ผศ.(พิเศษ) ดร.เอนก สุวรรณบัณฑิต
ในยุคหลังสมัยใหม่ที่ความสับสนในความเข้าใจต่อความเป็นจริงต่าง ๆ เกิดขึ้นจากกรอบกระทวนทรรศน์สมัยใหม่ (modern paradigm) ที่ชี้นำให้เชื่อตามเพื่อความเป็นระเบียบอย่างยิ่งยวด และการปะทะทำลายของกระบวนทรรศน์หลังนวยุค (postmodern paradigm) ที่รื้อทำลายกรอบต่าง ๆ ด้วยมองว่าเป็นเพียงการโฆษณาชวนเชื่อหรือเป็นเพียงเรื่องเล่าใหญ่ที่ผู้ปกครองใช้ครอบงำประชาชนในดินแดนปกครองของตน ความรักชาติและความภาคภูมิใจในชาติของตนนั้นควรดำรงอยู่อย่างไรจึงจะเหมาะสม สถานะของคำถามเช่นนี้น่าที่จะพอนำไปสู่คำตอบบางประการสำหรับคนรุ่นใหม่
ความรักชาตินั้นจะต้องมองไปที่รากฐานของอัตลักษณ์ (identity) และ ความภูมิใจในชาติ (national dignity) ที่ไม่ได้สร้างขึ้นด้วยวาทกรรมแบบลอย ๆ หรือความรู้สึกแบบคลั่งชาติ แต่อิงอยู่กับความเข้าใจ ความรู้สึกมีส่วนร่วม และส่งเสริมการตระหนักรู้ทางประวัติศาสตร์และสังคมอย่างลึกซึ้ง
- คนไทยพึงเข้าใจความหมายของ ความเป็นไทย อย่างเปิดกว้าง คนไทยจะไม่รู้สึกภูมิใจหรือรักชาติได้จริง หากเขายังไม่เข้าใจว่า ไทย หมายถึงอะไร และไม่สามารถเห็นตัวเองในภาพนั้นได้ ดังนั้น เราต้องให้พื้นที่กับความเป็นไทยที่หลากหลาย ทั้งในมิติชาติพันธุ์ ภาษา วัฒนธรรม ท้องถิ่น ความเชื่อ ฯลฯ โดยไม่แยกออกว่า “ไม่เป็นไทย” ลดละการยึดติดกับแบบเรียนประวัติศาสตร์ชาติ หรืออัตลักษณ์แบบแคบ เช่น ไทยคือ คนภาคกลาง พูดภาษาไทยกลางเท่านั้น เมื่อคนเรียนรู้เรื่องราวของบ้านเกิด เห็นว่า ประเทศชาติเปิดรับทุกกลุ่ม เปิดตัวตนตนของเขา มีที่ยืนให้เขาและชุมชนของเขา และพวกเขาคือส่วนหนึ่งที่มีค่าของประเทศชาติ เขาจะรักชาติโดยธรรมชาติ
- การศึกษาและสังคมต้องส่งเสริมการรู้เท่าทันประวัติศาสตร์ (historical literacy) และโครงสร้างอำนาจ การสอนประวัติศาสตร์ที่มีมิติเดียว เช่น ประวัติศาสตร์จากมุมรัฐหรือ ประวัติศาสตร์วีรบุรุษ หรือประวัติศาสตร์ของผู้ถูกรังแก โดยชี้นำเนื้อหาความรู้ประวัติศาสตร์ สิ่งนี้จะทำให้คนรู้สึกว่าชาติคือ สิ่งไกลตัว หรือถูกใช้เพื่อควบคุมไม่ให้คิดต่าง ดังนั้น ควรมีพื้นที่เรียนรู้ประวัติศาสตร์จากหลายมุมมอง ทั้งกระแสหลักและกระแสรอง เช่น มุมมองของคนไทยปัจจุบัน มุมมองท้องถิ่น มุมมองเชิงพื้นที่ มุมชาวบ้าน มุมผู้หญิง มุมคนชายขอบ เปิดโอกาสให้คนธรรมดาตั้งคำถาม เช่น ทำไมเรารู้สึกว่าความเป็นไทยคือ การพูดสุภาพ ใส่ชุดนักเรียนเรียบร้อย ใครกำหนดความเป็นไทยกระแสหลัก และมุ่งไปที่การเข้าใจชาติจากความเป็นจริง (reality-actuality) จะทำให้เกิดความรักที่มีสติ ไม่ใช่คลั่ง และไม่ใช่ละอายต่อความเป็นชนชาตินั้น
- ฝ่ายอาณาจักรต้องไม่ใช้ความรักชาติเป็นเครื่องมือควบคุมผู้คน ผ่านระเบียบวินัยเชิงบังคับ เช่น การเคารพธงชาติ การร้องเพลงชาติ ซึ่งการบังคับจะทำให้คนต่อต้านหรือรู้สึกว่าเป็นของปลอม แต่จะต้องให้ผู้คนรู้สึกว่า ชาติคือพื้นที่ที่เขาสามารถมีส่วนในการเปลี่ยนแปลงได้ มีสิทธิมีเสียงที่จะซักถามข้อสงสัยและวิจารณ์ได้เมื่อส่วนหนึ่งส่วนใดของชาติผิด ไม่ใช่แต่จะเป็นการภักดี (loyalty) แต่ต้องเป็นการภักดีที่ตรงตามความเป็นจริงนั้น (fidelity) ไม่บังคับให้รักชาติ แต่สร้างสภาพที่ทำให้ผู้คนอยากรักชาติขึ้นมาในใจของตนเอง
- สังคมยกย่องคนไทยที่มีคุณค่าหลากหลาย โดยสื่อ มาตรฐานความสำเร็จ และระบบการศึกษา ควรยกย่องคนไทยจากหลายอาชีพ พื้นที่ และแนวคิด ไม่ใช่เพียงผู้มีตระกูลดี มีอำนาจหรือผู้ที่ร่ำรวย แต่จะต้องส่งเสริมให้เด็ก เยาวชนและทุกฝ่ายเห็นว่าเกษตรกร แรงงาน ผู้รับจ้าง พ่อค้าแม่ขาย นักกิจกรรม อาสาสมัครต่าง ๆ จิตอาสา รวมไปถึง ทุก ๆ คนที่ประกอบอาชีพของตนอย่างเต็มกำลังความสามารถล้วนมีเกียรติ มีความหมายกับชาติ ไม่ควรถูกดูหมิ่น ดูแคลน และไม่มีข้อจำกัดใด ๆ ที่จะทำให้คนไทยไม่ใช่คนไทย การดูถูกตนเองว่าเป็นแค่คนไทยก็จะหมดไป เมื่อสังคมเลิกวัดคุณค่าคนด้วยมาตรฐานคุณค่าหรืออำนาจ และเปิดทางให้ทุกคนรู้สึกว่าตนเองมีค่าในแบบที่ตนเป็น
การเป็นพลเมืองที่ดี ต้องปลูกฝังความรักชาติและการมีความภาคภูมิใจในชาติของตน กล้ารักชาติในแบบที่มีวิจารณญาณ (critical mind) ทุกคนเป็นส่วนหนึ่งของประเทศและเป็นเจ้าของร่วมของประเทศนี้ ไม่รู้สึกว่าการเป็นคนไทยคือ การเป็นพลเมืองชั้นสองบนพื้นที่ใดๆ ในประเทศไทย และของโลกด้วย แนวทางสำคัญคือ การรักชาติอย่างมีสติ (conscious patriotism) โดยมีแนวทางดังนี้
- ส่งเสริมอัตลักษณ์ของชุมชน ชาติพันธุ์ ให้เป็นส่วนหนึ่งของชาติ เป็นการหลอมรวมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันบนความหลากหลาย (unity in diversity) สนับสนุนการรู้และใช้ภาษาแม่ควบคู่กับภาษาไทยในพื้นที่ชุมชน โรงเรียน สถานที่ราชการ รัฐหรือสังคมสนับสนุนส่งเสริมให้ชุมชนชาติพันธุ์จัดกิจกรรมตามเทศกาล วัฒนธรรมและประเพณีของตนเองได้อย่างเหมาะสมในระดับพื้นที่เช่น ตำบล อำเภอ จังหวัด รวมไปถึงการรวบรวมและแสดงประวัติศาสตร์ท้องถิ่นเป็นภาษาไทยและภาษาพื้นถิ่นตามชาติพันธุ์ ความเปิดกว้างและการยอมรับนี้จะทำให้คนในชุมชนรู้สึกว่า ประเทศชาติเห็นถึงตัวตนของเขา และเขาคือคนไทยอย่างมีศักดิ์ศรี
- การศึกษาเป็นเครื่องมือสำคัญในการเสริมสร้างความเป็นพลเมืองที่ดี พลเมืองที่เท่าเทียม ซึ่งสถานศึกษาสามารถพัฒนาหลักสูตรการศึกษาที่สอดคล้องกับบริบทวัฒนธรรมของแต่ละชุมชน เช่น หลักสูตรรักบ้านเกิด หลักสูตรชาติพันธุ์ เป็นต้น ผู้สอนในพื้นที่ควรมีความรู้และเข้าใจความหลากหลาย ไม่ตีตรา และเป็นมิตร มีไมตรี กับทุก ๆ กลุ่มคน ไม่ให้คุณค่ามากกว่าหรือน้อยกว่าแก่กลุ่มหนึ่งกลุ่มใด ไม่ว่าจะเป็นชาติพันธุ์ สีผิว เศรษฐานะต่าง ๆ เพื่อปลูกฝังความรู้สึกเท่าเทียมกันจึงจะเกิดขึ้นในเยาวชน คนรุ่นใหม่และผู้คนในสังคมได้
- เปิดพื้นที่ร่วม สำหรับการสร้างชาติ ผ่านงานสร้างสรรค์และเศรษฐกิจสังคม เปิดพื้นที่แก่ผู้รู้ ศิลปินและชาวบ้านในการเป็นตัวแทนวัฒนธรรมไทยที่หลากหลาย สนับสนุนในระดับการยอมรับที่สูงขึ้น ให้คุณค่าและยอมรับในคุณภาพของผลิตภัณฑ์ สินค้าและบริการในระดับชุมชนวัฒนธรรม ชุมชนพื้นถิ่น ไม่กดราคาหรือมองว่าจะต้องเป็นสินค้าหรือบริการราคาถูก แต่ยอมรับการมีราคาที่เหมาะสม เปิดพื้นที่สำหรับประชาชนทุกกลุ่มให้สามารถแสดงออก สร้างสรรค์ และภาคภูมิใจได้ร่วมกันได้
- สนับสนุนแนวทางการสร้างชาติ ที่ทุกคนต่างกันได้ ต่างอย่างมีเกียรติ และต่างก็มีที่ยืนร่วมกัน ให้สิทธิเสมอภาคแก่กลุ่มชนชายขอบต่าง ๆ การให้สิทธิที่จะรักษาวิถีชีวิตดั้งเดิม (โดยถูกกฎหมาย) และสิทธิที่จะร่วมแสดงความคิดเห็นและร่วมกันพัฒนาพื้นที่ ทั้งนี้ ควรมีการยอมรับผิดและกระบวนการเยียวยา หากมีเหตุการณ์รุนแรงหรือเป็นบาดแผลทางประวัติศาสตร์ที่เกิดขึ้นและจบไปแล้ว เพื่อให้เริ่มกลับมามีทัศนคติในการอยู่ร่วมกันด้วยความสงบสุข สมานฉันท์ มีมิตรไมตรีต่อกัน

การสืบค้นและร่วมกันศึกษาประวัติศาสตร์ชาติ ชนชาติ ประวัติศาสตร์เชิงพื้นที่ การแสวงหาสิ่งที่เกิดขึ้นบนเส้นเวลาต่าง ๆ และการบอกเล่าความเป็นชาติ ผ่านแนวทางมนุษยศาสตร์ สังคมศาสตร์ และศาสนา โดยไม่ผูกขาดความถูกต้องหรือความเป็นผู้รักชาติในรูปแบบเดียว จะช่วยให้เกิดการร่วมกันคิดอย่างเป็นมิตรต่อกัน และร่วมรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของประเทศชาติอย่างแท้จริงได้

