ผศ.(พิเศษ) ดร.เอนก สุวรรณบัณฑิต

เมื่อสนใจตัวตน (self) ในทางปรัชญาแล้ว ยังมีสาขาปรัชญาศาสนา (Philosophy of Religion) ที่สนใจในเรื่องตัวตนเช่นกัน และก็มักจะมีขอบข่ายที่เกี่ยวข้องกับเทววิทยา (Theology) ด้วย ทั้งนี้ ปรัชญาศาสนาเน้นการใช้เหตุผลวิเคราะห์ศาสนาทั้งในด้านแนวคิด ความหมาย ภาวะของพระเจ้า ศีลธรรม ความชั่ว ความตาย การหลุดพ้น ฯลฯ โดยไม่ขึ้นกับศาสนาใดศาสนาหนึ่ง ในขณะที่เทววิทยาศึกษาถึงพระเจ้า ความศักดิ์สิทธิ์ และศาสนา จากมุมของ ผู้มีศรัทธาในศาสนานั้น ๆ โดยมีจุดหมายเพื่อเข้าใจหรืออธิบายศาสนาอย่างลึกซึ้งจากภายใน

ศาสนาแบบอเทวนิยม (non-theistic religions) เช่น พุทธ ฮินดูบางนิกาย กับศาสนาเทวนิยม (theistic religions) เช่น คริสต์ อิสลาม มีมุมมองต่อ “ร่าง” “ตัวตน” และ “เป้าหมายสูงสุด” ของมนุษย์ในแบบที่ต่างกัน

ศาสนาตัวตนมนุษย์จุดหมายสูงสุด
พุทธอนัตตา (ไม่มีตัวตนแท้)ดับขันธ์ทั้งห้า (รวมถึงกายทิพย์) เข้าสู่นิพพาน
ฮินดูอาตมัน (วิญญาณแท้)รวมอาตมันกับพรหมัน (Brahman)
คริสต์ร่าง+วิญญาณที่พระเจ้าสร้างได้ชีวิตนิรันดร์ใน “ร่างทิพย์” ใกล้ชิดพระเจ้า
อิสลามวิญญาณที่พระเจ้าประทานให้ร่างได้กลับสวรรค์พร้อมร่างใหม่

อาจสรุปได้เป็น 2 กระแส คือ

  1. ศาสนาอารยัน (พุทธ-ฮินดู) เชื่อว่าเราต้องปลดปล่อยตนเองจากร่างหยาบ พัฒนาตนเพื่อเข้าสู่กายละเอียด และเข้าสู่ภาวะพ้นรูป (nirguna นิรคุณ-ปราศจากคุณลักษณะ) อันเป็นความบริสุทธิ์แท้จริง ไม่สามารถพูดถึงหรือบรรยายได้ด้วยภาษา เพราะเกินกว่าความคิด
  2. ศาสนาอับราฮัม (คริสต์-อิสลาม) เชื่อว่าพระเจ้าทรงรักร่างกาย จึงทรงสร้างและจะเปลี่ยนร่างนี้ให้บริสุทธิ์ (ร่างทิพย์) เพื่ออยู่กับพระองค์ เป็นการคืนดีกับรูป (reconciliation with an Image)

ศาสนาอารยัน (พุทธ-ฮินดู) มีแนวคิด “กายทิพย์” เพื่ออธิบายขั้นตอนของการ หลุดพ้นจากความเป็นรูป

กายทิพย์ (spiritual body) เป็นแนวคิดเกี่ยวกับร่างกายที่อยู่เหนือร่างกายวัตถุ มีความละเอียดอ่อน และเชื่อมโยงกับจิต วิญญาณ หรือพลังชีวิต เป็นภาษาของ “ภาวะภายใน” ที่หมายถึง จิต ร่างพลังงาน ธาตุลึกลับ มิติที่ละเอียดกว่าอัตตา

ฮินดู-โยคะ เรียกกายทิพย์ว่า “สุกษฺมศรีร” (Sūkṣma Śarīra -สุกษมา-สรีระ) เป็นกายละเอียดที่ประกอบด้วย ปราณะ จิต และพลังชีวิต ซึ่งดำรงอยู่แม้หลังความตาย โดยพา จิตวิญญาณไปเกิดใหม่ตามกรรม ปรัชญาเวทนตะ อุปนิษัท และลัทธิอาทไวตะ (Advaita Vedanta) เน้นการเข้าถึงผ่านฌาน ญาณ และการละลายอัตตา เมื่อสลายหรือดับกายละเอียด จะเหลือเพียง “อาตมันบริสุทธิ์” ไปรวมกับพรหมัน

พุทธวัชรยานกล่าวถึง กายแห่งแสง หรือ กายรุ้ง ซึ่งเป็นร่างละเอียดที่ก้าวข้ามการเวียนว่ายตายเกิด แต่ก็เป็นเพียง (ยานชั่วคราว) ในการตรัสรู้ ไม่ใช่จุดหมายแท้ การฝึกฝนโยคะ (มหาโยคะ อนุโยคะ อติโยคะ) อันได้แก่ การเข้าสมาธิระดับสูงจนจิตถอนไปจาก “รูป-นาม” ถือเป็นการเข้าถึงภาวะนิรคุณ

อย่างไรก็ตาม มีแนวคิดตะวันตกที่มองถึง กายทิพย์ ว่าเป็นร่างที่เราพัฒนาผ่านภาวะภายใน เช่น ปรัชญาเพลโต มองว่าร่างกายคือคุกของวิญญาณ ส่วนกายทิพย์ในความเข้าใจร่วม คือ รูปแบบ (Form) อันเป็นนิรันดร์ และ นักจิตวิญญาณตะวันตก เช่น Emanuel Swedenborg (1688–1772) และ Theosophy มองว่ามนุษย์ประกอบด้วยหลายชั้นของกาย ทั้งกายวัตถุ กายพลัง กายอารมณ์ และกายวิญญาณ มนุษย์จึงควรมีเป้าหมายคือ การตื่นรู้ทางจิต (Spiritual Awakening)

กายทิพย์ เกิดขึ้นได้จากการตระหนักรู้ และเราเชื่อมโยงกับกายทิพย์ ไม่ใช่สร้างกายทิพย์ขึ้นใหม่ เพราะกายทิพย์มีอยู่แล้วในตัวตนที่ลึกกว่า เพียงแต่จิตที่ฟุ้งซ่านบดบังไม่ให้รับรู้หรือเข้าถึงมัน กายทิพย์มีลักษณะเป็นโครงสร้างพลังงานที่เชื่อมโยงกับจิตวิญญาณที่ถูกชำระจนใส การบรรลุถึงกายทิพย์ในสมาธิขั้นสูง อาจปรากฏเป็นประสบการณ์นอกกาย (OBE) การเห็นแสงรอบกาย, หรือ การเข้าถึงกายที่ไม่ตาย (deathless body) โดยสมาธิทำให้จิตละเอียดลง ละวางจากร่างหยาบ เข้าสู่ระดับของตรีกาย (กายพลังงาน, กายจิตและ กายปัญญา)

ศาสนาอับราฮัมมีแนวคิด “ร่างทิพย์” เพื่ออธิบาย การเปลี่ยนแปลงร่างมนุษย์ให้สมบูรณ์โดยพระเจ้า

ร่างทิพย์ (celestial body) แต่เดิมหมายถึงวัตถุท้องฟ้า เช่น ดวงดาว ดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์ ฯลฯ (ที่มีแสงในตน) ในเชิงอภิปรัชญาของเพลโต-อริสโตเติล ก็ยังหมายถึง “ร่างกายบนฟ้า” ที่สมบูรณ์แบบ บริสุทธิ์ และไม่เปลี่ยนแปลง เช่น เพลโตกล่าวว่า ดวงดาวเป็นดวงจิตอันเป็นนิรันดร์ (Divine Souls) อริสโตเติลมองว่าร่างฟ้า (celestial spheres) มีการเคลื่อนไหวแบบนิรันดร์ ขับเคลื่อนด้วยปัญญาเบื้องสูงที่เรียกว่า ผู้เคลื่อนที่ไม่เคลื่อน (Unmoved Mover) และโพลทินัส (Plotinus) เชื่อว่าร่างทิพย์ (celestial bodies) เป็นสัญลักษณ์ของลำดับแห่งความดีงาม (The One → Nous → Soul) ในขอบข่ายของปัญญา (nous)

ในศาสนาคริสต์มองว่า ร่างทิพย์ (celestial body )ได้แก่ ร่างทูตสวรรค์ หรือดวงดาวที่พระเจ้าทรงสร้างในปฐมกาล (Genesis 1:14–19) เป็นภาวะแห่งการดำรงอยู่ในแสง ความรัก และการรับใช้ และเป็นสัญลักษณ์ของความรุ่งเรืองของพระเจ้า สำหรับมนุษย์ ร่างทิพย์เป็นคำของ “ของขวัญจากพระเจ้า” หมายถึง เป็นร่างที่พระเจ้าทำให้เปลี่ยนแปลงด้วยความรัก เป็นร่างที่พระเจ้าประทานผ่านความรักอันศักดิ์สิทธิ์

ร่างทิพย์ คือ ร่างที่เปลี่ยนแปลงแล้ว หลังฟื้นจากความตาย (resurrected body) ตาม โครินธ์ 15:42–44: “ร่างที่หว่านด้วยความเน่าเปื่อย จะถูกยกขึ้นด้วยความไม่เน่าเปื่อย…” การจะได้รับร่างเช่นนี้ ต้องเชื่อในพระเจ้า (Christ) ประพฤติในความเชื่อ ศรัทธา และความรัก เป็นการตายในสภาพแห่งพระหรรษทานและได้รับการเปลี่ยนแปลงในวันสุดท้าย (Resurrection day)

แง่มุมกายทิพย์
(Spiritual Body)
ร่างทิพย์
(Celestial Body)
ความหมายหลักร่างละเอียดเหนือกายวัตถุ เชื่อมกับจิต/วิญญาณวัตถุท้องฟ้า ร่างทูตสวรรค์ ร่างสวรรค์
ระบบความเชื่อพุทธ, ฮินดู, โยคะ, คริสต์, ปรัชญาเพลโตคริสต์, เพลโต, อริสโตเติล, นีโอเพลโต
การดำรงอยู่อยู่ในตัวตนมนุษย์หรือภายหลังความตายอยู่ในจักรวาล หรือในชั้นสวรรค์
ลักษณะไม่เน่าเปื่อย เคลื่อนที่ได้อิสระสมบูรณ์ เป็นนิรันดร์ หรือตัวแทนของพระเจ้า
สมาธิได้ตระหนักรู้กายทิพย์เมื่อจิตสงบและบริสุทธิ์ช่วยเตรียมจิต
ศีลชำระพลังจิตเพื่อไม่บิดเบือนกายทิพย์ความดี ความเชื่อ ความรัก
ศรัทธาไม่ต้องมีศาสนาใด แต่ต้องเปิดใจเข้าถึงมิติที่ลึกกว่าต้องศรัทธาในพระเจ้า

อย่างไรก็ตาม Swedenborg ได้เสนอศาสนาคริสต์เชิงจิตวิญญาณลี้ลับ (mystical Christianity) โดยอ้างว่าตนได้พบเห็นโลกสวรรค์ โลกนรก และสนทนากับเทพ/วิญญาณ อย่างมีสติ และได้อธิบายไว้ว่า การดำรงอยู่มี 3 มิติ ได้แก่ โลกทางกายภาพ โลกมนุษย์ (physical-human Realm) โลกวิญญาณ (Intermediate Realm) โลกสวรรค์/นรก (Spiritual Realms)

มนุษย์แต่ละคนประกอบด้วย 3 ระดับของตัวตน ได้แก่ กายหยาบ (Natural Body) กายจิต (Spiritual Body) และกายสวรรค์ (Celestial Body) กายเหล่านี้พัฒนาได้จากการดำเนินชีวิตอย่างมีคุณธรรม-ความรัก-ความเข้าใจ ซึ่งต้องการการเข้าใจในระดับ inner meaning เพื่อเข้าถึงความหมาย-เจตนาของพระเจ้า-คัมภีร์ และมนุษย์จะสามารถเข้าถึงสวรรค์ได้ผ่านการมีชีวิตที่เปี่ยมด้วยความรักและปัญญา

แนวคิดมิติ 3 ของสเวเดนบอร์กได้รับความสนใจและมีอิทธิพลต่องานวรรณกรรม กวีนิพนธ์ และจิตวิทยากลุ่มจิตวิเคราะห์ และเป็นเบื้องหลังความเชื่อเรื่องจิตวิญญาณอย่างตะวันตกกระแสหนึ่งอีกด้วย

โดยสรุป ตัวตนที่เป็นเป้าหมายของมนุษย์นั้น มี 2 ส่วน ในส่วนที่เป็นกายภาพจะเป็นภาวะที่มีคุณลักษณะ (รูป-นาม เทพเจ้า ความดี) ในขณะที่ปรัชญาศาสนาชี้ว่า มีตัวตนที่เป็นเป้าหมายที่เป็นนิรคุณ (ภาวะที่ปราศจากคุณลักษณะ) อันได้แก่ กายทิพย์ และร่างทิพย์ (บริสุทธิ์ สะอาด สมบูรณ์ ไม่อาจบรรยายได้)


Leave a comment