ผศ.(พิเศษ) ดร.เอนก สุวรรณบัณฑิต;
ในปรัชญาศาสนามีความสนใจเกี่ยวกับแนวคิดของฝ่ายจิตวิญญาณที่มีลักษณะผสมผสานหลักปรัชญา ศาสนา และจิตวิทยา เพื่อเป็นการใช้แนวคิดการฝึกฝนทางจิตวิญญาณเสริมอัตตาหรือผลประโยชน์ส่วนตน แทนที่จะปล่อยวางอัตตาและบรรลุสัจธรรมตามเป้าหมายของลัทธิหรือศาสนานั้น อย่างไรก็ตาม ควรสนใจและเข้าใจที่มาและประเภทของแนวคิดต่าง ๆ ให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น
ไสยศาสตร์
Occult เป็นคำที่มาจากภาษาละติน occultus หมายถึง สิ่งที่ถูกซ่อนเร้น หรือสิ่งลี้ลับ ในเชิงจิตวิญญาณ แนวคิดเกี่ยวกับไสยศาสตร์เกี่ยวข้องกับการแสวงหาความรู้หรือพลังที่อยู่นอกเหนือการรับรู้ปกติของมนุษย์ โดยมีรากฐานอยู่ในศาสตร์ลี้ลับเกี่ยวกับพลังและกฎเกณฑ์ที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังธรรมชาติ ศาสนา และปรัชญาโบราณ นั่นคือไม่ได้หมายถึงเวทมนตร์ (magic) หรือศาสตร์มืด (dark ars)
ในเชิงจิตวิญญาณ ไสยศาสตร์เป็นการปลุกพลังภายในและการเปลี่ยนแปลงจิตสำนึก
คล้ายกับแนวคิดของโยคะ การฝึกตนในพระพุทธศาสนา และอัลเคมีทางจิต (Spiritual Alchemy) ที่มุ่งเน้นการแปรเปลี่ยนจิตใจไปสู่ระดับที่สูงขึ้น ในการฝึกฝนจะเรียกว่า Magick เป็นศาสตร์แห่งการเปลี่ยนแปลงความเป็นจริงให้สอดคล้องกับเจตจำนง คล้ายกับกฎแห่งแรงดึงดูด (law of attraction) ที่เชื่อว่าความคิดและความตั้งใจสามารถสร้างผลลัพธ์ในโลกจริงได้
นอกจากนี้ ไสยศาสตร์บางสาขาสนใจการสื่อสารกับพลังที่มองไม่เห็น เช่น เทวดา จิตวิญญาณ หรือพลังจักรวาล มีความคล้ายคลึงกับความเชื่อทางกายทิพย์ (Esotericism) และพิธีกรรมทางศาสนา เช่น การอัญเชิญ การพยากรณ์ การใช้พลังงานจักรวาล เป็นต้น
แนวทางที่ไสยศาสตร์ได้ประยุกต์ใช้เพื่อการปฏิบัติทางจิตวิญญาณ ได้แก่
Theurgy พิธีกรรมที่มุ่งสู่การรวมจิตกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์
Alchemy การเล่นแร่แปรธาตุ ศาสตร์ที่แปลงจิตใจจากสภาวะต่ำไปสู่ แปลงตะกั่วเป็นทองคำ
Divination ศาสตร์แห่งการพยากรณ์ เช่น ไพ่ทาโรต์ โหราศาสตร์ หรือไพ่ออราเคิล
Astral projection การฝึกจิตออกจากร่างกายเพื่อสำรวจมิติอื่น
Energy work การใช้พลังงานเพื่อบำบัด เช่น เรกิ ปราณ จักระ
มันตรยาน
มันตรยาน (Mantrayana) เป็นแนวทางปฏิบัติทางจิตวิญญาณที่เน้นการใช้มนตร์ (mantra) หรือคำศักดิ์สิทธิ์เพื่อพัฒนาจิตสำนึกและเข้าถึงภาวะที่สูงขึ้น มันตรายานเป็นหนึ่งในแขนงของวัชรยาน (Vajrayana) ซึ่งเป็นนิกายหนึ่งของพุทธศาสนา และมักเกี่ยวข้องกับ พุทธตันตระ (Tantric Buddhism) มันตรายานถือว่า มนตร์เป็นพลังงานศักดิ์สิทธิ์ซึ่งสามารถเปลี่ยนแปลงจิตใจ ชำระล้างกรรม และช่วยให้ผู้ปฏิบัติเข้าถึงสภาวะรู้แจ้งได้เร็วยิ่งขึ้น
มันตรายานเชื่อว่าทุกสิ่งในจักรวาลประกอบด้วยพลังงานสั่นสะเทือน (vibration) การสวดมนตร์คือ การปรับจิตใจให้สอดคล้องกับความถี่ที่สูงขึ้น เพื่อช่วยให้เข้าถึงพลังแห่งสติรู้และจิตวิญญาณ แนวคิดนี้คล้ายกับพลังเสียงศักดิ์สิทธิ์ (sacred sound) ในฮินดู เช่น โอม (Om) ซึ่งถือว่าเป็นเสียงต้นกำเนิดของจักรวาล
มนตร์ไม่ใช่เพียงการเป็นคำศักดิ์สิทธิ์ แต่เป็นเครื่องมือในการฝึกจิต การสวดภาวนาทำให้เกิดสมาธิ และช่วยขัดเกลาความคิดที่เป็นอกุศล นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงรูปแบบความคิด (thought pattern/ shifted mental model) นอกจากนี้มนตร์บางบทยังช่วยชำระล้างกรรม ขจัดอุปสรรคในการบรรลุธรรม และนำไปสู่ปัญญาญานเพื่อการตื่นรู้ในระดับสูงยิ่ง ๆ ขึ้น
มันตรายาน ยังเชื่อว่า มนตร์บทหนึ่ง ๆ ถูกใช้เป็นสื่อกลางในการเชื่อมโยงกับพระพุทธเจ้า พระโพธิสัตว์ และธรรมเทพองค์หนึ่ง ๆ โดยเฉพาะของบทมนตร์นั้นได้ การสวดมนตร์อย่างสม่ำเสมอช่วยให้เกิดการเชื่อมต่อกับพลังของพระองค์เหล่านั้นเข้ามาสู่จิตของผู้ปฏิบัติได้
อย่างไรก็ตาม มีความเชื่อว่า เมื่อฝึกฝนมนตร์ ย่อมมีภาวะอิทธิบาท (Siddhi powers) ดั่งสิทธา (นักสิทธิ์) ทั้งหลาย นั่นคือ ฉันทะ (ความพอใจ) รักในสิ่งที่ทำ เห็นคุณค่าในสิ่งที่ทำ วิริยะ (ความเพียร) พยายาม เข้มแข็ง อดทน สม่ำเสมอ ไม่ท้อถอย จนเกิดความชำนาญ จิตตะ (ความตั้งใจ) ตั้งใจทำสิ่งนั้น มุ่งมั่น ทำให้มีคุณภาพ ละเอียด สมบูรณ์ มีสมาธิ มีสติ ทำให้ได้ผลออกมาดี วิมังสา (พิจารณาใคร่ครวญ) พินิจ ตรวจสอบ แก้ไข ปรับปรุง พัฒนาตลอดเวลาให้ดียิ่งๆขึ้นไปเสมอ ดังนั้น การฝึกสวดมนตร์ในระดับสูงย่อมสามารถเปิดพลังพิเศษ ฤทธิ์ ปาฏิหาริย์ เช่น ญาณทัศนะ หรือพลังบำบัดได้
ความยึดมั่นทางจิตวิญญาณ
เมื่อบุคคลฝึกฝนจิตวิญญาณ แต่หากไม่ใช้การฝึกฝนจิตวิญญาณไปเพื่อยังประโยชน์ตน ประโยชน์ท่าน ประโยชน์ผู้อื่น และปราชญ์สรรเสริญ ก็ย่อมเกิดเป็นฝ่ายลบ นั่นคือ การใช้แนวทางจิตวิญญาณเพื่อเสริมสร้างอัตตา (Egoism) หรือผลประโยชน์ส่วนตน (self benefit) นำไปสู่ความเป็นสาขาแห่งความยึดมั่นทางจิตวิญญาณ ได้แก่
จิตวิญญาณแห่งอัตตา (Ego Spirituality) เป็นการพัฒนาทางจิตวิญญาณที่มุ่งเน้นให้อัตตาแข็งแกร่งขึ้น ทำสิ่งต่าง ๆได้โดยไร้ขีดจำกัด เช่น คนที่ฝึกฝนการปฏิบัติสมาธิหรือโยคะเพื่อสร้างพลังแห่งจิต และกระทำการตามอำเภอใจ ไม่ได้มุ่งเน้นความรู้แจ้ง นำไปสู่อุปาทานการเป็นตัวตนใหม่ (new ideal self)
มายาคติแห่งสติรู้ (McMindfulness ) เป็นการฝึกฝนสติรู้ (mindfulness) ในเชิงพาณิชย์เหมือนร้าน McDonald เช่น การเข้าคอร์สฝึกสมาธิ ร่วมกับการเสนอขายสินค้าที่ช่วยในการฝึก เช่น กระดิ่ง ระฆัง ประคำ ขัน และสนับสนุนการมีเข้าฝึกฝนในคอร์สชั้นสูงหรือการมีสิ่งของร่วมในการฝึกตนเหล่านี้ในระดับที่แพงขึ้นโดยเชื่อว่าจะดียิ่งขึ้นในการฝึกฝนจิตวิญญาณ
บริโภคนิยมเชิงจิตวิญญาณของชาวยุคใหม่ (New Age Consumerism ) เป็นแนวทางการดำรงอยู่ของคนรุ่นใหม่ที่มีความเชื่อในหลักจิตวิญญาณ และมุ่งเน้นการเสริมสร้างพลังโชคดีของตน เช่น หิน คริสตัล ชะตาพยากรณ์ ฮวงจุ้ย เครื่องราง เป็นต้น
จิตวิญญาณเชิงการแสดงออก (Performative Spirituality) เป็นแนวทางของผู้ที่สนใจในทางจิตวิญญาณและต้องการแสดงออกทางจิตวิญญาณ เช่น โพสต์รูปนั่งสมาธิ โยคะ หรือคำคมเชิงธรรมะบนโซเชียลมีเดีย เพื่อสะท้อนว่าตนเองเป็นคนที่ตื่นรู้ เช่น Lightworker, higher self ในส่วนนี้นำไปสู่การมีอัตตาและการก่อกำเนิดสำนักต่าง ๆ ได้
ภาวะหลงตัวเองเชิงจิตวิญญาณ (Spiritual Narcissism) เป็นภาวะที่บุคคลที่หลงตนเองว่าเป็นผู้มีพลังทางจิตวิญญาณ คนที่เชื่อว่าตนเองเป็นผู้รู้แจ้งและใช้ระดับจิตวิญญาณเป็นเครื่องมือในการตัดสินผู้อื่นว่าต่ำกว่าตน
การรู้แจ้งปลอม (False Enlightenment) เป็นการที่บุคคลเข้าใจว่าตนเองบรรลุธรรมตามเป้าหมายของศาสนาแล้ว จึงถือตนและชี้โทษ ตำหนิผู้อื่น นอกจากนี้ คนเหล่านี้มักเสนอแนวทางการใช้ชีวิตตามหลักศาสนาอย่างเคร่งครัด และเชื่อว่าตนนั้นเข้าใจสิ่งนั้นถูกต้องที่สุด แต่หากมีปัญหาในชีวิตจริงก็จะใช้แนวทางจิตวิญญาณเป็นทางลัด (Spiritual Bypassing) เพื่อหลีกหนีปัญหาแบบให้เวลาเยียวยาทุกสิ่ง (wait and see policy)
วัตถุนิยมเชิงจิตวิญญาณ (Spiritual Materialism) เป็นบุคคลที่ใช้แนวคิดทางจิตวิญญาณเพื่อแสวงหาความมั่นคงเชิงวัตถุส่วนบุคคล เช่น ความร่ำรวย ทรัพย์สิน อำนาจ สถานะทางสังคม แบ่งเป็น Ego-based SM แสวงหาความรู้หรือการปฏิบัติทางจิตวิญญาณเพื่อทำให้ตนเองรู้สึกเหนือกว่าผู้อื่น Ritual-based SM ยึดติดกับพิธีกรรมที่เคร่งครัด ดั้งเดิม ศาสนา หรือรูปแบบภายนอกมากกว่าการเข้าถึงแก่นแท้ของจิตวิญญาณ
เช่น การปฏิบัติสมาธิหรือโยคะเพียงเพื่อแสดงสถานะหรือเพิ่มภาพลักษณ์ และ Power-based SM ใช้พลังหรือแนวคิดทางจิตวิญญาณเพื่อควบคุมหรือมีอำนาจเหนือผู้อื่น เช่น การแสวงหาผลประโยชน์จากศรัทธาของผู้คน
จิตวิทยาเจ้าลัทธิ (Cult Psychology) เป็นบุคคลหรือกลุ่มที่ใช้แนวคิดทางจิตวิญญาณเพื่อชี้นำ ควบคุมกระแสความคิดของผู้คน เช่น ผู้นำลัทธิที่ชี้นำแนวทางจิตวิญญาณ ใช้คำพูดสะท้อน วิพากษ์ให้คนสะดุดใจ และมีผู้ติดตาม ปฏิบัติตาม มักใช้คำสอนหรือหลักศาสนาในระดับอ้างอิงสมบูรณ์เพื่อเติมเต็มความรู้สึกสูงส่งให้แก่ตน
แนวทางแก้ไขความไม่รู้ในมิติจิตวิญญาณ
ในการปฏิบัติ/ฝึกฝนทางจิตวิญญาณในโลกสมัยใหม่ที่มีความหลากหลายของแนวคิดและมีภาวะยึดมั่นถือมั่นเกิดขึ้น โดยมีสินค้าและบริการในระบบตลาดเข้ามาเกี่ยวข้อง เช่น คอร์สพัฒนาตนเอง คอร์สสอนธรรม คอร์สสมาธิ ตลาดหิน-อัญมณีมงคล เครื่องราง ฮวงจุ้ย และสำนักสอนลัทธิศาสนาต่าง ๆ นั้น ผู้มีปัญญา (intellects) พึงระวังและตรวจสอบตนเองอยู่เสมอว่ากำลังเดินทางไปสู่ความปลดปล่อยตนเองไปสู่ภาวะไร้พันธะ (liberate) ที่แท้จริง การลดละตัวตน (selfless) หรือไม่ หากพบว่า มีมายาของอัตตาหรือความยึดมั่นในตัวตน (I -centered, Self-centered) อันไม่นำไปสู่ประโยชน์ตน ประโยชน์ท่าน ประโยชน์ผู้อื่นและปราชญ์สรรเสริญ เช่น มีการเบียดเบียนเราและเขาเกิดขึ้นด้วยกายและใจ ก็พึงแสวงหาแนวทางแก้ไข (รู้ผิดจึงแก้ไข) เช่น
1) การฝึกฝนและดำรงสติ (mindfulness ) และการไตร่ตรองพิจารณาตนเอง (self-inquiry) เพื่อสำรวจว่าตนรู้ตัวหรือไม่ว่าทำอะไร เพื่ออะไร
2) การปฏิบัติตามแนวทางทางสายกลาง (golden mean, middle way) โดยเน้นการเข้าใจและปล่อย วาง ว่าง จากอัตตา มีความเมตตา (ปรารถนาดี) ต่อผู้อื่น ไม่ยึดมั่นในตนเองจนสุดโต่งทั้งในการดำรงอยู่ในโลกและในฝ่ายจิตวิญญาณ
3) หมั่นตรวจสอบแรงจูงใจในการปฏิบัติทางจิตวิญญาณอยู่เสมอว่า เรากำลังเดินไปสู่ความรู้แจ้งหรือเป้าหมายในศาสนาของเราจริง ๆ หรือไม่
สรุป การปฏิบัติในทางจิตวิญญาณ ไม่ว่าจะเป็นไสยศาสตร์ลี้ลับ มนตรา หรือในการปฏิบัติธรรมตามหลักศาสนาใดๆ ก็ตาม ให้ระมัดระวังตนไม่ติดอยู่ในความยึดมั่นทางจิตวิญญาณ แต่มุ่งหน้าไปอย่างพอดี (self reliance-fairness) เพื่อการเข้าใจตนเอง ธรรมชาติ จักรวาลให้ลึกซึ้งขึ้นเพื่อเดินทางให้สูงยิ่ง ๆ ขึ้นได้อย่างเหมาะสม

