ผศ.(พิเศษ) ดร.เอนก สุวรรณบัณฑิต

แนวคิดที่ส่งเสริมปรัชญาท้องถิ่น (local philosophy) เป็นแนวคิดร่วมสมัยที่เกิดขึ้นจากการวิพากษ์ความเป็นสากล (universalism) ของปรัชญาตะวันตก โดยเฉพาะหลังยุคอาณานิคม (post-colonial era) ซึ่งปรากฏชัดในปรัชญาแอฟริกา เอเชีย และลาตินอเมริกา โดยมีแนวคิดหลักและนักคิดสำคัญที่สนับสนุนการพัฒนาปรัชญาท้องถิ่น ได้แก่

แนวคิดหลักที่ส่งเสริมปรัชญาท้องถิ่น
1. ปรัชญาหลังอาณานิคม (Postcolonial Philosophy) เป็นแนวคิดที่ชี้ว่าโลกตะวันตกผูกขาดการนิยามปรัชญา ผ่านภาษา วิธีคิด และกรอบอภิปรัชญาของตน แนวคิดนี้จึงหันมาส่งเสริมให้ฟื้นฟูและวิพากษ์ปรัชญาท้องถิ่นเพื่อเป็นการสร้างความรู้ที่หักล้างอิทธิพลของยุคอาณานิคมออกไป (decolonize knowledge)

2. ปรัชญาชาติพันธุ์ (Ethnophilosophy) เป็นแนวคิดที่เสนอว่า ความเชื่อ ประเพณี และคติพื้นบ้านของชุมชนสามารถเป็นรูปแบบหนึ่งของปรัชญาได้ แม้จะไม่เป็นระบบแบบตะวันตก และถูกวิจารณ์ว่า “ไม่เป็นปรัชญาที่แท้” แต่ก็เป็นจุดเริ่มต้นสำคัญในการสร้างปรัชญาท้องถิ่นได้

3. ความรู้ที่สัมพันธ์และดำรงอยู่ (Relational and Situated Knowledge) แนวคิดนี้มองว่า ปรัชญาไม่ใช่ความรู้แบบกลาง (neutral) แต่ฝังตัวอยู่ในบริบท วัฒนธรรม และภาษาของชุมชน แนวคิดนี้สนับสนุนการยอมรับความหลากหลายทางปรัชญา

4. ชุดความคิดในยุคหลังสมัยใหม่ ได้แก่

4.1 Decolonial Turn ชุดความคิดที่เรียกร้องให้เราปลดแอกตนเองจากอำนาจโครงสร้างความรู้ตะวันตก
4.2 Intercultural Philosophy เปิดให้ปรัชญาท้องถิ่นสามารถเข้าสู่การสนทนาอย่างเท่าเทียมกับปรัชญาอื่น
4.3 Subaltern Epistemology เสียงของผู้ถูกกดขี่ (subaltern) ต้องได้รับการรับฟังในฐานะเจ้าของความรู้
4.4 Philosophy of Place แนวคิดนี้ที่เสนอว่าปรัชญาควรมีรากจากภูมิทัศน์แห่งความคิด (landscape of thought) ของท้องถิ่น

นักปรัชญาที่ส่งเสริมปรัชญาท้องถิ่น

Kwasi Wiredu (ควาซี วีเรดู, 1931-2022) นักปรัชญาชาวกานา (Ghana) ผู้ทรงอิทธิพลในการพัฒนา African philosophy และเสนอแนวคิดเรื่องปรัชญาท้องถิ่นไว้อย่างลึกซึ้ง และเป็นระบบ และส่งผลกระทบต่อวงการปรัชญาหลังอาณานิคมทั่วโลก โดยเฉพาะผ่านแนวคิดสำคัญคือ Conceptual Decolonization การปลดปล่อยความคิดจากกรอบอาณานิคมของปรัชญาตะวันตก เพื่อให้ภูมิปัญญาท้องถิ่นได้พูดด้วยภาษาและกรอบความคิดของตนเอง วีเรดูเสนอว่า การทำปรัชญาในแอฟริกาไม่ควรลอกแบบกรอบคิดของปรัชญาตะวันตก เพราะจะทำให้เกิดความเข้าใจผิด และการบังคับตีความ เราต้องกลับไปสำรวจภาษาแม่ เช่น Akan, Yoruba ฯลฯ และแนวคิดพื้นเมืองเพื่อสร้างระบบปรัชญาใหม่ที่มีฐานของตัวเอง ไม่ใช่เพียงแปลภาษาอังกฤษเป็นปรัชญา ทั้งนี้ ภาษาแม่มักจะมีแนวคิดเฉพาะที่ไม่มีในภาษาตะวันตก เช่น แนวคิดเรื่องความเป็นมนุษย์ร่วมกัน (ubuntu) หรือจริยธรรมแห่งความสัมพันธ์ (communal personhood) ตัวอย่างเช่น ภาษา Akan ไม่มีคำตรงกับ belief แบบตะวันตก เพราะแนวคิดของ Akan เน้นความรู้ร่วมมากกว่า ซึ่งมีบางแนวคิดที่เป็นสากลแต่ต้องเข้าใจผ่านวัฒนธรรมท้องถิ่นด้วย

Paulin Hountondji (พอลิน ฮุนตอนจี, 1942-2024 ) นักปรัชญาชาวเบนิน ผู้มีบทบาทสำคัญในการก่อตั้งและวิพากษ์ African Philosophy ในฐานะพื้นที่ความรู้ที่ต้องการ ปลดแอกจากความเงียบ (silencing) และความโรแมนติไซส์ของวัฒนธรรมดั้งเดิม ฮุนตอนจีเสนอแนวคิดที่ลึกซึ้งเกี่ยวกับปรัชญาท้องถิ่นโดยเริ่มจากการวิจารณ์ ethnophilosophy ว่าเป็นการนำความเชื่อพื้นบ้าน คติชน คำพังเพย หรือจารีตมาเสนอว่าเป็นปรัชญา โดยไม่มีการวิเคราะห์หรือตั้งคำถามเชิงวิพากษ์ เช่น ความคิดเรื่อง ubuntu, โลกวิญญาณ, คติผีบรรพบุรุษ โดยวิพากษ์ว่า การทำปรัชญาท้องถิ่นจากปรัชญาชาติพันธุ์นั้นเป็นปรัชญาโดยไม่มีนักปรัชญา (philosophy without philosophers) เป็นเพียงการบันทึกความเชื่อดั้งเดิม ไม่ใช่การถกเถียงอย่างมีเหตุผล เป็นการทำให้ดูดี (romanticized) วัฒนธรรมชนพื้นเมืองเพื่อเอาใจ-ทำตามกระแสโลกตะวันตกในยุคหลังอาณานิคมเท่านั้น ฮุนตอนจีเชื่อว่า ปรัชญาท้องถิ่นที่แท้จริงต้องเป็นงานวิเคราะห์วิพากษ์ (critical, argumentative, reflexive) โดยบุคคลที่มีการศึกษา-เข้าใจแนวคิดทั้งในท้องถิ่นและในปรัชญาโลก โดยปรัชญาท้องถิ่นต้องมีผู้คิด (active philosophers) ในชุมชน-พื้นถิ่น ไม่ใช่เพียงวัฒนธรรมที่ไม่มีเสียง (silence culture) นั่นคือ ปรัชญาท้องถิ่นไม่ใช่เพียงการแปลหรืออธิบายวัฒนธรรมดั้งเดิม แต่ผู้คนต้องตั้งคำถาม-ตอบคำถามในประเด็นสำคัญได้ ไม่ใช่เพียงการเก็บรวบรวมคติความเชื่อ แต่ต้องสามารถพัฒนาได้อย่างเป็นระบบให้เกิดเป็นความทันสมัยของตนเองทางปรัชญา (philosophical modernity) โดยไม่เลียนแบบหรือตัดขาดจากรากเหง้าของตนเอง

Raúl Fornet-Betancourt (ราอูล ฟอร์เนต์-เบตันกูร์ต, เกิด 1946) เป็นนักปรัชญาชาวคิวบา–เยอรมัน ผู้มีบทบาทสำคัญในการผลักดันปรัชญาระหว่างวัฒนธรรม (intercultural philosophy) เบตันกูร์ตมองว่า โลกปรัชญาสมัยใหม่ต้องเปลี่ยนจากปรัชญาแบบเอกวัฒนธรรม (monocultural philosophy) ต้องไม่อ้างความเป็นสากล (universalism) อย่างปรัชญาตะวันตก แต่ควรยอมรับการรู้ในญาณปรัชญาแบบอื่น (alternative epistemologies) เคารพศักดิ์ศรีของทุกวัฒนธรรม โดยไม่ให้ระบบคิดใดระบบหนึ่งกลืนผู้อื่น และพัฒนาแนวคิดไปเป็นปรัชญาแบบพหุวัฒนธรรมที่พูดคุยกันได้ (intercultural dialogue) และสนับสนุนปรัชญาท้องถิ่นในฐานะความรู้ที่มีคุณค่าในตัวเอง ไม่ใช่แค่ความรู้พื้นเมืองที่ด้อยกว่าปรัชญาตะวันตก เบตันกูร์ตเสนอว่าเราควรสร้างพื้นที่สนทนาอย่างเท่าเทียมระหว่างปรัชญาต่างวัฒนธรรม เช่น ปรัชญาจากเอเชีย แอฟริกา ลาตินอเมริกา และเปิดทางให้ภูมิปัญญาท้องถิ่น (local knowledge) กลายเป็นปรัชญาที่พูดได้ในระดับสากล ผ่านการสนทนาแบบสมาฉันท์เชิงวิพากษ์ (critical solidarity) และไม่จำเป็นที่จะต้องแปลไปเป็นภาษาตะวันตกเพื่อให้เกิดการยอมรับ แต่ควรได้รับสิทธิ์ที่จะพูดในภาษาของตน และตีความโลกในแบบของตนเอง เพื่อนำไปสู่การคิดวิเคราะห์ วิพากษ์และประยุกต์ใช้เพื่อโลกได้เพื่อความทันสมัยที่หลากหลาย (multiple modernities)

Walter D. Mignolo (วอลเตอร์ มิกโนโล, เกิด 1941) นักปรัชญา–นักทฤษฎีวัฒนธรรมชาวอาร์เจนตินา ผู้มีบทบาทในการพัฒนาแนวคิดการปลดปล่อยความรู้จากอำนาจอาณานิคม (Decoloniality) โดยเฉพาะผ่านแนวทาง epistemic disobedience – การไม่เชื่อฟังต่อระบบความรู้ของโลกตะวันตก มิกโนโลเสนอว่า โลกความรู้หลังยุคอาณานิคมยังคงอยู่ภายใต้อำนาจของ modernity/coloniality ยังเป็นโลกสมัยใหม่ที่สร้างโดยยุโรป ออกแบบโลกที่ทำลายประวัติศาสตร์ท้องถิ่น ผ่านการพิชิต การทำให้คนพื้นเมืองไร้เสียง และการทำให้ภูมิปัญญาท้องถิ่นกลายเป็นเพียงเรื่องพื้นบ้านหรือสิ่งล้าหลัง มิกโนโลสนับสนุนให้ปรัชญาท้องถิ่นเริ่มจากการแหกกรอบที่ตะวันตกกำหนดไว้ว่าอะไรคือปรัชญา และก็ไม่จำเป็นต้องอธิบายโลกด้วยภาษา–ตรรกะ ตามแนวคิดของคานท์ เดการ์ต หรือไฮเดกเกอร์ โดยควรพูดหรือเสนอจากฐานของท้องถิ่นนั้นเอง ด้วยภาษา วิธีคิด และมิติของเวลา/จิตวิญญาณที่มี มิกโนโลเชื่อว่า ความรู้ที่มีหลายศูนย์กลาง (many centers, many knowledges) ปรัชญาท้องถิ่นจึงไม่เป็นทางเลือกเสริม แต่เป็นหนึ่งใน แกนหลักของโลกทางความคิด (โลกปรัชญาแบบพหุภพ-Pluriversality)

Ram Adhar Mall (ราม อธาร์ มอลล์, เกิด 1937) เป็นนักปรัชญาชาวอินเดีย ผู้มีบทบาทในการเสนอปรัชญาระหว่างวัฒนธรรม (intercultural philosophy) มอลล์เสนอว่า แนวคิดที่ว่า เรื่องปรัชญาเท่ากับตะวันตก ได้ทำให้ภูมิปัญญาเอเชีย แอฟริกา ลาตินอเมริกา ถูกจัดเป็น วัฒนธรรมหรือจิตวิญญาณ มากกว่าปรัชญา มอลล์จึงสนับสนุนแนวคิดปรัชญาท้องถิ่น โดยชี้ว่า ปรัชญาทุกระบบมีถิ่นกำเนิด (locality) แม้ปรัชญาตะวันตกก็เริ่มจากกรีก มิใช่สากลโดยแท้ เอเชียใต้เองก็อยู่ภายใต้อิทธิพลของลัทธิอาณานิคมและอำนาจของปรัชญาตะวันตกมายาวนาน แนวคิดของมอลล์จึงมุ่งสร้างความเข้าใจว่า ปรัชญาท้องถิ่นไม่ใช่สิ่งล้าหลัง แต่เป็นประตูเข้าสู่การคิดระดับโลก เป็นพลังแห่งการวิพากษ์และการสร้างโลกความรู้ใหม่ ผ่านการสนทนาอย่างเท่าเทียมระหว่างวัฒนธรรม มอลล์เสนอการทำปรัชญาต้องมี 3 มิติประสานกัน (threefold structure of philosophy) ได้แก่ Locality – Universality – Interculturality ซึ่งโครงสร้างเชิงระบบนี้มองว่า Locality ปรัชญาต้องเริ่มจากประสบการณ์ ภาษา และบริบทท้องถิ่น Universality ใช้เหตุผลถกเถียงเพื่อเข้าถึงความจริงที่อาจเป็นสากลได้ และ Interculturality เชื่อมโยงและเปิดบทสนทนากับปรัชญาอื่นโดยไม่ลำดับขั้น

ปรัชญาของประเทศ ๆ หนึ่งเป็นไปได้หรือไม่?

ปรัชญาท้องถิ่น หรือปรัชญาแห่งชาติ (national philosophy) เป็นสิ่งที่เป็นไปได้และควรได้รับการยอมรับ หากเรามองว่าปรัชญาไม่จำเป็นต้องเป็นการไตร่ตรองนามธรรมในลักษณะกรีกหรือตะวันตกเสมอไป การฟื้นฟูภูมิปัญญาท้องถิ่นในรูปของปรัชญาที่มีระบบความคิด ชุดคุณค่า และโครงสร้างของการมีอยู่ เช่น ปรัชญาแอฟริกา แม้จะยังไม่มีรูปแบบวิชาการแบบตะวันตก แต่สามารถพัฒนาให้เป็นปรัชญาได้

อย่างก็ตาม การสร้างปรัชญาท้องถิ่นแบบปรัชญาแบบชาติพันธุ์อาจกลายเป็นการทำให้วัฒนธรรมพื้นเมืองดูดีผ่านโรแมนติไซส์ (romanticized) โดยไม่มีการวิเคราะห์เชิงวิพากษ์ และการเรียกสิ่งหนึ่งว่า “ปรัชญาแห่งชาติ” อาจนำไปสู่การเน้นย้ำอัตลักษณ์แบบชาตินิยมมากเกินไป แทนที่จะเป็นการถกแถลงเพื่อเสรีภาพของความคิด

ประเทศไทยจะมีปรัชญาไทยเป็นของตนเองได้หรือไม่?

ประเทศไทยมีรากฐานของความคิดปรัชญาที่อาจไม่เรียกว่าปรัชญาในความหมายกรีก-ตะวันตก แต่มีลักษณะปรัชญาอยู่ในนั้น เป็นปรัชญาจากท้องถิ่น (locality) เช่น

  1. ความคิดจารีตนิยมแบบไทย ความสัมพันธ์แบบแนวดิ่งของพ่อ-ลูก, กษัตริย์-ราษฎร, ครู-ศิษย์ แนวคิดเรื่องความเหมาะสม (ความพอดี ไม่สุดโต่ง) เป็นต้น
  2. ภูมิปัญญาพื้นบ้าน (folk) ได้แก่ ภาษิต คำพังเพย เช่น “ช้า ๆ ได้พร้าเล่มงาม”, “สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น” รวมถึงความคิดแฝงในนิทานพื้นบ้าน เช่น พระรถ-เมรี, ขุนช้างขุนแผน ฯลฯ และภูมิปัญญาในพิธีกรรมความเชื่อแบบผี-เทพ-เทวดา เช่น แนวคิดเรื่องขวัญ ผีฟ้า ผีแถน
  3. ภาษาไทย เช่น คำที่ไม่มีคำแปลตรงตัวในภาษาอื่น เช่น เกรงใจ พอดี ดีงาม

เมื่อนำแนวคิดท้องถิ่นมาจำแนกเป็นสากลตามระบบตะวันตก จะได้เป็นปรัชญาอย่างสากล (universality) ได้แก่

  1. อภิปรัชญา ได้แก่ คติจักรวาลนิยม ความสัมพันธ์ของฟ้า-ดิน-มนุษย์ (ตำนานพื้นเมือง), ระบบผี-ไสยศาสตร์, ระบบความเชื่อพื้นบ้าน
  2. ญาณปรัชญา ได้แก่ รูปแบบการรู้จากวัฒนธรรมชาวบ้าน เช่น การฟัง-คิด (นิทาน ภาษิต) และการเรียนรู้เชิงสัญลักษณ์
  3. จริยศาสตร์ ได้แก่ ค่านิยมแบบจารีต การผิดผี การเลี้ยงดูพ่อ-แม่ การเคารพบรรพชน การนับญาติ ความรู้จักพอ ความอดทน การไม่แข็งข้อกับผู้ใหญ่ เป็นต้น
  4. ปรัชญาประยุกต์ เช่น รัฐศาสตร์-สังคม ได้แก่ คติชนแบบเจ้าขุนมูลนาย แนวคิดข้าไท-ไพร่-ทาส เป็นต้น

หลังจากที่ประเทศไทยได้รับอิทธิพลจากศาสนาพุทธ (อิทธิพลหลัก) ก็ได้ทำให้มีการเชื่อมโยงและแลกเปลี่ยนกับระบบพุทธปรัชญาและระบบปรัชญาต่าง ๆ เช่น พรามหณ์-ฮินดู จีน เปอร์เซีย และปรัชญาตะวันตก ตลอดระยะเวลาหลายร้อยปีที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน จึงเกิดเป็นปรัชญาระหว่างวัฒนธรรม (interculturality) ได้แก่

  1. อภิปรัชญา สรรพสิ่งสัมพันธ์กันและเปลี่ยนแปลงอย่างไร้ตัวตนถาวร ตามหลักตถตา ไตรลักษณ์ และธรรมะ
  2. ญาณปรัชญา การรู้คือ การตื่นรู้จากการฝึกฝนจิต ไม่ใช่เพียงตรรกะหรือประสาทสัมผัส เกิดการรู้แบบ สุตมย-จินตมย-ภาวนามยปัญญา
  3. จริยศาสตร์ ความดีคือ ความเมตตาอย่างมีปัญญา เพื่อสมดุลภายใน-ภายนอก การทำดีคือ การปฏิบัติพรหมวิหาร 4 ศีล 5 อิทธิบาท 4 และปฏิบัติตามค่านิยม-จริยธรรมของชุมชน

ปรัชญาเชิงวิพากษ์ต่อปรัชญาไทย

  1. อภิปรัชญา ไม่เน้นการมีอยู่แบบสารัตถนิยม (substantial being) แต่เน้นความเป็นเชิงสัมพันธ์ (relational being) เป็นการดำรงอยู่ร่วมกันของหมู่คณะ สังคม
  2. ญาณปรัชญา มีการรู้ร่วม (communal knowing) ผ่านวัฒนธรรม นิทาน ชุมชน และการรู้แบบไม่ยึดติด (non-clinging epistemology) รู้เพื่อปล่อยวาง ไม่ใช่เพื่อครอบครอง
  3. จริยศาสตร์ เชื่อมโยงกับเป้าหมายชีวิต คือ การหลุดพ้น (การได้มรรคผลนิพพาน) และ การอยู่ร่วมกันอย่างสันติ มีลักษณะจริยธรรมเชิงคุณธรรม (virtue ethics) และบังคับปฏิบัติซ่อนอยู่ภายใน

ความท้าทายของปรัชญาไทยในโลกสมัยใหม่

ปรัชญาไทยย่อมพบกับบริบทความเป็นจริงของสังคม และจะต้องสะท้อนตนเองผ่านข้อคำถามต่าง ๆที่จะมีต่อไปได้ เช่น

  1. ค่านิยมแบบจารีตของไทย ที่เน้นการที่พึงรู้จักสถานะตน และการกลมกลืนกับระบบ (ไม่จำนน แต่อิงกับความสัมพันธ์และประสบการณ์) จะเป็นอย่างไร
  2. แนวคิดการเป็นคนดี ไม่ใช่เพียงตามระบบกฎหมาย แต่กลายเป็นชุดคุณค่าทางจริยศาสตร์ แต่มีปัญหาคอร์รัปชั่นและการใช้ตรรกวิบัติโจมตีบุคคลอยู่เสมอโดยอ้างความเป็นคนดี
  3. การเมืองแบบสามัคคี – หมู่คณะ – รู้จักกัน กับความเป็นระบบอุปถัมภ์
  4. ความคิดจากวรรณกรรมและศิลปะไทย เช่น รามเกียรติ์, ไตรภูมิพระร่วง, ลิลิตพระลอ, เสภาขุนช้างขุนแผน ซึ่งมีปรัชญาชีวิต จริยธรรม ความรัก อำนาจ ความขัดแย้ง ให้เรียนรู้ แต่จะประยุกต์ใช้ได้อย่างไรในโลกสมัยใหม่
  5. การตีความมนุษย์แบบพลวัต เช่น คนดีอาจทำผิด และคนร้ายก็อาจมีเหตุผลที่ทำผิด, เด็กไม่ได้อยากเกิด พ่อแม่ทำให้เขาเกิดมา, คนไทยคือใคร เป็นต้น

ปรัชญาไทยในฐานะ local philosophy จะยืนหยัดได้ด้วยตนเองในเวทีโลกได้ ก็จำเป็นที่จะต้องหา นักคิด-นักปรัชญาไทย ที่จะมาช่วยขยายโครงสร้างระบบความคิดปรัชญาท้องถิ่นต่อไปเรื่อย ๆ โดนอาจมีแนวทาง ได้แก่

  1. สร้างพื้นที่การตีความใหม่ (Reinterpretation) นำภูมิปัญญาไทย เช่น สุภาษิต นิทาน และคติความเชื่อ มาถอดรหัสด้วยภาษาอย่างปรัชญาว่าเป็น ญาณวิทยา อภิปรัชญาและจริยศาสตร์อย่างไร ในกรอบคิดปรัชญาลัทธิใด
  2. สร้างและส่งเสริมการยอมรับนักปรัชญาไทยร่วมสมัย (ไม่ใช่นักปราชญ์ หรือปราชญ์ชาวบ้าน) ส่งเสริมการเขียนและตีพิมพ์ผลงานปรัชญาภาษาไทยที่พูดกับปัญหาบนบริบทสังคมไทย เช่น ความแตกต่างหลากหลาย การกีดกัน ความเหลื่อมล้ำ อัตลักษณ์ ชนชั้น ชาติพันธุ์ ผ่านปรัชญาเชิงวิพากษ์ ปรัชญาสตรีนิยม ฯลฯ เป็นต้น
  3. นำเสนอร่วมกับปรัชญาสากล โดยอาจใช้การเปรียบเทียบหรือการมองผ่านอิทธิพลของปรัชญาให้สามารถสนทนากับ Kant, Heidegger, Confucius, Foucault ได้
  4. แสดงบทบาทของนักปรัชญาในฐานะผู้ชี้แนะ ชี้นำสังคม ส่งเสริมการศึกษาและถกเถียงในพื้นที่สาธารณะผ่านวงเสวนา สื่อ สื่อออนไลน์ โดยเสนอถึงแนวคิดปรัชญาไทยที่มีต่อประเด็นเหล่านั้นอย่างลึกซึ้ง ไม่ใช่แค่อ้างว่า “ถ้าเป็นไทยจะ….” เท่านั้น
  5. ส่งเสริมการเขียนบทความเกี่ยวกับปรัชญาไทยเป็นไทยและภาษาอังกฤษ และเปิดพื้นที่สนทนาระดับต่าง ๆ เพื่อให้ร่วมกันแสดงความคิดเห็นอย่างอย่างหลากหลาย
  6. พัฒนาปรัชญาไทยบนพื้นฐานของชาติพันธุ์ ชุมชน วัฒนธรรม และอารยธรรมที่ประกอบร่วมกันเป็นความเป็นไทยในปัจจุบัน เพื่อยกระดับการเข้าใจในตนเอง ผ่านการคิดอย่างลุ่มลึก วิพากษ์ และพร้อมเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ

ปรัชญาไทยควรมาจากรากคิดของท้องถิ่น เช่น กลาง เหนือ ใต้ ออก ตก อีสาน ร่วมกับการแลกเปลี่ยนระหว่างระบบปรัชญา พุทธ คริสต์ อิสลาม พราหมณ์ ซิกซ์ อินเดีย จีน เปอร์เซีย ผ่านความสัมพันธ์กับธรรมชาติ ชุมชน คน การเมืองแบบจารีต ฯลฯ และหว่านเมล็ดความคิด ปลูกต้นกล้านักคิดอย่างปรัชญาไทยในสังคมไทย


Leave a comment