ผศ.ดร.เมธา หริมเทพาธิป ส่วนหนึ่งจากบทบรรยายวันที่ 25 มีนาคม 2566

บทนำ

เหตุใดต้องเข้าใจ Modernism ก่อน Postmodernism ในทางประวัติศาสตร์ปรัชญา Postmodernism มิได้เกิดขึ้นอย่างลอยตัว หากแต่ถือกำเนิดขึ้นในฐานะ “ปฏิกิริยาเชิงวิพากษ์” (critical reaction) ต่อสมมติฐานหลักของ Modernism ดังนั้น การทำความเข้าใจ Postmodernism อย่างลึกซึ้งจึงจำเป็นต้องย้อนกลับไปสำรวจฐานคิดของยุคสมัยใหม่เสียก่อน มิฉะนั้น การวิพากษ์จะกลายเป็นเพียงการปฏิเสธโดยไม่เห็นรากฐานของสิ่งที่ถูกปฏิเสธ

สารัตถะ (Essence) กับ ความเป็นสากล (Universal): ฐานคิดเชิงอภิปรัชญา

Particular และ Universal ตัวอย่าง “มะม่วง” ซึ่งสะท้อนปัญหาปรัชญาว่าด้วยความสัมพันธ์ระหว่าง

  1. สิ่งเฉพาะ (Particular) มะม่วงอกร่อง มะม่วงน้ำดอกไม้ มะม่วงลูกเล็ก–ใหญ่
  2. ความเป็นสากล (Universal) ความเป็น “มะม่วง” ที่ทำให้เรารับรู้ว่าสิ่งเฉพาะเหล่านั้นอยู่ในกลุ่มเดียวกัน

คำถามสำคัญคือ อะไรทำให้มะม่วงทุกลูกเป็นมะม่วง?

อริสโตเติลและแนวคิดเรื่องสารัตถะ อริสโตเติลเสนอว่า สรรพสิ่งมีสารัตถะ (essence) ที่กำหนดความเป็นตัวตนของมัน สารัตถะมิใช่เพียงคุณสมบัติภายนอก แต่เป็น “หลักการภายใน” ที่ทำให้สิ่งหนึ่งเป็นสิ่งนั้น

กรณีมะม่วง สารัตถะถูกอธิบายผ่านแนวคิดเรื่อง ศักยภาพ (potentiality) ที่ฝังอยู่ใน เม็ดมะม่วง ซึ่งสามารถพัฒนาไปสู่ ความเป็นจริง (actuality) คือการเป็นต้นมะม่วงและออกผลได้ แนวคิดนี้วางรากฐานให้กับความเชื่อว่า

“ธรรมชาติไม่ใช่สิ่งไร้แบบแผน แต่มีแก่นสารและจุดมุ่งหมายภายใน (teleology)”

มรดกทางความคิดนี้ส่งอิทธิพลยาวนานมาถึง Modernism แม้จะถูกปรับเปลี่ยนจากกรอบอริสโตเติลแบบคลาสสิกไปสู่กรอบวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ก็ตาม

ความเชื่อพื้นฐาน 4 ประการของยุคสมัยใหม่ (Modernism)

Modernism ไม่ได้เป็นเพียงยุคทางประวัติศาสตร์ แต่เป็นกระบวนทรรศน์ (paradigm) ที่มีความเชื่อร่วมกันบางประการ ซึ่งสามารถสรุปได้เป็น 4 ด้านหลัก

ธรรมชาติและอภิปรัชญา โลกมีกฎตายตัว Modernism เชื่อว่า

  1. ธรรมชาติและจักรวาลดำรงอยู่ภายใต้กฎสากลที่แน่นอน (fixed laws)
  2. โลกมีโครงสร้างเชิงระบบ (cosmos-order) มิใช่ความโกลาหล
  3. คณิตศาสตร์ เป็นภาษาสากลของธรรมชาติ (ดังเช่นในกาลิเลโอและนิวตัน)

โลกจึงถูกมองเสมือน “เครื่องจักร” ที่สามารถถอดรหัสได้ หากมนุษย์มีเครื่องมือทางปัญญาที่เหมาะสม

ปัญญามนุษย์ เหตุผลในฐานะผู้รับรองความจริงนี้ต่างจากยุคกลางที่อาศัยพระเจ้าเป็นหลักประกันความจริง Modernism ยกสถานะให้เหตุผลของมนุษย์ (human reason) เป็นศูนย์กลาง

  1. มนุษย์สามารถรู้โลกได้ด้วยตนเอง
  2. ความรู้ต้องผ่านการตรวจสอบด้วยเหตุผลและวิธีการทางวิทยาศาสตร์
  3. เดส์การ์ต (Rene Descartes) จึงเริ่มจาก “ข้าคิด ฉะนั้นข้าจึงมีอยู่” (I think, thus I am)

ปัญญามนุษย์จึงกลายเป็นรากฐานของความแน่นอน (certainty)

ตัวตน/อัตตา (Self) ปัจเจกผู้มีอัตลักษณ์มั่นคง Modernism สมมติว่า

  1. ตัวตนของมนุษย์เป็นเอกภาพ (unified self)
  2. มีอัตลักษณ์ที่ต่อเนื่องและรู้จักตนเองได้
  3. ตัวตนเป็นผู้กระทำและผู้รู้ที่ค่อนข้างเป็นอิสระจากบริบท

สมมติฐานนี้จะถูก Postmodernism วิพากษ์อย่างรุนแรง โดยชี้ให้เห็นความแตกกระจายและความไม่มั่นคงของตัวตน

ภาษาและความจริง ภาษาเป็นตัวแทนความจริง Modernism มองว่า

  1. ภาษาเป็นเครื่องมือสะท้อนหรือแทนที่ความจริง
  2. หากใช้ภาษาอย่างถูกต้อง จะเข้าถึงความจริงเชิงสากลได้

Postmodernism จะตั้งคำถามต่อสมมติฐานนี้ โดยเสนอว่าภาษาไม่ได้เพียงสะท้อนความจริง แต่ สร้าง ความจริงขึ้นมาในเชิงอำนาจและวาทกรรม

เครื่องมือการเรียนรู้สมัยใหม่และการข้ามพรมแดนทางปัญญา

การเปลี่ยนแปลงของสื่อความรู้จากหนังสือเล่ม สู่ E-book และไฟล์ดิจิทัล ซึ่งสอดคล้องกับจิตวิญญาณแบบ Modern–Late Modern ที่ให้คุณค่ากับ

  1. การเข้าถึงข้อมูล
  2. การค้นหาเชิงระบบ (keyword search)
  3. การเชื่อมโยงข้ามแหล่งความรู้

งานและการอ้างถึงท่านพุทธทาสภิกขุ และหนังสือพุทธธรรม ของสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ป. อ. ปยุตฺโต) เป็นพื้นที่สนทนาระหว่างปรัชญาตะวันตกกับพุทธปรัชญา โดยเฉพาะประเด็นเรื่อง สารัตถะ vs อนัตตา, ความจริงสากล vs ความจริงเชิงปฏิบัติ ซึ่งเป็นประเด็นที่ Postmodernism ให้ความสนใจอย่างยิ่งในฐานะการวิพากษ์ “ความจริงแบบหนึ่งเดียว”

ประเด็นสำคัญ
“Modernism สร้างความมั่นคงด้วยกฎสากล แต่ Postmodernism จะเข้ามาเขย่าความเชื่อนั้น”

แก่นสำคัญของการบรรยายนี้คือการชี้ให้เห็นว่า ยุคสมัยใหม่ (Modernism) ตั้งอยู่บนสมมติฐานที่ว่า “ความจริงมีหนึ่งเดียว เป็นสากล และมีโครงสร้างที่แน่นอน” (เหมือนกฎทางคณิตศาสตร์หรือสารัตถะในเม็ดมะม่วง) โดยมีมนุษย์เป็นผู้ค้นพบความจริงนั้น

Key Insight คือ หากเราจะเข้าใจ “Postmodernism” (หลังนวยุค) เราต้องเข้าใจก่อนว่า Postmodernism เกิดขึ้นเพื่อ ปฏิเสธ ความเชื่อเหล่านี้ โดยมองว่า

  1. ไม่มีความจริงสากล (Anti-Universal)
  2. ไม่มีกฎตายตัว (Anti-Metaphysics)
  3. ความจริงถูกสร้างขึ้นตามบริบทและภาษา (Social Construct) ไม่ใช่สิ่งที่มีอยู่เองตามธรรมชาติ

การประยุกต์ใช้ความรู้ปรัชญา
1.เชื่อมโยง 4 ฐานคิด ให้จดจำ 2 ข้อแรก (กฎธรรมชาติ และ ปัญญามนุษย์) ให้แม่นยำ แล้วลองค้นคว้าต่ออีก 2 ข้อ ได้แก่ เรื่องความเป็นตัวตน และภาษา เพื่อให้เห็นภาพรวมของ Modernism ทั้ง 4 ด้าน จะทำให้เข้าใจวิชานี้ได้ง่ายขึ้นมาก

2.ฝึกมองแบบ “รื้อทิ้ง” (Deconstruction) เมื่อมองสิ่งรอบตัว ลองตั้งคำถามแบบ Postmodern ว่า “สิ่งนี้เป็นความจริงแท้ หรือเป็นเพียงสิ่งที่สังคมสร้างขึ้น?” เช่น ความสวย ความดี ความยุติธรรม

3.ใช้เทคนิค Keyword Search หากต้องทำวิจัยหรือสอบ ให้ค้นหาคำว่า “Universal” (สากล), “Particular” (เฉพาะ), และ “Narrative” (เรื่องเล่า) เพื่อเจาะลึกเนื้อหาได้ตรงจุด

สรุป: Modernism ในฐานะเงื่อนไขของ Postmodernism

Modernism สร้างโลกทัศน์ที่เชื่อในกฎสากล เหตุผล มนุษย์ผู้รู้ ตัวตนที่มั่นคง และภาษาที่โปร่งใสต่อความจริง ขณะเดียวกัน ความแข็งแกร่งของฐานคิดเหล่านี้เอง คือเงื่อนไขที่ทำให้ Postmodernism ถือกำเนิดขึ้นเพื่อ

  1. ตั้งคำถาม
  2. เปิดโปงข้อสมมติ
  3. ชี้ให้เห็นความเปราะบางของสิ่งที่ Modernism เคยถือว่า “แน่นอน”

การเข้าใจ Modernism อย่างรอบด้าน จึงไม่ใช่เพื่อยึดมั่น หากเพื่อเตรียมตนเองให้พร้อมต่อการวิพากษ์อย่างมีรากฐานในยุคหลังนวยุคต่อไป.


Leave a comment