ผศ.(พิเศษ) ดร.เอนก สุวรรณบัณฑิต, อ.ดร.รวิช ตาแก้ว

การเชื่อมโยงระหว่าง Inner Development Goals (IDGs) กับปรัชญา คือ การผสานระหว่างการพัฒนาตนเองกับรากฐานทางปัญญาเพื่อสร้างความเปลี่ยนแปลงอย่างยั่งยืน ไม่ใช่เพียงมุ่งการพัฒนาตนเองให้ดี แต่เป็นการเข้าใจอย่างลึกซึ้งแล้วจึงพัฒนาตนเองให้ดีเพื่อที่จะได้ทำดีอย่างแท้จริง

แต่ละมิติของ IDGs อาจพิจารณาแนวคิดทางปรัชญาที่เป็นฐานความรู้สำคัญ ได้แก่

แนวคิดที่เกี่ยวข้องกับ Being (ความเป็นจริง) ได้แก่

Martin Heidegger (1889-1976) นักปรัชญาชาวเยอรมัน เสนอ 1) Being-toward-death โดยชี้ว่า ความตาย ไม่ใช่แค่เหตุการณ์ในอนาคต แต่เป็นความจริงพื้นฐานของการดำรงอยู่ (Dasein) เมื่อเราตระหนักว่าเราจะตายแน่นอนและไม่มีใครตายแทนเราได้ เราจะตื่นรู้ต่อการดำรงอยู่ของตนเองอย่างลึกซึ้ง การดำรงอยู่อย่าง Being-toward-death คือการไม่หลีกเลี่ยงหรือหลอกตัวเองเกี่ยวกับความตาย แต่ยอมรับมันอย่างเต็มที่ สิ่งนี้ปลุกให้เราตั้งคำถามว่า “เราจะใช้ชีวิตที่เหลือนี้อย่างแท้จริงได้อย่างไร?” บนฐานที่ว่า ความตายคือความเป็นไปได้ของเราเอง ที่ไม่มีใครมาแทนได้ และ 2) การดำรงอยู่โดยแท้ (authenticity) คนทั่วไปมักใช้ชีวิตตามคนอื่น ตามความคิดเห็น ความคาดหวัง สื่อ บรรทัดฐานสังคม ซึ่งเป็นสภาวะของความไม่แท้จริง (inauthenticity) มนุษย์ต้องกลับมาเป็นเจ้าของการดำรงอยู่ของตนเอง รับผิดชอบต่อตนเอง เป็นการดำรงอยู่โดยแท้ ซึ่งไม่ใช่การแยกตัวจากสังคม แต่คือการตัดสินใจจากภายใน ไม่ใช่ตามกระแส ทั้งนี้ การตระหนักถึงความตายช่วยให้เราหลุดจากเสียงของพวกเขา/ผู้อื่น และหันกลับมาหาความหมายที่แท้จริงของชีวิตตน

Buddhist Philosophy มีหลักคำสอนสำคัญคือ อนัตตา ความไม่มีตัวตนถาวรในสิ่งทั้งหลาย การเข้าใจว่าตัวตนเป็นสิ่งเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ช่วยให้เราลดการยึดติดอัตตา เปิดรับการเปลี่ยนแปลง และเข้าใจผู้อื่นมากขึ้น เอื้อให้เกิดความถ่อมตน เปิดใจและการกระทำเพื่อส่วนรวม ไม่ยึดติดกับความสำเร็จส่วนตัว สติ ความระลึกรู้ต่อสิ่งที่เกิดขึ้นในขณะนี้โดยไม่เผลอ ช่วยให้เรามีความตื่นรู้ในตนเอง และเห็นชัดเจนว่าความคิด ความรู้สึก และพฤติกรรมกำลังเป็นเช่นไร เป็นรากฐานของ self-awareness และ self-leadership ทำให้เราไม่เผลอตอบสนองแบบอัตโนมัติ แต่เลือกอย่างมีเจตนา และความตื่นรู้ในปัจจุบันขณะ คือ ภาวะของจิตที่รับรู้โลกอย่างแจ่มชัดโดยไม่ยึดติดหรือหลงลืม ช่วยให้เราฟังผู้อื่นอย่างแท้จริง ไม่ติดในอดีตหรืออนาคต เสริมสร้าง empathic listening, deep connection และความไว้วางใจในการทำงานร่วมกับผู้อื่น

Søren Kierkegaard (1813-1855) นักปรัชญาชาวเดนมาร์ก เสนอว่า ความเงียบ เป็นภาวะสำคัญในการฟังเสียงของตนเองและของพระเจ้า เป็นพื้นที่ที่เราสามารถเผชิญความกังวล (angst) และ ความสิ้นหวัง (despair) ที่เกิดจากการหลีกเลี่ยงการเป็นตัวของตัวเองโดยแท้ การฝึกความเงียบคือ การไม่หนีภาวะภายใน แต่เผชิญมันด้วย ความกล้าหาญเพื่อค่อย ๆ เดินสู่การดำรงอยู่ที่ซื่อสัตย์และแท้จริงกับตนเองในฐานะปัจเจกบุคคล (individual)

ฐานคิดปรัชญาเสนอว่า มิติของ Being ไม่ใช่แค่การรู้จักตนเอง แต่เป็นการอยู่กับคำถามพื้นฐานของชีวิต และเปิดพื้นที่ให้จริยธรรมภายในปรากฏขึ้น

แนวคิดที่เกี่ยวข้องกับ Thinking (สมรรถภาพคิด) ได้แก่

Immanuel Kant (1724-1804) นักปรัชญาชาวเยอรมัน เสนอ หลักจริยศาสตร์แห่งเหตุผล (categorical imperative) หรือบัญญัติแห่งจริยธรรมโดยไม่มีเงื่อนไข เพราะการคิดเชิงจริยธรรมด้วยเหตุผลบริสุทธิ์นั้นไม่อิงอารมณ์ ความชอบ หรือผลประโยชน์ส่วนตัว ความเป็นมนุษย์คือเป้าหมาย ไม่ใช่เครื่องมือ ดังนั้นทุกคนมีคุณค่าในตัวเอง ต้องไม่ถูกใช้เพื่อวัตถุประสงค์ของใคร ความรับผิดชอบต่อหลักการที่ตนเลือกจะยืนอยู่ด้วยนั้นไม่ใช่แค่ทำดีแต่เป็นการคิดอย่างดีเพื่อเลือกสิ่งที่ควรกระทำ สะท้อนความสามารถในการคิดอย่างมีหลักการและไตร่ตรองอย่างมีจริยธรรม เพื่อพัฒนา moral reasoning และ ethical discernment เพื่อการตัดสินใจในโลกที่ซับซ้อน

Hannah Arendt (1906-1975) นักปรัชญาชาวเยอรมัน เสนอการคิดเชิงไตร่ตรอง (reflective thinking) กับความรับผิดชอบในฐานะพลเมือง นั่นคือ การคิดไม่ใช่แค่การรู้ แต่คือการหยุดเพื่อพิจารณาสิ่งที่เรากำลังจะทำ คนธรรมดาอาจก่อความชั่วร้ายได้ หากไม่ใช้การคิดไตร่ตรอง (banality of evil) การคิดจึงเป็นหน้าที่ของพลเมือง ไม่ใช่แค่ของนักปรัชญา เพราะทุกการกระทำทางการเมืองมีผลกระทบต่อผู้อื่น ทุกคนจึงควรฝึกความสามารถในการไตร่ตรองเชิงจริยธรรม ก่อนจะตัดสินใจหรือกระทำใด ๆ ส่งเสริม critical thinking ที่ไม่แค่เก่งเหตุผลวิพากษ์ แต่มีมโนธรรม (conscience) ที่จะเสนอสิ่งใหม่ที่ดีกว่า เพื่อเป็นพื้นฐานของการมีส่วนร่วมอย่างมีคุณภาพในสังคมและประชาธิปไตย

Michel Foucault (1926-1984) นักปรัชญาชาวฝรั่งเศส เสนอแนวคิดเกี่ยวกับการตั้งคำถามกับสมมุติฐาน โดยเรียกร้องให้เราฝึกตั้งคำถามกับสิ่งที่ดูเหมือนปกติหรือจริงในชีวิตและสังคม เช่น กฎเกณฑ์ มโนทัศน์ทางศีลธรรม ระบบความรู้ วิทยาศาสตร์ หรืออำนาจรัฐ เพื่อเปิดพื้นที่ให้กับเสรีภาพในการคิดใหม่ การมองต่างมุม และการเลือกทางที่ต่างออกไปจากที่ถูกกำหนดไว้ และเสนอให้ฝึกตนให้หลุดจากโครงสร้างอำนาจความรู้ ชุดความรู้ หรือประมวลความจริงมักถูกกำหนดไว้โดยอำนาจ เราควรรู้เท่าทันระบบที่ครอบงำความคิด ความเชื่อ และการกระทำของเราในชีวิตประจำวัน เราจึงจะหลุดจากกรอบคิดที่ครอบงำเราไว้

ฐานคิดปรัชญาเรื่อง Thinking เสนอให้ทุกคนคิดอย่างไม่ติดกรอบ และกล้าตั้งคำถามต่อวิธีคิดเดิมอย่างมีจริยธรรม

แนวคิดที่เกี่ยวข้องกับ Relating (ความสัมพันธ์) ได้แก่

Emmanuel Levinas (1906-1995) นักปรัชญาชาวฝรั่งเศส เสนอว่า ความรับผิดชอบต่อผู้อื่นมาก่อนเสรีภาพของตน เมื่อตาเราพบตาของผู้อื่น เราจะพบความสั่นสะเทือนในใจเมื่อเจอผู้อื่น และเราจะรู้สึกถึงความเปราะบางของเขา และเกิดแรงกระตุ้นทางจริยธรรม การเห็นใบหน้าจึงไม่ใช่แค่การรับรู้รูปลักษณ์ แต่คือการเรียกร้องให้เรารับผิดชอบต่อชีวิตของเขา (ผู้อื่น) การเป็นมนุษย์ที่แท้จริงคือ การที่เราถูกเรียกออกจากตนเองเพื่อดูแลผู้อื่น

Martin Buber (1878-1965) นักปรัชญาชาวยิว-ออสเตรีย ได้เสนอแนวคิด I–Thou relationship หรือการพบปะกับผู้อื่นอย่างแท้จริงและเป็นปัจจุบัน เป็นความสัมพันธ์ที่ปราศจากการจัดประเภท วัดผล หรือใช้ผู้อื่นเป็นสิ่งของ เราเห็นผู้อื่นในฐานะมนุษย์ผู้มีจิตวิญญาณไม่ใช่เครื่องมือ ถ้าไม่มี I–Thou เลย เราจะสูญเสียความเป็นมนุษย์ ทั้งนี้ ตัวตนของเราถูกหล่อหลอมผ่านคุณภาพของความสัมพันธ์กับผู้อื่น จิตวิญญาณตื่นขึ้นเมื่อเราพบผู้อื่นในฐานะท่านไม่ใช่มัน

Ubuntu Philosophy (ปรัชญาแอฟริกา) มองผ่านข้อความ “I am because we are” ซึ่งหมายถึง ตัวตนของมนุษย์ไม่ได้ดำรงอยู่แยกเดี่ยว แต่มีความหมายได้ผ่านความสัมพันธ์กับผู้อื่น ตัวตนของเราถูกกำหนดโดยความสัมพันธ์ ไม่ใช่แค่ความสำเร็จส่วนตัว การยอมรับและเชื่อมโยงกับผู้อื่น อยู่ร่วมกันอย่างมีเมตตา ความเอื้อเฟื้อ และการให้อภัยคือหัวใจของการเป็นมนุษย์ ความดีงามของคน ๆ หนึ่งจะพัฒนาได้ ก็ต่อเมื่อชุมชนและผู้อื่นได้รับการดูแล เกิดเป็นผลรวมของการเชื่อมโยงกัน อยู่ร่วมกันแบบ interdependence

ฐานคิดปรัชญาเรื่อง Relating ชี้ให้เห็นว่า ความสัมพันธ์ที่แท้จริงไม่ใช่การใช้ผู้อื่นเพื่อจุดประสงค์ แต่คือการรับรู้คุณค่าของอีกฝ่ายในฐานะมนุษย์เท่าเทียม

แนวคิดที่เกี่ยวข้องกับ Collaborating (ความร่วมมือ) ได้แก่

Jürgen Habermas (1929- x ) นักปรัชญาชาวเยอรมัน เสนอทฤษฎีการสื่อสารเพื่อความเข้าใจ (communicative rationality) เน้นว่า เหตุผลที่แท้จริงไม่ใช่การเอาชนะกันด้วยตรรกะ แต่คือการพูดคุยเพื่อเข้าใจกัน การสื่อสารด้วยภาษาก็เพื่อสร้างความเข้าใจร่วมกัน (mutual understanding) ไม่ใช่เพื่อควบคุมหรือเอาชนะ ทุกคนจึงควรมีสิทธิเท่ากันในการพูด ฟัง ถาม โต้แย้ง และตกลงร่วมกัน การตัดสินใจใด ๆ จึงควรเกิดจากการไตร่ตรองร่วมกัน ทั้งนี้การสนทนาควรเป็นการร่วมกันสร้างโลกที่มีความหมาย ผ่านการฟังอย่างลึกซึ้งและการเปิดใจ

John Dewey (1859-1952) นักปรัชญาชาวอเมริกัน เสนอปรัชญาปฏิบัตินิยม (Pragmatism) โดยมองว่า ประชาธิปไตยไม่ใช่แค่ระบบการเมือง แต่คือวิถีชีวิตที่ต้องฝึกฝนการคิด การเรียนรู้ และการอยู่ร่วมกันอย่างมีส่วนร่วม การเรียนรู้เป็นสิ่งที่ต้อง ทดลอง–สะท้อน–ปรับใช้ อย่างต่อเนื่อง การเรียนรู้ที่แท้ต้องเกิดจากการลงมือทำ (learning by doing) และการร่วมคิดกับผู้อื่นในชุมชน มีการสร้างความเข้าใจร่วมกัน ร่วมออกแบบโลกร่วมกัน ทั้งนี้ ปรัชญาเป็นเครื่องมือที่ช่วยเราคิดและลงมือแก้ปัญหาทางสังคมอย่างมีจริยธรรม ทุกคนสามารถเป็นนักคิด–นักปฏิบัติในชีวิตประจำวันได้

Paulo Freire (1921-1997) นักการศึกษาชาวบราซิล เสนอแนวคิดการเรียนรู้เชิงปลดปล่อย (conscientização) เน้นการตื่นรู้ทางวิจารณญาณ (critical consciousness)
ซึ่งเกิดขึ้นจากกระบวนการเรียนรู้ร่วมกับผู้อื่น เพื่อเข้าใจโลก และลงมือเปลี่ยนแปลงโลกอย่างมีจริยธรรม มุ่งเน้นการรู้เท่าทันโลก เข้าใจโครงสร้างอำนาจ ความไม่เป็นธรรม และเงื่อนไขทางสังคมที่ทำให้มนุษย์ถูกกดทับ และเราควรที่จะเรียนรู้เพื่อที่จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลง เราเรียนรู้ผ่าน dialogical learning เรียนรู้ร่วมกันด้วยการพูด ฟัง และสร้างความหมายร่วมกัน การเปลี่ยนแปลงโลกเป็นกระบวนการรวมพลังของคนธรรมดาผ่านความเข้าใจและการลงมือเปลี่ยนแปลงอย่างมีจริยธรรม

ฐานคิดปรัชญาเรื่อง Collaborating ชี้ว่า การทำงานร่วมกันอย่างมีความหมายต้องใช้การฟังอย่างลึกซึ้ง และความกล้าหาญที่จะร่วมเปลี่ยนโลก โดยไม่ครอบงำกัน

แนวคิดปรัชญาที่เกี่ยวข้องกับ Acting (การลงมือกระทำ) ได้แก่

Aristotle (384-322 ก่อน ค.ศ.) เน้นย้ำเรื่อง Phronesis (prudence) การกระทำด้วยปัญญาปฏิบัติ เราควรมีปัญญาในการดำเนินชีวิตอย่างถูกต้อง ไม่ใช่มีเพียง episteme (ความรู้เชิงทฤษฎี) หรือ techne (ทักษะเชิงทักษะ/เทคนิค) แต่มีปัญญาที่รู้ว่า อะไรควรทำในสถานการณ์ที่ซับซ้อนนั้น โดยพิจารณาจากคุณธรรม ความยุติธรรม และความดีงาม ปัญญาปฏิบัตินี้เกิดขึ้นด้วยประสบการณ์ ความรอบคอบ และการใคร่ครวญ การมีปัญญาปฏิบัตินี้จึงจะเป็นไปเพื่อประโยชน์ของตนและสังคมได้

Simone de Beauvoir (1908-1986) นักปรัชญาชาวฝรั่งเศส เสนอการกระทำอย่างมีเสรีภาพที่ไม่กดขี่ผู้อื่น เราเป็นผลผลิตของวัฒนธรรมและสังคม เราจำเป็นต้องแยกระหว่างเราที่เป็นบทบาทที่กำหนดโดยสังคมและความเป็นเราที่แท้จริง และไม่ไปกดขี่บังคับผู้อื่นให้เป็นตามค่านิยมหรือบรรทัดฐานของสังคมนั้น เสรีภาพจึงไม่ใช่การทำอะไรก็ได้ตามใจ แต่คือการเลือกอย่างมีสำนึกว่า การกระทำนั้นมีผลกระทบต่อผู้อื่น เสรีภาพที่แท้จริงต้องตั้งอยู่บนความเข้าใจว่าผู้อื่นก็มีเสรีภาพเช่นกัน การดำรงอยู่ของเราจึงเกี่ยวข้องกับการเคารพเสรีภาพของผู้อื่น เราจึงต้องคำนึงถึงผู้อื่นด้วยเสมอนั่นคือ การลงมือทำอย่างรับผิดชอบ

Confucianism ลัทธิขงจื้อเสนอเรื่อง การกระทำที่สอดคล้องกับคุณธรรม (Ren และ Li) เร็นคือ คน และเป็นคนที่มุ่งสู่หลักการหรืออุดมคติที่สูงขึ้น ทั้งยังรวมถึงการที่คนสองคนปฏิบัติต่อกันอย่างเมตตากรุณาต่อกันบนความเป็นมนุษย์ หลี่ คือ พิธีกรรม ความถูกต้อง เป็นสิ่งที่สังคมเห็นว่าเหมาะสม ดังนั้น ผู้มีปัญญาจะต้องหาความพอดีในเส้นทางชีวิตตามที่ตั้งใจไว้บนพื้นฐานของสังคมและศาสนา

ฐานคิดปรัชญาเรื่อง Acting เสนอการลงมือทำที่ทรงพลังนั้นต้องตั้งอยู่บนการไตร่ตรอง ไม่ใช่แค่การ ทำดี แต่ต้องทำอย่างเข้าใจโลกและตนเองอย่างลึกซึ้ง

โดยสรุป บทบาทของปรัชญา สำหรับมิติต่าง ๆ ของ IDGs คือ การกระตุ้นผ่านการถามคำถามเชิงอัตถิภาวนิยม การฝึกการตื่นรู้ การให้กรอบคิดเชิงวิพากษ์และจริยธรรม เน้นย้ำคุณค่าของผู้อื่นในฐานะเป้าหมาย ไม่ใช่เครื่องมือ สร้างพื้นที่สนทนาและการเรียนรู้ร่วมกัน และชี้นำให้แต่ละฝ่ายมีการกระทำด้วยปรีชาญาณและจริยธรรม


Leave a comment