ผศ.(พิเศษ) ดร.เอนก สุวรรณบัณฑิต
ในวงวิชาการปัจจุบันมีความต้องการการจำแนกผู้รู้จริงในศาสตร์ให้ชัดเจน ในวงการปรัชญาเองก็เริ่มมีคำถามและความพยายามที่จะทำความเข้าใจใน “นักปราชญ์” (Sophist) “นักปรัชญา” (Philosopher) และ “นักวิชาการปรัชญา” (Philosophical Academician) ซึ่งไม่ใช่แค่การแบ่งตามบทบาทในทางวิชาการหรือจารีตทางความรู้ แต่ยังสะท้อนถึงหน้าที่ของแต่ละกลุ่มในการมีส่วนร่วมต่อโครงสร้างอำนาจ ความรู้ และอารยธรรมในแต่ละยุคสมัยอีกด้วย ซึ่งสามารถอธิบายได้ดังนี้
- นักปราชญ์ (Sophist)
นักปราชญ์ในความหมายดั้งเดิมของกรีกโบราณ (โดยเฉพาะก่อนยุคเพลโต) คือ ผู้มีความรู้ด้านวาทกรรม การพูดโน้มน้าว การให้เหตุผลที่ซับซ้อน พวกเขาสอนศิลปะแห่งการพูดและความโน้มเอียงทางจริยธรรมในรูปแบบที่สัมพันธ์กับสถานการณ์ (relativism) นักปราชญ์มักเป็นครูรับจ้างและเดินทางไปตามนครรัฐต่าง ๆ เพื่อสอนผู้ที่ต้องการเข้าสู่การเมืองหรืออำนาจ
ลักษณะเด่นของผู้เป็นปราชญ์คือ ใช้ความรู้เพื่อจุดประสงค์ทางสังคมหรือการเมือง ยืดหยุ่นต่อความจริง มองว่าความจริงขึ้นอยู่กับบริบท เชี่ยวชาญการใช้ภาษาและวาทศิลป์ และเน้นผลลัพธ์มากกว่าความจริงเชิงอภิปรัชญา
บทบาทของนักปราชญ์ต่ออารยธรรมโลก ได้แก่ การสร้างระบบการศึกษาแบบวิภาษวิธีเชิงปฏิบัติ ซึ่งช่วยพัฒนาความสามารถทางภาษาศาสตร์และวาทศิลป์ในสังคมประชาธิปไตยอย่างกรีก แต่ในขณะเดียวกันก็ถูกวิจารณ์ว่าแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตนและทำให้ความจริงกลายเป็นสินค้าที่ซื้อขายได้
- นักปรัชญา (Philosopher)
นักปรัชญาคือ ผู้ใฝ่หาปัญญาในระดับลึก โดยมุ่งค้นหาความจริงที่เหนือกว่าสภาพแวดล้อมและผลประโยชน์เฉพาะหน้า จุดเน้นของนักปรัชญาคือ ความหมายของชีวิต ความจริง ความดี ความงาม และธรรมชาติของความเป็นมนุษย์
ลักษณะเด่นของนักปรัชญาคือ ใฝ่หาความจริงเชิงอภิปรัชญาและจริยศาสตร์ มักมีจุดยืนทางคุณธรรม มีมุมมองระยะยาวต่อมนุษย์และสังคม และมักจะไม่ผูกพันกับผลประโยชน์เฉพาะกลุ่ม
บทบาทของนักปรัชญาต่ออารยธรรมโลก ได้แก่ การวางรากฐานให้กับศีลธรรม กฎหมาย วิทยาศาสตร์ และระบอบการเมืองในอารยธรรมตะวันตกและตะวันออก เช่น โสเครตีส เพลโต อริสโตเติล หรือขงจื๊อ ล้วนเป็นต้นแบบของการวิเคราะห์ความดีและการจัดระเบียบสังคมอย่างมีเหตุผล
- นักวิชาการปรัชญา (Philosophical Academician)
นักวิชาการปรัชญาคือ ผู้ที่ศึกษา วิเคราะห์ และตีความแนวคิดทางปรัชญาในกรอบของระบบการศึกษาแบบสมัยใหม่ เช่น มหาวิทยาลัย สถาบันวิจัย หรือองค์กรวิชาชีพ พวกเขาอาจไม่จำเป็นต้องแสวงหาความจริงเชิงลึกด้วยตนเอง แต่อาศัยการแปล ตีความ หรือเปรียบเทียบแนวคิดของนักปรัชญารุ่นก่อน
ลักษณะเด่นของนักวิชาการปรัชญา คือ ยึดหลักวิชาการ ความเป็นระบบ และการอ้างอิง มักผลิตองค์ความรู้ในรูปของบทความ ตำรา หรือวิจัย การทำงานอิงอยู่ในระบบสถาบัน (academic institution) และบางครั้งอาจแยกขาดจากประสบการณ์ของมนุษย์ที่เป็นรูปธรรม
บทบาทของนักวิชาการปรัชญาต่ออารยธรรมโลก ได้แก่ การเป็นผู้รักษาและเผยแพร่ภูมิปัญญาเดิมให้สอดคล้องกับโลกปัจจุบัน พวกเขาสร้างมาตรฐานการสอนและการเรียนรู้ด้านปรัชญาในระดับวิชาการ แต่ในบางกรณีก็อาจทำให้ปรัชญากลายเป็นความรู้เฉพาะกลุ่มที่ห่างไกลจากชีวิตจริงของประชาชนผ่านภาษาที่บัญญัติขึ้น
การสร้างอารยธรรมมนุษยชาตินั้นมีความก้าวหน้าด้วยนักปราชญ์ ส่งเสริม เครื่องมือแห่งอำนาจและภาษา สร้างประชาธิปไตย แต่ก็มีจุดอ่อนที่มักถูกวิจารณ์ว่าทำให้ความจริงเป็นเรื่องที่ต่อรองได้ นักปรัชญาเป็นผู้วางรากฐานของจิตสำนึกสากล ความดี ความงาม และความยุติธรรม พวกเขาชี้ทิศทางทางจริยธรรมให้มนุษยชาติ และในปัจจุบัน นักวิชาการปรัชญาทำหน้าที่เก็บรักษา แปรความ และถ่ายทอดความรู้ ในระบบการศึกษาสมัยใหม่ เป็นกลไกของการธำรงความรู้เชิงระบบ ทั้งสามกลุ่มมีความจำเป็นและส่งผลเสริมซึ่งกันและกันในการสร้างอารยธรรมที่สมดุลระหว่างอุดมคติ ความรู้ และความจริงในทางสังคม
ปราชญ์ นักปรัชญาและนักวิชาการปรัชญา: การมีอยู่ในสังคมไทย
ในบริบทของประเทศไทย การแยกแยะระหว่างปราชญ์ นักปรัชญาและนักวิชาการปรัชญา อาจพิจารณาได้ว่าไม่ตรงกับกรอบความเข้าใจแบบตะวันตกเสียทีเดียว แต่ทั้งสามกลุ่มนี้มีอยู่จริงในสังคมไทย เพียงแต่ปรากฏในรูปแบบ บทบาท และขอบเขตอิทธิพลที่เฉพาะเจาะจงตามบริบทวัฒนธรรม สถาบัน และประวัติศาสตร์ไทย ตัวอย่างเช่น
- ปราชญ์ ในบริบทไทย จะหมายถึง ผู้รู้ในสรรพศาสตร์ เป็นผู้รอบรู้อย่างแท้จริงในหลาย ๆ ด้าน และมักเป็นที่ปรึกษาของพระราชา ปรากฎในตำนานและเรื่องเล่าประวัติศาสตร์ ในปัจจุบันนั้นยังถือว่ามีอยู่จริง โดยปรากฎในฐานะปราชญ์ชาวบ้านหรือผู้รู้ในท้องถิ่น เช่น ครูบาศรีวิชัย ครูบาอาจารย์และพระอาจารย์ในท้องถิ่นต่าง ๆ หมอธรรม หมอลำ หมอดู-โหราจารย์ และนักอนุรักษ์วัฒนธรรมท้องถิ่นต่าง ๆ โดยมักเป็นผู้มีความรู้เชิงประสบการณ์ สืบทอดผ่านวัฒนธรรม ประเพณี และภูมิปัญญา
บทบาทต่อสังคมไทย ได้แก่ การเป็นผู้รักษาองค์ความรู้เชิงท้องถิ่น (Local Knowledge) เป็นผู้นำทางจิตวิญญาณและสังคมของชุมชน มักมีบทบาทในการประสานความรู้แบบดั้งเดิมกับการพัฒนาแบบใหม่ อย่างไรก็ตาม ปราชญ์ในไทยกลุ่มนี้มักไม่ได้ถูกยอมรับในระดับความรู้วิชาการ มีความเสี่ยงจะถูกทำให้กลายเป็นวัตถุทางวัฒนธรรมมากกว่าถูกใช้จริงในการกำหนดนโยบายสาธารณะ
- นักปรัชญา มีอยู่ทั้งในระดับวงวิชาการ และระดับศาสนา (ผู้ใฝ่หาปัญญา) แต่มีจำนวนน้อย และบทบาทจำกัดในระดับสาธารณะ ตัวอย่างเช่น สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ, พระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหมื่นนราธิปพงศ์ประพันธ์, พระยาอนุมานราชธน (ยง เสฐียรโกเศศ), ศ.กีรติ บุญเจือ, ศ.สมภาร พรมทา ซึ่งมีผลงานวิเคราะห์ปรัชญาในเชิงลึกและมีจุดยืนทางจริยธรรมชัดเจน ในทางศาสนาได้แก่ พุทธทาสภิกขุได้รับการยกย่องเป็นนักปรัชญาพุทธศาสนา ได้สอนแนวคิดเชิงจริยธรรมและศาสนา เสนอแนวคิดพุทธแท้กับพุทธตามสมัยนิยม สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ประยุทธ์ ปยุตฺโต) ได้แนวคิดพุทธธรรม พจนานุกรมศัพท์พุทธ และเสนอบทบาทสถาบันสงฆ์กับสังคมไทยในปัจจุบัน พระไพศาล วิสาโลได้นำเสนอปรัชญาพุทธและแนวคิดสันติวิธีในสังคมไทย
บทบาทต่อสังคมไทย ได้แก่ การเป็นผู้นำความรู้ทางปรัชญาตะวันตกและปรัชญาตะวันออก ปรัชญาศาสนามาเผยแพร่ สอน และทำให้เกิดความสนใจปรัชญาในสังคมไทย ในยุคหลังก็ทำให้เกิดการวิพากษ์สังคมไทยในเชิงจริยธรรมและจิตวิญญาณ เสนอวิถีชีวิตที่เป็นทางเลือกที่ดีท่ามกลางภาวะบริโภคนิยมและอำนาจนิยม เสนอกระบวนทัศน์ใหม่ ๆ ที่เหมาะสมกับสังคมไทย
- นักวิชาการปรัชญา (Philosophical Academician) มีอยู่ชัดเจนในระบบมหาวิทยาลัย โดยอยู่ในคณะต่าง ๆ ที่มีภาควิชาปรัชญา หรือคณะที่มีการสอนปรัชญาเป็นรายวิชาบังคับ เช่น คณะอักษรศาสตร์ คณะมนุษยศาสตร์ คณะรัฐศาสตร์ คณะศาสนาและปรัชญา เป็นต้น นักวิชาการปรัชญามีบทบาทเป็นอาจารย์ผู้สอน ผู้แปล วิเคราะห์ และวิจัยในด้านวิชาปรัชญาตะวันตก-ตะวันออกผ่านการตีความและผลิตวาทกรรมตามระบบวิชาการ รวมไปถึงนักเขียนบางท่านที่เขียนวรรณกรรมเชิงลึกในด้านต่าง ๆ อีกด้วย
บทบาทต่อสังคมไทย ได้แก่ การเป็นผู้ผลิตองค์ความรู้ในระบบการศึกษา มีบทบาทในการสร้างกรอบวิเคราะห์เชิงปรัชญาในงานวิจัย สื่อ และนโยบาย ช่วยเชื่อมโยงแนวคิดตะวันตก-ตะวันออกกับบริบทไทย อย่างไรก็ตาม นักวิชาการปรัชญาจำกัดตนอยู่ในขอบเขตวิชาการ ไม่ค่อยมีบทบาทในการส่งเสียงในระดับนโยบายหรือสื่อกระแสหลักได้ การสอนปรัชญามักถูกมองว่าไม่ตอบโจทย์การพัฒนาซึ่งเป็นกรอบคิดแบบเทคโนแครต-เศรษฐกิจสังคมที่นิยมใช้ในการพัฒนาประเทศโดยเน้น GDP ความก้าวหน้าของอุตสาหกรรมด้านต่าง ๆ และการมีอัตราการว่างงานต่ำ
ทั้งนี้ สังคมโลกจำเป็นต้องมีนักปราชญ์ นักปรัชญา และนักวิชาการปรัชญาหรือไม่นั้น เป็นการเปิดพื้นที่ให้วิเคราะห์อย่างลึกซึ้งในเชิงโครงสร้างอารยธรรม ความรู้ และอำนาจ ตามแนวคิดแบบสังคมวิทยาเชิงวิพากษ์ (critical sociology) ซึ่งสามารถตอบได้ดังนี้
แม้จะนักปราชญ์มักจะถูกมองว่าเป็นผู้หลอกลวงในสายตานักปรัชญาคลาสสิกอย่างเพลโต แต่นักปราชญ์คือ ผู้เปิดพื้นที่สำหรับการเจรจาทางวาทกรรม พวกเขาสอนให้คนธรรมดารู้จักใช้ภาษาและเหตุผลเพื่อปกป้องตนเองในสังคมที่ไม่เสมอภาค พูดอีกนัยหนึ่ง นักปราชญ์คือผู้ทำให้อำนาจแห่งถ้อยคำกระจายไปสู่คนทั่วไป ในโลกสมัยใหม่ที่ข้อมูลคืออำนาจ นักปราชญ์ปรากฎในรูปแบบของนักสื่อสาร นักกิจกรรม นักเคลื่อนไหวจึงยังจำเป็นเพื่อไม่ให้อำนาจตกอยู่ในมือผู้เดียวหรือชนชั้นนำเท่านั้น
นักปรัชญาปรากฎในสังคมในฐานะผู้ไม่ประนีประนอมกับคำถามพื้นฐานของมนุษย์ เช่น เราคือใคร ชีวิตควรเป็นอย่างไร อะไรคือความดี ความงาม ความจริง ในยุคที่สังคมถูกขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีและผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ นักปรัชญาเป็นผู้ท้าทายอำนาจที่ไร้จริยธรรม และเรียกร้องให้เราคิดถึงผลระยะยาวทางจิตวิญญาณ สังคมที่ไม่มีนักปรัชญาหรือไม่ให้ค่าแก่นักปรัชญาคือ สังคมที่ยอมจำนนต่อความเร่งด่วนทางเศรษฐกิจและอำนาจนิยมโดยไม่มีกรอบยับยั้งทางจริยธรรม ซึ่งนำไปสู่การเสื่อมโทรมลงของความหมายและอัตลักษณ์ของสังคมนั้น
สำหรับในโลกที่ความรู้เชิงลึกถูกแทนที่ด้วยความรู้ผิวเผิน นักวิชาการปรัชญาคือ ผู้สืบทอด วิเคราะห์ และจัดระบบองค์ความรู้ทางปรัชญาให้คนรุ่นหลังเข้าถึงได้ พวกเขาทำหน้าที่เก็บคลังความคิดของอารยธรรมและเชื่อมโยงปรัชญาเข้ากับปัญหาร่วมสมัย ถึงแม้จะถูกวิจารณ์ว่าพวกเขาแยกขาดจากสังคมจริง (อยู่แต่ในอุดมคติ) แต่หากปราศจากพวกเขา แนวคิดทางจริยศาสตร์ การเมือง เสรีภาพ และประชาธิปไตยก็จะไม่มีหลักฐานหรือกรอบอ้างอิงในเชิงระบบและจะไม่มีการพัฒนาปรัชญาให้ตอบสนองยุคสมัยใหม่
แม้บทบาทของนักปราชญ์ นักปรัชญาและนักวิชาการปรัชญาแต่ละกลุ่มอาจเปลี่ยนรูปไปตามยุคสมัย แต่การดำรงอยู่ของพวกเขาคือ กลไกการยับยั้งความบ้าคลั่งของอำนาจ ความหลงผิดทางเทคโนโลยี และการล่มสลายของจริยธรรมของสังคม ซึ่งจำเป็นที่สังคมจะต้องปรับท่าทีและเพิ่มบทบาทเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนต่อไป

