพลจากคติของอัศวินและจริยธรรมทางศาสนา ความรักแบบอัศวิน (Courtly Love) เป็นอุดมคติของความรักที่โรแมนติกและบริสุทธิ์ โดยมักเกี่ยวข้องกับการแสดงความเคารพและภักดีต่อหญิงสูงศักดิ์ ซึ่งบางครั้งเป็นความรักที่ไม่สมหวังหรือลึกซึ้งในจิตใจมากกว่าความสัมพันธ์ทางกาย

นักปรัชญาในยุคกลาง เช่น โทมัส อไควนัส (Thomas Aquinas 1225-1274) ได้เชื่อมโยงความรักกับแนวคิดทางเทววิทยา โดยมองว่าความรักที่แท้จริงต้องเป็นไปตามหลักศีลธรรมและความดีงาม นอกจากนี้ ความรักยังถูกมองว่าเป็นพลังที่เชื่อมโยงมนุษย์กับพระเจ้า นักบุญฟรองซัวแห่งซาล (St.Francois de Sales 1567-1622) แนะนำให้ใช้วิธีง่าย ๆ ซึ่งทุกคนปฏิบัติได้คือ ใช้ความรักเป็นจุดเริ่มต้น และเป็นพื้นฐานตลอดไป ท่านสอนว่าใครมีความรักก็มีชีวิตพระเจ้าแล้ว แต่ต้องเป็นความรักแท้เสียสละ ซึ่งจะทำให้ผู้ที่รักอย่างเสียสละนี้บรรลุความรักสมบูรณ์แบบ และตนได้เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์สูงส่ง ยิ่งรักพระเจ้ามากก็ยิ่งมีชีวิตพระเจ้ามาก ใครมีความรักก็จะมีความสุข มีความชื่นชมยินดี แต่ถ้ารักพระเจ้า ความสุขและความชื่นชมยินดีก็มีบ่อเกิดจากสิ่งนิรันดร ความรักแบบ Agape นี้เป็นหนึ่งในความรักทั้ง 7 ของปรัชญาโบราณ

ปรัชญากรีกโบราณแบ่งประเภทของความรักออกเป็น 7 รูปแบบ แต่ละประเภทให้มุมมองที่แตกต่างกันเกี่ยวกับความรักและความสัมพันธ์ ได้แก่

  1. Eros (ความรักแบบปรารถนาและกิเลส) เป็นความรักที่เกี่ยวกับความต้องการทางร่างกายและแรงดึงดูดทางเพศ (sex appeal)
  2. Philia (มิตรภาพและความรักที่บริสุทธิ์) เป็นความรักแบบเพื่อนที่เต็มไปด้วยความจริงใจและความซื่อสัตย์ เป็นรากฐานของความไว้วางใจและความเข้าใจ
  3. Ludus (ความรักแบบสนุกสนานและเจ้าชู้) เป็นความรักที่เกิดจากการเล่นเกม การหยอกล้อ หรือความสนุกในชีวิตในช่วงต้นของความสัมพันธ์ เป็นความจำเป็นในการรักษาความสัมพันธ์ให้สดใส
  4. Storge (ความรักของครอบครัวและสายสัมพันธ์) เป็นความรักที่เกิดจากความผูกพันทางสายเลือด เช่น ความรักของพ่อแม่ต่อลูก เป็นรากฐานของความอบอุ่นและการสนับสนุนในชีวิตจากครอบครัว
  5. Pragma (ความรักที่มีเหตุผลและการประนีประนอม) เป็นความรักที่เติบโตจากความเข้าใจและการดูแลกันในระยะยาว เช่น คู่สมรสที่อยู่ด้วยกันมานาน ความรักที่มั่นคงที่อาศัยการยอมรับข้อบกพร่องและปรับตัวเข้าหากัน
  6. Mania (ความรักแบบครอบงำและอารมณ์รุนแรง) เป็นความรักที่มักมาพร้อมกับความหึงหวงและการยึดติด เป็นความปรารถนาที่จะอยู่ใกล้ชิด ไม่ห่างเหิน และมีความรู้สึกเป็นเจ้าของร่วมด้วย
  7. Agape (ความรักที่เสียสละและไร้เงื่อนไข) เป็นความรักที่สูงส่ง เช่น ความรักของพระเจ้าต่อมนุษย์ หรือการทำดีเพื่อผู้อื่นโดยไม่หวังผลตอบแทน มุ่งที่จะรักและเสียสละในสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อผู้อื่น เช่น เพื่อนมนุษย์ อีกด้วย

เดวิด ฮิวส์ (David Hume 1711-1776) ได้เสนอไว้ว่า การรู้ว่าอะไรให้ความพอใจ อะไรให้ความทุกข์เป็นเรื่องของความรู้สึก (sentiment) ไม่ใช่เรื่องของเหตุผล ความรู้สึกที่สำคัญของมนุษย์คือ ความชอบตัวเองเกิดเป็นความภาคภูมิใจ (Pride) ความชอบต่อผู้อื่นเกิดเป็นความรัก ( Love) ความชอบต่อวัตถุเกิดเป็นความชอบ (Like) ซึ่งความรู้สึกทั้งสามมิตินี้ให้ความพอใจแก่เราได้ จากแนวคิดนี้มนุษย์ในยุคสมัยใหม่จึงแสวงหาความชอบทั้ง 3 รูปแบบในนามของความรักอยู่เสมอ

ในยุคปัจจุบัน แนวคิดเกี่ยวกับความรักได้พัฒนาไปตามสังคมที่ทันสมัยและมีความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี ทำให้เกิดมุมมองใหม่ ๆ เกี่ยวกับความสัมพันธ์ มิติของความรักจึงปลี่ยนแปลงไป ซึ่งคนรุ่นใหม่มีแนวโน้มที่จะมี Liquid Love ความรักที่ลื่นไหลและเปลี่ยนแปลงง่าย ซึ่ง Zygmunt Bauman มองว่าเป็นรูปแบบความรักในยุคที่โลกเต็มไปด้วยความไม่แน่นอนและเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา โซเชียลมีเดียและความสัมพันธ์ทางไกล ทำให้ความรักกลายเป็นสิ่งที่คล้ายกับของเหลว ความรักสามารถไหลไปมาและเปลี่ยนแปลงได้ง่าย คนเราจึงมักมองหาทางเลือกใหม่อยู่เสมอ ทำให้ความสัมพันธ์ไม่ชัดเจน ไม่แข็งแรง ความสัมพันธ์อาจเริ่มและจบลงได้อย่างรวดเร็วผ่านแอปหาคู่ หรือการรู้จักผ่านโซเชียลมีเดียต่าง ๆ เกิดการสร้างความสัมพันธ์เป็นไปอย่างรวดเร็วและไม่จำเป็นต้องมีความผูกพันลึกซึ้ง จึงเป็นความสัมพันธ์แบบชั่วคราว เปราะบางและไม่มั่นคง เนื่องจากคนรุ่นใหม่กลัวการผูกมัด (commitment/phobia) เพราะมองว่าความสัมพันธ์เป็นภาระ นอกจากนี้คนรุ่นใหม่เป็นคนช่างเลือก สรรหาและเลือกความรักเหมือนเป็นสินค้า (consumerist love) หากไม่พอใจก็เปลี่ยนใหม่ จึงมักจะพบเป็นความสัมพันธ์ที่เน้นความพอใจระหว่างกันเป็นครั้งคราวเท่านั้น เป็นความสัมพันธ์ที่ผิวเผิน (superficial relationship) ซึ่งอาจทำให้เกิดความรู้สึกว่างเปล่าและความไม่มั่นคงทางอารมณ์ได้

นักคิดจึงเสนอ Lucid Love ความรักที่ตระหนักรู้ (Self-aware Love) มีสติ ตระหนักรู้และเข้าใจทั้งตัวเองและคู่รัก เป็นความรักที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของการรู้เท่าทันอารมณ์ ความต้องการ ความปรารถนาและขีดจำกัดของตัวเอง การเข้าใจตัวเองและคู่รักทำให้ไม่คาดหวังให้คนรักมาเติมเต็มส่วนที่ขาด แต่พร้อมจะเติบโตไปด้วยกัน ความรักที่มีเหตุผลและไม่หลอกตัวเอง จึงเป็นรักที่ไม่เพ้อฝันหรือคาดหวังสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ คู่รักย่อมมุ่งความสัมพันธ์ที่มีความสม่ำเสมอและมั่นคงไม่ใช่แค่ความหวือหวา ไม่วางอยู่เพียงความรักแบบโรแมนติก แต่เข้าใจได้ว่าความรักมีหลายรูปแบบ เช่น ความรักตัวเอง (self-love) และมิตรภาพ (friendship-philia) คนยุคนี้มีแนวโน้มที่จะมีความสัมพันธ์บนพื้นฐานของความเป็นตัวเอง (authenticity) มากขึ้น ทำให้เกิดความขัดแย้งในความสัมพันธ์ได้ง่าย การมี lucid love จึงน่าจะช่วยให้คนรุ่นใหม่สร้างความสัมพันธ์ที่มีความหมาย (powerful meaning) มากกว่าการมองหาคู่รักเพียงเพราะกลัวเหงา หรือเพราะแรงกดดันทางสังคม

แนวทางที่คนรุ่นใหม่ควรรู้และสร้างเข้าใจที่ลึกซึ้ง นั่นคือ การมีเสรีภาพในการเลือก และเลือกสิ่งที่เหมาะสมกับตน หากต้องการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีในระยะยาว ก็ควรเลือก Lucid Love โดยพยายามสร้างความสัมพันธ์ที่มีรู้เท่าทันตนและมุ่งความรักที่มีความหมาย มากกว่าการมองหาเพียงความสัมพันธ์ที่ตนพอใจแต่ฝ่ายเดียว แต่ละคนควรเข้าใจว่าความรักต้องมีการเติบโต ความรักที่ดีไม่ใช่แค่เป็นความตื่นเต้นในระยะแรก แต่เป็นการเรียนรู้และปรับตัวไปด้วยกัน คู่รักไม่ควรยึดติดกับความสมบูรณ์แบบในยุคที่ทุกคนสามารถเลือกได้มากขึ้น การมองหาคนที่สมบูรณ์แบบอาจทำให้เราคาดหวังและมุ่งหวังให้อีกฝ่ายเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ เป็นความสมบูรณ์แบบที่เราอยากได้ แต่การหลงความสมบูรณ์แบบนั้นก็จะทำให้เราพลาดโอกาสในการสร้างความสัมพันธ์ที่แท้จริง คู่รักควรที่จะพูดคุย สื่อสารและทำความเข้าใจระหว่างกัน ยอมรับในข้อดีและข้อด้อยของกัน พร้อมที่จะปรับตัวเพื่อชีวิตคู่ที่ดี ความรักที่มั่นคงต้องอาศัยการเคารพซึ่งกันและกัน การให้เกียรติระหว่างกัน ในท้ายที่สุด ความรักที่ดีคือความรักที่ทำให้เรามีความสุขและเติบโตไปพร้อมกัน เราก็ควรใช้อารมณ์ความรู้สึกและเหตุผลอย่างเหมาะสมในการเลือกเส้นทางที่พอดีกับตัวเองและทำให้ชีวิตของเรามีความหมายมากขึ้น

สรุป วาเลนไลน์ทำให้เรานึกถึงความรักที่แท้จริง เป็นของขวัญและเป็นความศักดิ์สิทธิ์ที่มีความหมายในชีวิตของเรา อย่างไรก็ตาม เราควรเข้าใจความรู้ทั้ง 7 รูปแบบอย่างกรีกไว้เป็นพื้นฐาน และเข้าใจความรักต่อพระเจ้าสำหรับผู้นับถือศาสนา การเข้าใจว่าความรักเป็นเรื่องของความรู้สึก ไม่ใช่เหตุผล ก็สำคัญ แต่การมีความรักอย่างลื่นไหลในปัจจุบันก็น่าจับตามมอง และการมีความรักอย่างรู้ตัวก็น่าที่จะเป็นท่าทีที่เราควรเข้าใจเพื่อความรักของเราที่มีความหมายในชีวิตของเรานั่นเอง


Leave a comment